ประเทศญี่ปุ่น (Japan) หรือเรียกกันสั้นๆว่า "ญี่ปุ่น"
โดยชาวญี่ปุ่นจะเรียกชื่อประเทศของพวกเขากันว่า "นิปปง หรือ นิฮง"
ซึ่งนิปปงนั้นมักจะใช้ในกรณีที่เป็นทางการมากกว่า นิฮง
ที่ใช้เรียกกันโดยทั่วไป
ในสมัยก่อนมีการสันนิฐานกันไว้ว่าญี่ปุ่นแต่เดิมนั้นได้มีการใช้ชื่อนิปปง
กับนิฮง มาตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 12 จนถึงศตวรรษที่ 13
ญี่ปุ่นเป็น
ประเทศที่มีลักษณะทางภูมิศาสตร์เป็นเกาะ
ตั้งอยู๋ในมหาสมุทรแปซิฟิกในภูมิภาคเอเซียตะวันออก คำว่าญี่ปุ่นแปลได้ว่า
"ถิ่นกำเนิดของดวงอาทิตย์" เพราะเหตุนี้เองประเทศญี่ปุ่นจึงถูกขนานนามว่า
"ดินแดนอาทิตย์อุทัย" นั่นเอง
โดยชื่อเรียกเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงที่มีการติดต่อกันกับทางราชวงศ์จีน
รวมถึงการที่ประเทศญี่ปุ่นนั้นตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกด้วย
ที่สำคัญแต่เดิมนั้นก่อนที่ญี่ปุ่นจะติดต่อกับจีน ประเทศอื่นๆ
จะรู้จักญี่ปุ่นในชื่อ "ยามาโตะ"
ประเทศญี่ปุ่นเองก็มีชื่อเรียกต่างๆ
มากมายตามแต่สำเนียงในแต่ละประเทศ ตัวอย่างเช่นอังกฤษจะเรียกว่าเจแปน
(Japan), เยอรมันเรียกว่ายาพัน, ฝรั่งเศษเรียกว่าฌาปง
(Japon)เกาหลีอ่านว่าอิลปน เป็นต้นฯ
แต่ไม่ว่าจะเรียกหรืออ่านออกเสียงว่าอะไร
ประเทศแห่งนี้ก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มีนักท่องเที่ยว
และผู้คนที่อยากเดินทางมา ทัวร์ญี่ปุ่น กันอยู่มากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
การแบ่งเขตการปกครองของญี่ปุ่น
ประเทศ
ญี่ปุ่นได้แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 47 จังหวัด และแบ่งออกเป็น 8
ภูมิภาคการจัดแบ่งเขตเหล่านี้จะพิจารณาจากวัฒธรรมรวมถึงสำเนียงการพูดจาและ
ความเป็นอยู่ในจังหวัดใกล้เคียงเข้ารวมกัน
ซึ่งทุกจังหวัดจะมีผู้ว่าราชการเป็นผู้นำในการบริหารจัดการ
ในสมัย
ก่อนภายในแต่ละจังหวัดก็จะมีการแบ่งเขตปกครองย่อยลงไปอีก (เมือง,หมู่บ้าน)
แต่ในปัจจุบันได้มีการจัดการบริหารโครงสร้างใหม่โดยจะทำการรวมเขตย่อยๆ
ขึ้นรวมกันกับจังหวัดที่อยู๋บริเวณใกล้เคียงด้วยกัน
การจัดการเช่นนี้ก็เพื่อเป็นการลดจำนวนของเขตการปกครองลง
และยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในส่วนการบริหารงานเขตด้วย
การรวบรวมเขตย่อยเข้าด้วยกันได้รับการสนับสนุนจากทางรัฐบาลญี่ปุ่น
มีการคาดการณ์ไว้ว่าจะสามารถลดเขต 3,232 เขตในปีพ.ศ.2542 ลงให้เหลือเพียง
1,773 เขตในปีพ.ศ.2553
ประเทศญี่ปุ่นนั้นมีเมืองใหญ่อยู่เป็นจำนวนมาก
โดยในแต่ละเมืองก็จะมีความสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและประเทศอยู่
อย่างเช่นเมืองท่องเที่ยวญี่ปุ่นมากมายอย่าง ฮอกไกโด
เมืองหลวงของญี่ปุ่นกรุงโตเกียว ประวัติศาสตร์เมืองหลวงเก่าเกียวโต
ประตูสู่ญี่ปุ่นนาริตะเป็นต้นฯ ชาวต่างชาติไม่ว่าจะมาเที่ยวด้วยตัวเอง
หรือมากับคณะทัวร์ญี่ปุ่นก็จะมีให้เห็นตลอดทั้งปี
ประวัติศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่น
ประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นนั้นมีความสำคัญมาอย่างยาวนานโดยเริ่มจากสมัยยุคโคะฮุงที่มีการตั้งชื่อตามสุสานืั้สร้างขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ 9 ถึง 12 โดยยุคนั้นเริ่มมีการปกครองในแบบราชวงศ์เกิดขึ้น ศูนย์กลางการปกครองอยู่ในคันไซ พุทธศาสนาได้เข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้นโดยมาจากทางคาบสมุทรเกาหลี แต่ตามประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลทางศาสนามาจากจีนมากกว่า แล้วในสมัยนั้นได้มีการตั้งกฏหมายของญี่ปุ่นขึ้นมา 17 มาตรารัฐธรรมนูญฉบับแรกด้วย ความเจริญทางพุทธศาสนาได้เพิ่มมากขึ้นในสมัยอาซึกะ
ในปีพ.ศ.1253 - 1337 เป็นยุคสมัยนาระ (Nara) ยุคนี้ถือได้ว่าเป็นยุคที่มีการสร้างอาณาจักรให้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเก่ามีระบบปกครองเด่นชัดเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ ระบบปกครองของญี่ปุ่นในสมัยนั้นได้เรียนรู้นำเอาระบบของจีนมาปรับใช้ มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองเฮโจเกียว (นาระปัจจุบัน) ต่อมาได้มีการย้ายเมืองหลวงไปยังนางาโอะกะเกียวช่วงระยะเวลาสั้นๆ ต่อมาจึงย้ายไปยังเฮอังเกียวจึงเป็นที่มาของยุคสมัยเฮอังต่อมานั่นเอง
ในปีพ.ศ.1337-1728 เป็นช่วงของเฮอัง ถือเป็นยุคทองของญี่ปุ่นเนื่องจากว่าประเทศญี่ปุ่นมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยที่เห็นได้เด่นชัดอย่างเช่นการประดิษฐ์อักษรฮิระงานะ และกำเนิดวรรณกรรมอีกเป็นจำนวนมาก เพลงชาติญี่ปุ่นก็มาจากบทกลอนบางส่วนด้วย
ในปีพ.ศ.1728 เป็นยุคศัดินาที่ทหารได้เข้ามามีบทบาทและอำนาจมากขึ้น โดยมินาโตะ โยริโตโมะได้สถาปนาตนเองเป็นโชกุน และเริ่มสร้างรัฐบาลในเมืองคามาคุระ นี่ถือเป็นยุคของคามาคุระด้วย แต่เพราะไม่สามารถปกครองได้ทั้งประเทศเหตุจากยังหลงเหลือขั่วอำนาจเก่าอยู่ หลังจากการเสียชีวิตของโชกุนตระกูลโฮโจได้ขึ้นแทน และในปีพ.ศ.1817 ก็สามารถต่อต้านการรุกรานของจักวรรดิมองโกล ในปีพ.ศ.1824 ได้เกิดพายุกามิกาเซะขึ้นจนทำให้กองทัพมองโกลเสียหายหนัก แต่จากภายหลังสงครามรัฐบาลชุดนี้ก็อ่อนประสิทธิภาพลงอย่างเห็นได้ชัด ในที่สุดก็ต้องสูญเสียอำนาจให้แก่จักรพรรดิโก ไดโกะ แต่ในเวลาต่อมาเพียงไม่นานก็พ่ายแพ้ให้กับอาชิกางะ ทากะอุจิ จากนั้นได้ย้ายรัฐบาลไปที่มุโระมะชิในกรุงเกียวโตเกิดเป็นยุคมุโรมะชิขึ้น
ช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ระบอบอำนาจในการปกครองก็เริ่มเสื่อมลง มีการก่อสงครามกลางเมืองขึ้นเรียกกันว่า "ยุคเซ็นโงกุ" ในช่วงศตวรรษที่ 21 ได้มีพ่อค้ามาจากโปรตุเกสและมิชชันนารีเดินทางเข้ามายังประเทศญี่ปุ่นครั้งแรก แล้วเริ่มมีการเจรจาค้าขายรวมถึงแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมทั้งสองฝ่ายเรียกว่า "การค้านัมบัน" สงครามก็ยังคงดำเนินต่อไปเป็นเวลากว่า 10 ปีจนในที่สุดโอดะ โนบุนางะได้ครอบครองแคว้นอื่นๆมากมายโดยการใช้เทคโนโลยีสมับใหม่ของชาวตะวันตก ได้ยึดรวมแผ่นดินญี่ปุ่นเข้าไว้ด้วยกัน แต่ต่อมาในปีพ.ศ.2125 โนบุนางะก็ได้ถูกลอบสังหาร ทำให้โทโยโตมิ ฮิเดะโยชิ มาสานต่อเจตนารมณ์และทำให้บ้านเมืองสงบลงได้ในปีพ.ศ.2133 ก็ได้ทำงสงครามกับคาบสมุทรเกาหลีถึง 2 ครั้งแต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ จนเขาเองได้เสียชีวิตในปีพ.ศ. 2141 จึงเป็นเหตุให้ญี่ปุ่นต้องถอยทัพกลับมา
ภายหลังจากการเสียชีวิต โทกุกาวะ อิเอยาซุก็ได้แต่งตั้งตนเองเป็นผู้สำเร็จราชการให้กับบุตรชายของฮิเดะโยชิ คือ โทโยโตมิ ฮิเดะโยริ เพื่อที่จะได้มีอำนาจทางการเมืองและทหาร ต่อมาอิเอยาซุได้เอาชนะไดเมียวต่างๆลงได้ จึงได้ขึ้นเป็นโชกุนในปีพ.ศ. 2146 และก่อตั้งรัฐบาลใหม่ขึ้นที่นครเอโดะ จึงเป้นที่มาของยุคเอโดะ รัฐบาลโทกุกาวะได้ใช้วิธีการหลายอย่างเพื่อที่จะควบคุมไดเมียว ในปีพ.ศ. 2182 รัฐบาลเริ่มใช้นโยบายในการปิดประเทศเป็นเวลานานกว่า 250 ปี จากการปิดประเทศนั้นทำให้ประชากรที่อยู่ในญี่ปุ่นที่อยู่ภายใต้อำนาจการปกครองมีโอกาสที่จะประดิษฐ์เทคโนโลยีใหม่ๆขึ้น และในยุคเอโดะนี้ยังมีการริเริ่มการศึกษาให้กับประชาชนที่เกี่ยวข้องกับประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย
แต่เพราะประเทศญี่ปุ่นได้ทำการปิดประเทศจึงทำให้มีการกดดันจากประเทศภายนอกให้ทำการเปิดประเทศเสีย ในวันที่31 มีนาคม พศ.2394 แมทธิว เพอร์รี่ นาวาเอกพิเศษของสหรัฐอเมริกาและกองทัพเรือได้บุกมายังญี่ปุ่นเพื่อเพื่อบังคับให้ญี่ปุ่นนั้นเปิดประเทศ โดยใช้สนธิสัญญาสัมพันไมตรีกับประเทศอเมริกา รวมถึงต้องทำสนธิสัญญากับประเทศอื่นๆในตะวันตกอีกด้วย แต่การกรำดังกล่าวกลับส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมากเนื่องจากต้องเปิดให้มีการค้าขายกันอย่างเสรี และให้สิทธิประโยชน์ต่างๆแก่ประเทศอื่นๆด้วย จึงทำให้ชาวเมืองญี่ปุ่นไม่พอใจในตัวรัฐบาลเอโดะ และเกิดการเรียกร้องให้มีการคืนอำนาจให้แก่จักรรดิญี่ปุ่น ซึ่งเรียกว่ายุคปฏิรูปเมจินั่นเอง ทัวร์ญี่ปุ่น เที่ยวญี่ปุ่น
ในยุคสงครามดลกครั้งที่สอง ประเทศญี่ปุ่นก็ได้ส่งเสริมอำนาจและความแข็งแกร่งทางการทหารมากยิ่งขึ้น หลังจากที่ญี่ปุ่นถูกกีดกันจากการค้ากับอเมริกา จึงได้เปิดสงครามในแถบแปซิฟิก หรือสงครามเอเชียบูรพานั่นเอง ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตของสหรัฐมากกว่า โดยในครั้งนั้นญี่ปุ่นสามารถยึดพื้นที่ส่วนใหญ่ทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ทังหมด แต่ภายหลังจากที่ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้กับสหรัฐฯ ญี่ปุ่นก็ยิ่งได้รับความเสียหายหนักยิ่งขึ้นจากการทิ้งระเบิดปรมาณูที่จังหวัดฮิโรชิม่าและนางาซากิ รวมถึงการรุกรานจากสหภาพโซเวียต จึงเป็นเหตุให้ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้ในปีพ.ศ.2488 สงครามครั้งนี้ทำให้ประเทศญี่ปุ่นต้องเสียประชากรนับล้านคน บ้านเมืองสิ่งปลูกสร้างเสียหายอย่างใหญ่หลวง
ในปีพ.ศ. 2490 ญี่ปุ่นจึงเริ่มใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เน้นเรื่องของความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น และต่อมาในปี 2499ก็ได้มีการลงนามสนธิสัญญาซานฟรานซิสโก และญี่ปุ่นก็ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของสหประชาชาติในปี 1956 ต่อมาญี่ปุ่นเริ่มฟื้นฟูประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศที่มีอัตราการเจริญเติบโตที่สูงขึ้นอย่างมาก จนกลายเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก แต่การเติบโตก็มาหยุดลงในปี 2530 เมืองญี่ปุ่นเกิดสภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่แตก แต่ก็มีแนวโน้มที่จะดีขึ้นแต่กลับมาเจอสภาวะวิกฤตทางการเงินในปีพ.ศ. 2551อีกครั้ง
ประชากรญี่ปุ่น
จากการสำรวจในวันที่ 1 สิงหาคม 2012 ญี่ปุ่นมีประชากรประมาณ 127,692,273 คน โดยประชากรส่วนใหญ่จะมีการใช้ภาษาและมีวัฒนธรรมที่เหมือนกัน โดยมีชาวต่างชาติ เช่น ชาวจีน เกาหลี ไต้หวัน บราซิล ฟิลิปปินส์ และรวมถึงชาติอื่นๆ อีกประมาณร้อยละ 1.2 โดยที่ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ตามเมืองใหญ่ๆ เชื้อชาติของคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่คือเชื้อสายชาวยะมะโตะ และมีชนกลุ่มน้อยเช่นชาวไอนุและชาวริวกิวรวมทั้งชนกลุ่มน้อยทางสังคมที่เรียกว่าบุระกุ ทัวร์ญี่ปุ่น เที่ยวญี่ปุ่น
ประชากรของญี่ปุ่นมีอายุคาดหมายเฉลี่ยอยู่ประมาณ 82.07 ปี ญี่ปุ่นจึงนับว่าเป็นประเทศที่มีประเชากรอายุยืนยาวมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก โครงสร้างของประชากรญี่ปุ่นได้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เนื่องมาจากมีเด็กที่เกิดมาในยุคเบบี้บูมหลังสงครามโลกเริ่มเข้าสู่วัยชรา ในขณะที่มีอัตราการเกิดตั้งแต่ พ.ศ. 2532 และมีแนวโน้มที่จะลดลงเรื่อยๆ จึงทำให้จำนวนประชากรของประเทศญี่ปุ่นค่อยๆ ลดลง(ได้มีการประมาณว่าจะลดลงต่ำกว่า 100 ล้านคนในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 25) ซึ่งในขณะที่สัดส่วนของผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ (ในปี พ.ศ. 2550) ประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปมีมากถึง 1 ใน 5 ของประชากรทั้งประเทศ) การที่โครงสร้างของประชากรเปลี่ยนไปจึงทำให้เกิดปัญหาสังคมหลายอย่างขึ้น เช่น ปัญหาของแรงงานที่มีการลดลง และภาระของเงินบำนาญของคนหนุ่มสาวมีเพิ่มมากขึ้น
ศาสนาของญี่ปุ่น
โดยส่วนใหญ่(เกินครึ่งของประเทศ) การสำรวจพบว่าคนญี่ปุ่นร้อยละ 51.8 ระบุว่าตนไม่มีศาสนา โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ๆ โดยทั่วไปคนญี่ปุ่นจะยอมรับเอาหลายๆศาสนามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตจึงทำให้ศาสนาในญี่ปุ่นจะถูกผสมผสานจนทำให้พิธีกรรมทางศาสนานั้นมีความหลากหลายเช่น พ่อแม่พาลูกไปศาลเจ้าชินโตเพื่อทำพิธีชิจิ-โกะ-ซัน แต่งงานในโบสถ์คริสต์ และฉลองในวันคริสต์มาส จัดงานศพแบบพุทธ และบูชาบรรพบุรุษแบบขงจื๊อ นอกจากนี้ ตั้งแต่ต้นพุทธศตววรษที่ 25 มีลัทธิต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายเช่น ลัทธิเทนริเกียว และลัทธิโอมชินริเกียว ทัวร์ญี่ปุ่น เที่ยวญี่ปุ่น
ภาษาญี่ปุ่น หรือ นิฮงโงะ เป็นภาษาทางการของประเทศญี่ปุ่นปัจจุบันมีผู่ใช้อยู่ทั่วโลกราวๆประมาณ 130 ล้านคน ประชากรมากกว่าร้อยละ 95 จะใช้ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาแม่ ภาษาญี่ปุ่นจะมีวิธีการผันคำกริยาและคำศัพท์ที่แสดงถึงสถานะระหว่างผู้พูด และผู้ฟังซึ่งแสดงถึงลักษณะสังคมที่มีระดับขั้นของญี่ปุ่น ภาษาพูดนั้นมีทั้งภาษากลางและสำเนียงของแต่ละท้องถิ่น ดังนั้นจึงทำให้คนญี่ปุ่น เมื่อเดินทางไปยังถิ่นภูมิภาคอื่น ก็ยังคงพูดภาษาของถิ่นตนเองดังเดิม โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นพูดภาษากลางเช่น สำเนียงคันไซ โรงเรียนทั้งของรัฐและเอกชนมักมีวิชาภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษมาใช้เป็นวิชาบังคับ
อาหาร - เที่ยวญี่ปุ่น
ข้าวจะเป็นอาหารหลักของชาวญี่ปุ่นกับข้าวจะมีเนื้อสัตว์ ปลา และทานคู่กับผักดอง ถั่วต่างๆ เต้าหู้รวมถึงของแห้งอย่างเช่น หัวผักกาด สาหร่าย เป็นต้น อาหารญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงได้แก่ ซูชิ ซาชิมิ เทมปุระ ยากิโทริและโซบะ อาหารญี่ปุ่นหลายอย่างส่วนใหญ่จะดัดแปลงจากอาหารต่างประเทศ เช่น ทงคัตสึ ราเม็งและแกงกะหรี่ญี่ปุ่น อาหารญี่ปุ่นได้รับความนิยมในต่างประเทศเพราะเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ โดยส่วนใหญ่จะเป็นอาหารที่ทำมาจากจำพวกปลา จากการสำรวจพบว่าในปี 2006 มีร้านอาหารญี่ปุ่นมากกว่า 20,000 แห่งทั่วโลก
ชาวญี่ปุ่นมีความพิถีพิถันอย่างมากในการเลือกวัตถุดิบจึงทำให้มีอาหารประจำท้องถิ่นและอาหารประจำฤดู วัตถุดิบที่เป็นเอกลักษณ์ในอาหารญี่ปุ่นคือถั่วเหลือง ซึ่งนำมาใช้ทำโชยุ มิโสะ เต้าหู้ ถั่วแดง ซึ่งมักนำมาทำขนม และสาหร่ายชนิดต่าง ๆ เช่น คอมบุ นอกจากนี้ ชาวญี่ปุ่นยังนิยมกินซะชิมิหรืออาหารทะเลดิบอีกด้วย
วิธีการทำอาหารญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะใช้วิธีการต้ม นึ่ง ซึ่งทำให้อาหารคงรสชาติตามธรรมชาติมากที่สุด และอุปกรณ์ที่สำคัญที่ใช้ในการทานคือ ตะเกียบเป็นหลัก
ชาในญี่ปุ่นมีหลายชนิดซึ่งแตกต่างไปตามกรรมวิธีการผลิตและส่วนผสม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีต้นกำเนิดจากญี่ปุ่นคือเหล้าสาเกซึ่งผลิตโดยใช้วิธีหมักข้าว และโชชูซึ่งเป็นเหล้าที่เกิดจากการกลั่น ทัวร์ญี่ปุ่น
No comments:
Post a Comment