ตำนานแห่งสัตว์ประหลาด
• ตำนานแห่งสัตว์ประหลาดแห่งคานาสือ เล่ากันว่า....ภายในทะเลสาปนี้มีสัตว์ประหลาดตัวสีแดงอาศัยอยู่
• เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ได้มีคณะสำรวจเข้าไปทำการสำรวจทะเลสาบแห่งนี้เป็นเวลาสองเดือน นักสำรวจกลุ่มนี้พบโครงกระดูกขนาดสมบูรณ์ของม้า วัว แพะ และแกะจำนวนมากจมอยู่ในทะเลสาป ทำให้นักสำรวจรวมถึงชาวบ้านต่างก็กล่าวขวัญกันไปต่างๆ นานาว่า ระหว่างที่สัตว์เลี้ยงของชาวบ้านเหล่านี้เล็มหญ้าอยู่บริเวณริมทะเลสาบคงถูกสัตว์ประหลาดลากลงน้ำเอาไปกินทั้งตัว ดังนั้นคณะสำรวจจึงพิสูจน์ว่าสัตว์ประหลาดแห่งทะเลสาบคานาสในตำนานนั้นมีจริงหรือไม่ ด้วยการวางแหจับปลาขนาดใหญ่ยาวกว่า 600 เมตร ขึงไว้ในบริเวณที่พบกระดูกสัตว์จำนวนมาก โดยหวังว่าเจ้าสัตว์ประหลาดจะว่ายน้ำมาติดกับ สุดท้ายการจับตัวประหลาดก้อต้องล้มเหลว เพราะในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้นแหขนาดใหญ่ที่วางเอาไว้กลับหายไปหมด และอีกหลายวันต่อมากลับมีคนไปพบแหชุดเดียวกันนั้นลอยไกลออกไปอีกหลายกิโลเมตร
• วันที่ 27 กันยายน พ.ศ.2546 ขณะที่พื้นที่แถบคานาสเผชิญกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรง ชาวบ้านทั้งหลายก็ยังได้ยินเสียงดังกังวาน คล้ายกับเป็นเสียงร้องของสัตว์ก้องไปทั่วบริเวณอีกด้วย ด้วยคำร่ำลือทั้งหลายแหล่นี้นี่เองที่ทำให้ ชาวบ้านต่างไม่กล้าที่จะนำ ม้า วัว แกะ หรือแพะไปหากินหญ้าบริเวณริมทะเลสาบคานาสอีกจนกระทั่งทุกวันนี้
• อย่างไรก็ตาม หลังจากที่มีนักวิทยาศาสตร์หลายต่อหลายกลุ่มเข้าไปสำรวจทะเลสาบแล้ว ก็ปรากฎข้อโต้เถียงมาว่า แท้จริงแล้วสัตว์ประหลาดแห่งทะเลสาบคานาสที่ชาวบ้านร่ำลือกันในตำนานนั้นน่าจะเป็น เจ้าปลาแดงยักษ์ ที่รู้จักกันในนาม Giant Taimen มากกว่า โดยเจ้าปลา Giant Taimen นี้มีชื่อเล่นว่าปลาปีศาจ เนื่องจากเป็นปลาน้ำจืดที่ตัวใหญ่มากคือ ปลาชนิดนี้เมื่อโตเต็มที่แล้วอาจมีความยาวจากหัวจรดหางถึงราว 10-15 เมตร และมีอาจมีน้ำหนักมากถึงราว 4 ตัน แต่เจ้าปลาแดงยักษ์ใหญ่ หนักเป็นตันๆ ที่กล่าวอ้างกันนี้ก็ยังไม่เคยมีใครจับได้เสียที เพียงแต่มีคนยืนยันว่าเห็นพวกมันว่ายกันอยู่เป็นกลุ่มในทะเลสาบคานาสเท่านั้น
• มันก็แปลกที่นักท่องเที่ยวชาวจีนส่วนใหญ่ก็มองหาเจ้าสัตว์ประหลาดในตำนาน "เผื่อฟลุ๊กเจอว่างั้นเถอะ" ผมเองชื่นชมกับธรรมชาติ ก็คงต้องบอกว่าสวยมากมากๆ ใครจะคิดว่าที่นี่คือเมืองจีน....
• จบรายการภาคเช้า ก็มาต่อกันด้วยภาคบ่าย นั่งเรือชมวิวทิวทัศน์ในทะเลสาบคานาสือและตามหาสัตว์ประหลาดในตำนานกันอีกครั้ง หลังจากนั้นเราก็เดินทางกลับเมืองเบอร์จิ้น...
No comments:
Post a Comment