อ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออก แต่อยากซื้อของทาง amazon.co.jp ทำยังไงดี?
ไม่มีเวลาเดินช้อป แล้วจะสั่งไปส่งที่โรงแรมได้ไหมน๊าา...คำตอบอยู่ที่นี่เลย!!
พบกับเรื่องราวดีๆ ที่จะพาให้คุณรู้ลึกรู้จริงเรื่องญี่ปุ่น..ได้แล้ววันนี้!
http://l.his-bkk.com/1OOfEJb
บอกลาผิวแห้งเหี่ยว ริ้วรอย สิว กะฝ้า จุดด่างดำก่อนวัยได้ที่เซียร์โว www.ciervoworld.com
Fellow-Traveller (เพื่อนเดินทาง) @ เพื่อนที่รวมเดินทางไปตามที่ต่างๆ ด้วยกัน แหล่งรวมข้อมูลท่องเที่ยวจากเว็บทั่วโลก
Wednesday, January 20, 2016
หมู่บ้านกินซันออนเซ็น (Ginzan Onsen Village)
หมู่บ้านกินซันออนเซ็น (Ginzan Onsen Village)
หมู่บ้านออนเซ็นที่สวยที่สุดในประเทศญี่ปุ่น และคงบรรยากาศและวัฒนธรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่นเอาไว้ พร้อมทั้งมีเรียวกัง ที่อนุรักษ์ความเก่าแก่ความสวยงามดั้งเดิมไว้อีกเช่นกัน ทำให้คนที่มา เยี่ยมเยียนหมู่บ้านออนเซ็นแห่งนี้ ได้นึกถึงบรรยากาศเก่าๆ ของญี่ปุ่นเมื่อ สมัย 100 ปีก่อน นอกจากนี้ ที่แห่งนี้ยังใช้ตะเกียงน้ำมันทำเป็นไฟริมถนนอีกด้วย ซึ่งค่อนข้างหายากในปัจจุบัน
ความลับที่สุดของผิวหน้าวัย 50 ปี ที่มีใบหน้าเหมือนสาวอายุ 30 ปี ด้วยวิธีที่ง่ายๆโดยไม่ต้องพึ่งศัลยกรรม
หมู่บ้านออนเซ็นที่สวยที่สุดในประเทศญี่ปุ่น และคงบรรยากาศและวัฒนธรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่นเอาไว้ พร้อมทั้งมีเรียวกัง ที่อนุรักษ์ความเก่าแก่ความสวยงามดั้งเดิมไว้อีกเช่นกัน ทำให้คนที่มา เยี่ยมเยียนหมู่บ้านออนเซ็นแห่งนี้ ได้นึกถึงบรรยากาศเก่าๆ ของญี่ปุ่นเมื่อ สมัย 100 ปีก่อน นอกจากนี้ ที่แห่งนี้ยังใช้ตะเกียงน้ำมันทำเป็นไฟริมถนนอีกด้วย ซึ่งค่อนข้างหายากในปัจจุบัน
บอกลาผิวแห้งเหี่ยว ริ้วรอย สิว
กะฝ้า จุดด่างดำ ก่อนวัยได้ที่เซียร์โว www.ciervoworld.com
Say goodbye to wrinkles, acne, dry skin
and dark spot at Ciervo www.ciervoworld.com ความลับที่สุดของผิวหน้าวัย 50 ปี ที่มีใบหน้าเหมือนสาวอายุ 30 ปี ด้วยวิธีที่ง่ายๆโดยไม่ต้องพึ่งศัลยกรรม
ปราสาทซึรุงะ หรือ ปราสาทนกกระเรียน เดิมปราสาทแห่งนี้มี ชื่อว่า Kurokawa Castle
ปราสาทซึรุงะ
ปราสาทซึรุงะ หรือ ปราสาทนกกระเรียน เดิมปราสาทแห่งนี้มี ชื่อว่า Kurokawa Castle สร้างขึ้นในปี 1384 โดยตระกูลอะชินะ ต่อมาก็ได้มีการ เปลี่ยนชื่อมาเป็น Tsuruga Castle หรือ Tsuruga-jo ในปี 1592 โดยไดเมียว นามว่า Gamo Ujisato ในปี 1611 ปราสาทเสียหายแล้วก็เริ่มเอียง จึงได้มีการบูรณะโดยเจ้า ของปราสาทคนใหม่ Yoshiaki Kato ในปี 1627 และปรับจากปราสาท 7 ชั้น เหลือ เพียง 5 ชั้น
ความลับที่สุดของผิวหน้าวัย 50 ปี ที่มีใบหน้าเหมือนสาวอายุ 30 ปี ด้วยวิธีที่ง่ายๆโดยไม่ต้องพึ่งศัลยกรรม
ปราสาทซึรุงะ หรือ ปราสาทนกกระเรียน เดิมปราสาทแห่งนี้มี ชื่อว่า Kurokawa Castle สร้างขึ้นในปี 1384 โดยตระกูลอะชินะ ต่อมาก็ได้มีการ เปลี่ยนชื่อมาเป็น Tsuruga Castle หรือ Tsuruga-jo ในปี 1592 โดยไดเมียว นามว่า Gamo Ujisato ในปี 1611 ปราสาทเสียหายแล้วก็เริ่มเอียง จึงได้มีการบูรณะโดยเจ้า ของปราสาทคนใหม่ Yoshiaki Kato ในปี 1627 และปรับจากปราสาท 7 ชั้น เหลือ เพียง 5 ชั้น
บอกลาผิวแห้งเหี่ยว ริ้วรอย สิว
กะฝ้า จุดด่างดำ ก่อนวัยได้ที่เซียร์โว www.ciervoworld.com
Say goodbye to wrinkles, acne, dry skin
and dark spot at Ciervo www.ciervoworld.com ความลับที่สุดของผิวหน้าวัย 50 ปี ที่มีใบหน้าเหมือนสาวอายุ 30 ปี ด้วยวิธีที่ง่ายๆโดยไม่ต้องพึ่งศัลยกรรม
โทบุเวิลด์สแควร์
โทบุเวิลด์สแควร์
การประดับไฟที่สวยงามยามค่ำคืนที่ โทบุเวิลด์สแควร์ สวนสาธารณะแห่งหนึ่งในเมืองนิกโก้ จังหวัดโทะชิงิ ประเทศญี่ปุ่น เปิดทำการเมื่อวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 1993 มีพื้นที่ 7.65 ตารางกิโลเมตรสวนแห่งนี้ประกอบด้วยสิ่งจำลองขนาด1:25ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงรวมถึงสถานที่ที่ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมขององค์การยูเนสโกและหุ่นจำลองคนขนาดจิ๋วกว่า140,000 คนโดยมีจุดประสงค์เพื่อปกป้องวัฒนธรรมและซากปรักหักพังของรูปแบบสถาปัตยกรรมทั่วโลก
ความลับที่สุดของผิวหน้าวัย 50 ปี ที่มีใบหน้าเหมือนสาวอายุ 30 ปี ด้วยวิธีที่ง่ายๆโดยไม่ต้องพึ่งศัลยกรรม
การประดับไฟที่สวยงามยามค่ำคืนที่ โทบุเวิลด์สแควร์ สวนสาธารณะแห่งหนึ่งในเมืองนิกโก้ จังหวัดโทะชิงิ ประเทศญี่ปุ่น เปิดทำการเมื่อวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 1993 มีพื้นที่ 7.65 ตารางกิโลเมตรสวนแห่งนี้ประกอบด้วยสิ่งจำลองขนาด1:25ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงรวมถึงสถานที่ที่ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมขององค์การยูเนสโกและหุ่นจำลองคนขนาดจิ๋วกว่า140,000 คนโดยมีจุดประสงค์เพื่อปกป้องวัฒนธรรมและซากปรักหักพังของรูปแบบสถาปัตยกรรมทั่วโลก
บอกลาผิวแห้งเหี่ยว ริ้วรอย สิว
กะฝ้า จุดด่างดำ ก่อนวัยได้ที่เซียร์โว www.ciervoworld.com
Say goodbye to wrinkles, acne, dry skin
and dark spot at Ciervo www.ciervoworld.com ความลับที่สุดของผิวหน้าวัย 50 ปี ที่มีใบหน้าเหมือนสาวอายุ 30 ปี ด้วยวิธีที่ง่ายๆโดยไม่ต้องพึ่งศัลยกรรม
เมืองนิกโก้ จังหวัดโทะจิงิ
เมืองนิกโก้
เป็นเมืองเก่าเล็กยุคเอโดะที่ยังคงความเป็นญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมไว้ได้ดี จนมีการ โปรโมทการท่องเที่ยวว่า Nikko is Japan ตั้งอยู่ในทิวเขาในจังหวัดโทะจิงิ
เป็นเมืองเก่าเล็กยุคเอโดะที่ยังคงความเป็นญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมไว้ได้ดี จนมีการ โปรโมทการท่องเที่ยวว่า Nikko is Japan ตั้งอยู่ในทิวเขาในจังหวัดโทะจิงิ
Yamagata Station
Yamagata Station
รถไฟชินคันเซน รถไฟวิ่งเร็วที่สุดในโลก นำท่านสู่จุดหมาย ปลายทางด้วยความเร็วสูงสุด 270 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
รถไฟชินคันเซน รถไฟวิ่งเร็วที่สุดในโลก นำท่านสู่จุดหมาย ปลายทางด้วยความเร็วสูงสุด 270 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ไร่สตรอเบอร์รี่
ไร่สตรอเบอร์รี่
ท่านจะได้เพลิดเพลินกับการเก็บสตอเบอร์รี่ญี่ปุ่น สด ๆ อร่อยหวานจากต้น ไม่ใส่สารเร่งสี เร่งโต เร่งความหวาน ซึ่งจะทำให้ท่านประทับใจกับรสชาติอันแสนอร่อยและหอมหวานสดของผลไม้จากธรรมชาติ
ท่านจะได้เพลิดเพลินกับการเก็บสตอเบอร์รี่ญี่ปุ่น สด ๆ อร่อยหวานจากต้น ไม่ใส่สารเร่งสี เร่งโต เร่งความหวาน ซึ่งจะทำให้ท่านประทับใจกับรสชาติอันแสนอร่อยและหอมหวานสดของผลไม้จากธรรมชาติ
เมืองไอสุ
เมืองไอสุ
เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมซามูไร ไม่ว่าจะเป็นปราสาทหรือตัวเมืองที่ยังคงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของยุคสมัยโบราณ
เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมซามูไร ไม่ว่าจะเป็นปราสาทหรือตัวเมืองที่ยังคงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของยุคสมัยโบราณ
น้ำตกเคกอน
น้ำตกเคกอน
จุดชมวิวที่ทางอุทยานได้สร้างขึ้น เพื่อให้นักท่องที่ยวสามารถซึมซับภาพกระแสน้ำขนาดมหึมาที่ตกลงมาตรงหน้า และละอองน้ำฟุ้งกระจายไปทั่ว ถือว่าเป็นน้ำตกที่สวยงามที่สุดในญี่ปุ่น
จุดชมวิวที่ทางอุทยานได้สร้างขึ้น เพื่อให้นักท่องที่ยวสามารถซึมซับภาพกระแสน้ำขนาดมหึมาที่ตกลงมาตรงหน้า และละอองน้ำฟุ้งกระจายไปทั่ว ถือว่าเป็นน้ำตกที่สวยงามที่สุดในญี่ปุ่น
Snow Monster หรือ ปีศาจหิมะ ตั้งอยู่บนภูเขาซาโอะ เมืองยามากาตะ
Snow Monster หรือ ปีศาจหิมะ ตั้งอยู่บนภูเขาซาโอะ
หนึ่งในภูเขาที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองยามากาตะ เป็นความมหัศจรรย์ของสายลมจากไซบีเรียที่พัดพาหิมะมาปกคลุมต้นสน เกาะเป็นผลึกน้ำแข็งก่อตัวเป็นรูปร่างเหมือนปีศาจในชุดขาวจึงทำให้ถูกกล่าวขวัญกันว่าเป็น "SNOW MONSTER" หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า "จูเฮียว"
สำหรับการชม Snow Monster นั้นต้องนั่งกระเช้าและกอนโดล่าขึ้นไปยังยอดเขาซาโอะ ระหว่างทางจะได้สัมผัสกับทิวทัศน์ขาวโพลนที่ปกคลุมด้วยหิมะจำนวนมาก ซึ่งจะสวยงามที่สุดในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ นอกจากนี้ บนยอดเขายังมีกิจกรรมสนุกๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็น สกี, สโนว์บอร์ด, สโนว์โมบิล อีกทั้งในช่วงเย็นยังสามารถชื่นชมไปกับวิวสวยๆของปีศาจหิมะที่จะถูกประดับประดาด้วยแสงไฟสว่างไสว เหมือนยืนอยู่ท่ามกลางกองทัพปีศาจหลากสีสัน
หนึ่งในภูเขาที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองยามากาตะ เป็นความมหัศจรรย์ของสายลมจากไซบีเรียที่พัดพาหิมะมาปกคลุมต้นสน เกาะเป็นผลึกน้ำแข็งก่อตัวเป็นรูปร่างเหมือนปีศาจในชุดขาวจึงทำให้ถูกกล่าวขวัญกันว่าเป็น "SNOW MONSTER" หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า "จูเฮียว"
สำหรับการชม Snow Monster นั้นต้องนั่งกระเช้าและกอนโดล่าขึ้นไปยังยอดเขาซาโอะ ระหว่างทางจะได้สัมผัสกับทิวทัศน์ขาวโพลนที่ปกคลุมด้วยหิมะจำนวนมาก ซึ่งจะสวยงามที่สุดในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ นอกจากนี้ บนยอดเขายังมีกิจกรรมสนุกๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็น สกี, สโนว์บอร์ด, สโนว์โมบิล อีกทั้งในช่วงเย็นยังสามารถชื่นชมไปกับวิวสวยๆของปีศาจหิมะที่จะถูกประดับประดาด้วยแสงไฟสว่างไสว เหมือนยืนอยู่ท่ามกลางกองทัพปีศาจหลากสีสัน
Tuesday, January 19, 2016
รายชื่อบริษัททัวร์ จองตั๋วเครื่องบิน โรงแรม สถานที่เที่ยวต่างๆ
รายชื่อบริษัททัวร์ จองตั๋วเครื่องบิน โรงแรม สถานที่เที่ยวต่างๆ
- http://www.theconcepttravel.com/
- http://www.pk-tour.com/
- http://www.oneworldservice.co.th/
- http://www.regencytraveledu.com
- http://th.hisgo.com/
- https://www.expedia.co.th/Flights
- http://www.ksmiletravel.com/
- http://www.2utravel.com/
- http://www.fanclubtour.com/
Wakayama Marina City หรือตลาดอันซีนแห่ง 'เมืองวากายาม่า' ประเทศญี่ปุ่น
Wakayama Marina City หรือตลาดอันซีนแห่ง 'เมืองวากายาม่า'
เมืองนี้อยู่ในภูมิภาคคันไซ ของประเทศญี่ปุ่น ห่างจากสนามบินคันไซราวๆ 50 นาที และห่างจากตัวเมืองโอซาก้าประมาณ 1.30-1.40 ชั่วโมง
ที่นี่มีอาหารทะเลสดๆ ประเภท ซาซิมิ หรือปลาดิบนานาชนิด
เมืองนี้อยู่ในภูมิภาคคันไซ ของประเทศญี่ปุ่น ห่างจากสนามบินคันไซราวๆ 50 นาที และห่างจากตัวเมืองโอซาก้าประมาณ 1.30-1.40 ชั่วโมง
ที่นี่มีอาหารทะเลสดๆ ประเภท ซาซิมิ หรือปลาดิบนานาชนิด
Monday, January 18, 2016
กระเช้า NEVIS RANGE ขึ้นสู่ยอดเขา AONACH MOR
กระเช้า NEVIS RANGE ขึ้นสู่ยอดเขา AONACH MOR ที่มีความสูง 2,300 ฟุต เพื่อชมยอดเขา BEN NEVIS ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น ภูเขาที่สูงที่สุดใน Britain (อังกฤษ สก็อตแลนด์ เวลล์ และ ไอร์แลนด์) ที่นี่นอกจากจะเป็นภูเขาสูงไว้ให้ขึ้นไปดูทัศนียภาพข้างบนกันแล้ว ยังเป็นสถานที่ให้นักปั่นจักรยานเสือภูเขาทั้งหลาย มาปั่นผาดโผนกันด้วย เค้าจะพ่วงจักรยานไปกับ Cable car ขึ้นไปบนเขา เมื่อถึงด้านบนแล้วจะปั่นจักรยานลงมาจากเขา ซึ่งจะมีทางผาดโผนไว้ให้ และที่นี่ก็เป็นจุดเล่นสกีหลักๆ ของสก็อตแลนด์ด้วยเช่นกัน หลังจากใช้เวลานั่ง Cable car ไม่นาน ก็ถึงปลายทาง
เมือง ฟอร์ด วิลเลี่ยม (FORT WILLIAM)
Glen Coe สู่ เมือง ฟอร์ด วิลเลี่ยม (FORT WILLIAM)
เป็นเมืองค่อนข้างใหญ่ ที่นี่เป็นเมืองแห่งแรกในบริเทนที่มีไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังน้ำท้องถิ่นใช้ในช่วงแรกเริ่มของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ฟอร์ด วิลเลี่ยม ได้ชื่อว่าเป็น Outdoor Capital of UK เป้าหมายของคนส่วนใหญ่ที่มา Fort William คือ Glen Coe และ Ben Nevis เพื่อเดินป่า, ปีนเขา, ปั่นจักรยาน,ตกปลา,เล่นสกี ฯลฯ เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของคนรักกิจกรรมกลางแจ้ง ส่วนคนที่ไม่ได้อินกับกิจกรรม Adventure เหล่านี้ก็ชมวิวหรือถ่ายรูปกับธรรมชาติสวยๆได้ เดินทางถึง เมือง ฟอร์ด วิลเลี่ยม
เป็นเมืองค่อนข้างใหญ่ ที่นี่เป็นเมืองแห่งแรกในบริเทนที่มีไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังน้ำท้องถิ่นใช้ในช่วงแรกเริ่มของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ฟอร์ด วิลเลี่ยม ได้ชื่อว่าเป็น Outdoor Capital of UK เป้าหมายของคนส่วนใหญ่ที่มา Fort William คือ Glen Coe และ Ben Nevis เพื่อเดินป่า, ปีนเขา, ปั่นจักรยาน,ตกปลา,เล่นสกี ฯลฯ เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของคนรักกิจกรรมกลางแจ้ง ส่วนคนที่ไม่ได้อินกับกิจกรรม Adventure เหล่านี้ก็ชมวิวหรือถ่ายรูปกับธรรมชาติสวยๆได้ เดินทางถึง เมือง ฟอร์ด วิลเลี่ยม
THE LOST VALLEY
THE LOST VALLEY ชมความงามตามธรรมชาติ จนได้เวลาสมควร จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ GLEN COE VILLAGE หมู่บ้านเล็กๆ ที่มีความเป็นสก๊อตแลนด์แบบดั้งเดิม
“THE THREE SISTERS” (Beinn Fhada, Gearr Aonach & Aonach Dubh)
“THE THREE SISTERS” (Beinn Fhada, Gearr Aonach & Aonach Dubh) แถวนี้มีเส้นทางเดินเขาขึ้นไปยอดภูเขา Bidean nam Bian ที่ถูกจัดว่าเดินยาก เดินไกล สำหรับนักเดินป่า และ นักปีนเขา
หุบเขา GLEN COE
หุบเขา GLEN COE
เป็นไฮไลท์ของนักท่องเที่ยวหลายคนใน Highlands คือ บริเวณหุบเขาต่าง ๆ หรือเรียกเป็นภาษาท้องถิ่นว่า Glen ซึ่งเป็นเส้นทางที่ใช้ถ่ายภาพยนตร์ดังเรื่อง เจมส์ บอนด์ ตอน SKYFALL , GLEN COE เกิดจากการกัดเซาะของลมฝนและธารน้ำแข็งที่ทำกับหินที่เหลือจากการระเบิดของภูเขาไฟหลายร้อยล้านปีก่อนจนเกิดเป็นหุบเขารูปตัว U ที่รายล้อมด้วยภูเขาที่ดูโล้นๆมีต้นไม้เตี้ยๆและหญ้าขึ้นเป็นหย่อมๆ ภูเขาแถวนี้ไม่ได้ดูยิ่งใหญ่หรือสูงเสียดฟ้า แต่สภาพภูมิประเทศที่แปลกตาและดูย้อนยุคทำให้นึกถึงหนังยุคโบราณที่มีอัศวิน
เป็นไฮไลท์ของนักท่องเที่ยวหลายคนใน Highlands คือ บริเวณหุบเขาต่าง ๆ หรือเรียกเป็นภาษาท้องถิ่นว่า Glen ซึ่งเป็นเส้นทางที่ใช้ถ่ายภาพยนตร์ดังเรื่อง เจมส์ บอนด์ ตอน SKYFALL , GLEN COE เกิดจากการกัดเซาะของลมฝนและธารน้ำแข็งที่ทำกับหินที่เหลือจากการระเบิดของภูเขาไฟหลายร้อยล้านปีก่อนจนเกิดเป็นหุบเขารูปตัว U ที่รายล้อมด้วยภูเขาที่ดูโล้นๆมีต้นไม้เตี้ยๆและหญ้าขึ้นเป็นหย่อมๆ ภูเขาแถวนี้ไม่ได้ดูยิ่งใหญ่หรือสูงเสียดฟ้า แต่สภาพภูมิประเทศที่แปลกตาและดูย้อนยุคทำให้นึกถึงหนังยุคโบราณที่มีอัศวิน
โบสถ์ ROSSLYN CHAPEL
โบสถ์ ROSSLYN CHAPEL
โบสถ์เล็กๆ ทางตอนใต้ของเอดินบะระในสกอตแลนด์ ซึ่งถ้าใครได้ดูหนังหรืออ่านนิยายเรื่องดัง “รหัสลับดาวินซี” (The Da Vinci Code) ของ แดน บราวน์ (Dan Brown) นักเขียนชาวอเมริกัน จะรู้จัก “ โบสถ์ปริศนาแห่งศาสนาคริสต์ ” แห่งนี้ดี ซึ่งเป็นสิ่งดึงดูดให้นักท่องเที่ยวหลายๆท่าน อยากไปคลายปมปริศนารหัสลับที่ช่างโบราณแกะสลักไว้ตามผนังและหลังคาโบสถ์ทั้งหลัง และที่ในตำนานกล่าวถึง The Holy Grail ที่ถูกซ่อนอยู่ในโบสถ์แห่งนี้
ซึ่งในประวัติศาสตร์ The Holy Grail นั้นคือ ถ้วยศักดิ์สิทธิ์ที่พระเยซูใช้ดื่มไวน์ในระหว่างอาหารมื้อสุดท้าย (The last supper) ก่อนพระองค์จะถูกจับตรึงไม้กางเขน ส่วน Dan Brown และนักวิชาการหลายคนกลับตีความไปว่า The Holy Grail คือ เลือดเนื้อเชื้อไขของพระเยซู และนาง Mary Magdalene ที่สืบสายเลือดและวงศ์ตระกูลมาถึงปัจจุบัน
โบสถ์ Rosslyn แห่งนี้ทำด้วยหินทั้งหลังเหมือนโบสถ์ทั่วไป จะต่างกันก็ตรงรายละเอียดภายใน ที่ช่างสมัยก่อนแกะสลักเอาไว้จนลานตาเต็มทั้งหลัง ตั้งแต่เพดานอันสูงโปร่งเรื่อยลงมาจนถึงหน้าต่างเสาหินเล็กๆ ที่พยุงหน้าต่างไว้ แท่นบูชาตลอดจนผนังทั่วทั้งโบสถ์ ถูกสลักลายไว้จนเกือบไม่เหลือที่ไว้ให้หายใจ เสาใหญ่ลายงดงามที่พยุงตัวโบสถ์ไว้มีอยู่สองต้น แต่ต้นที่สวยที่สุดนั้นคือเสาของช่างฝึกงาน (Apprentice Pillar) บริเวณฐานของเสาต้นนี้ ถูกแกะเป็นรูปมังกร 8 ตัว โดยมีใบองุ่นงอกออกจากปากของมังกรแต่ละตัว เลื้อยพันเสาทั้งต้นไว้โดยรอบ และก็กลายเป็นเสาแห่งตำนานในประวัติศาสตร์
โบสถ์เล็กๆ ทางตอนใต้ของเอดินบะระในสกอตแลนด์ ซึ่งถ้าใครได้ดูหนังหรืออ่านนิยายเรื่องดัง “รหัสลับดาวินซี” (The Da Vinci Code) ของ แดน บราวน์ (Dan Brown) นักเขียนชาวอเมริกัน จะรู้จัก “ โบสถ์ปริศนาแห่งศาสนาคริสต์ ” แห่งนี้ดี ซึ่งเป็นสิ่งดึงดูดให้นักท่องเที่ยวหลายๆท่าน อยากไปคลายปมปริศนารหัสลับที่ช่างโบราณแกะสลักไว้ตามผนังและหลังคาโบสถ์ทั้งหลัง และที่ในตำนานกล่าวถึง The Holy Grail ที่ถูกซ่อนอยู่ในโบสถ์แห่งนี้
ซึ่งในประวัติศาสตร์ The Holy Grail นั้นคือ ถ้วยศักดิ์สิทธิ์ที่พระเยซูใช้ดื่มไวน์ในระหว่างอาหารมื้อสุดท้าย (The last supper) ก่อนพระองค์จะถูกจับตรึงไม้กางเขน ส่วน Dan Brown และนักวิชาการหลายคนกลับตีความไปว่า The Holy Grail คือ เลือดเนื้อเชื้อไขของพระเยซู และนาง Mary Magdalene ที่สืบสายเลือดและวงศ์ตระกูลมาถึงปัจจุบัน
โบสถ์ Rosslyn แห่งนี้ทำด้วยหินทั้งหลังเหมือนโบสถ์ทั่วไป จะต่างกันก็ตรงรายละเอียดภายใน ที่ช่างสมัยก่อนแกะสลักเอาไว้จนลานตาเต็มทั้งหลัง ตั้งแต่เพดานอันสูงโปร่งเรื่อยลงมาจนถึงหน้าต่างเสาหินเล็กๆ ที่พยุงหน้าต่างไว้ แท่นบูชาตลอดจนผนังทั่วทั้งโบสถ์ ถูกสลักลายไว้จนเกือบไม่เหลือที่ไว้ให้หายใจ เสาใหญ่ลายงดงามที่พยุงตัวโบสถ์ไว้มีอยู่สองต้น แต่ต้นที่สวยที่สุดนั้นคือเสาของช่างฝึกงาน (Apprentice Pillar) บริเวณฐานของเสาต้นนี้ ถูกแกะเป็นรูปมังกร 8 ตัว โดยมีใบองุ่นงอกออกจากปากของมังกรแต่ละตัว เลื้อยพันเสาทั้งต้นไว้โดยรอบ และก็กลายเป็นเสาแห่งตำนานในประวัติศาสตร์
จอร์จสตรีท (George Street) ประเทศสก๊อตแลนด์
จอร์จสตรีท (George Street) ประเทศสก๊อตแลนด์
ที่มีร้านบูติก และ บาร์มากมาย
ที่มีร้านบูติก และ บาร์มากมาย
ปริ๊นซ์สตรีท (Prince Street) ประเทศสก๊อตแลนด์
ปริ๊นซ์สตรีท (Prince Street) ประเทศสก๊อตแลนด์
เป็นเส้นแบ่งเขตเมืองเก่าและเมืองใหม่ แวดล้อมไปด้วยห้าง สรรพสินค้าชั้นนำ ที่มีสินค้าแบรนด์เนมมากมาย
เป็นเส้นแบ่งเขตเมืองเก่าและเมืองใหม่ แวดล้อมไปด้วยห้าง สรรพสินค้าชั้นนำ ที่มีสินค้าแบรนด์เนมมากมาย
THE SCOTCH WHISKY HERITAGE CENTRE
THE SCOTCH WHISKY HERITAGE CENTRE ซึ่งเป็นศูนย์จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นมาแห่งวิสกี้ และชมกรรมวิธีในการผลิตตั้งแต่การบ่ม ต้ม กลั่น การชิม จนบรรจุขวด ด้วยภาพจำลอง หุ่นแสดง และวีดีโอ
ปราสาทเอดินบะระ (EDINBURGH CASTLE) ประเทศสก๊อตแลนด์
ปราสาทเอดินบะระ
เส้นทางรอยัลไมล์ เป็นถนนเก่าแก่ ผ่านชมอาคารบ้านเรือน และร้านค้าแบบโบราณ และเดินตามรอยเท้าของบุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ของสกอตแลนด์ อาทิเช่น พระราชินีแมรี่ แห่งสก๊อตแลนด์ และโรเบิร์ต หลุยส์ สตีเวนสัน ผ่านชมพระราชวังโฮลี่รู้ด พระราชวังเก่าแก่ที่มีความงดงาม
ปราสาทเอดินบะระ (EDINBURGH CASTLE) ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาอย่างโดดเด่นอันสง่างาม ซึ่งเริ่มสร้างขึ้นในราวช่วงศตวรรษที่11-16 พร้อมชมนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของเมืองเอดินบะระ เป็นโบราณสถานอันล้ำค่าและหวงแหนของชาวสก็อตทุกคน ปัจจุบันภายในปราสาท เป็นพิพิธภัณฑ์ และเป็นสถานที่เก็บสมบัติล้ำค่ามากมาย
เส้นทางรอยัลไมล์ เป็นถนนเก่าแก่ ผ่านชมอาคารบ้านเรือน และร้านค้าแบบโบราณ และเดินตามรอยเท้าของบุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ของสกอตแลนด์ อาทิเช่น พระราชินีแมรี่ แห่งสก๊อตแลนด์ และโรเบิร์ต หลุยส์ สตีเวนสัน ผ่านชมพระราชวังโฮลี่รู้ด พระราชวังเก่าแก่ที่มีความงดงาม
ปราสาทเอดินบะระ (EDINBURGH CASTLE) ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาอย่างโดดเด่นอันสง่างาม ซึ่งเริ่มสร้างขึ้นในราวช่วงศตวรรษที่11-16 พร้อมชมนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของเมืองเอดินบะระ เป็นโบราณสถานอันล้ำค่าและหวงแหนของชาวสก็อตทุกคน ปัจจุบันภายในปราสาท เป็นพิพิธภัณฑ์ และเป็นสถานที่เก็บสมบัติล้ำค่ามากมาย
Thursday, January 14, 2016
ประเทศเกาหลี กับการคืนภาษีให้นักท่องเที่ยว (Tax Free ได้ทันทีที่ซื้อของ)
เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 เป็นต้นไป นักท่องเที่ยวสามารถทำเรื่องหักภาษีได้ ทันทีตอนจ่ายเงินเมื่อซื้อสินค้ากับร้านค้าที่มีสัญลักษณ์ Tax Refund โดยไม่ต้องไปแสดงสินค้า และยื่นเรื่องที่สนามบินก่อนเดินทางกลับ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวไม่ต้องเสียเวลาต่อแถวเพื่อทำเรื่องที่สนามบิน โดยมีเงื่อนไขคือสินค้าที่ซื้อต้องไม่เกิน 200,000 วอน และ รวมทั้งทริปนั้นๆ ต้องไม่เกิน 1 ล้านวอนและต้องแสดงพาสปอร์ต ตอนชำระค่าสินค้า
Friday, January 8, 2016
พระเจ้าฮยอกกอเซแห่งอาณาจักรซิลลา
คาบสมุทรเกาหลีมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับหลายอาณาจักร องค์ชายจูมง ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักรโกคูรยอ กล่าวว่าพระนางยูฮวาท้องโดยได้รับแสงอาทิตย์และคลอดลูกออกมาเป็นไข่ ซึ่งก็คือองค์ชายจูมง พระเจ้าฮยอกกอเซแห่งอาณาจักรซิลลา ที่มีตำนานว่าพระองค์ประสูติจากไข่ และยังมี คิมอันจี ผู้เป็นต้นตระกูลคิมในเกาหลี มีตำนานว่า คิมอันจีถูกพบบริเวณป่าไก่หรือป่าคเยริมที่อยู่ในกล่องสีทองและมีไก่สีทองเอยู่บนกล่องนั้น แต่ตำนานการประสูติจากไข่ของพระเจ้าซูโรยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของคนเท่าไรนัก
หลุมฝังศพของกษัตริย์ซูโร (GIMHAE GAYA ROYAL TOMB OF KIM SURO)
หลุมฝังศพของกษัตริย์ซูโร (GIMHAE GAYA ROYAL TOMB OF KIM SURO)
พระเจ้าซูโร หรือ พระเจ้าซูรึงกษัตริย์พระองค์แรกแห่งกึมควันคายาหรือ อาณาจักรคายา มีพระนามเดิมว่า คิมซูโร เป็นผู้ก่อตั้งกึมควันคายา บริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของเกาหลีตามตำนานกล่าวว่าพระเจ้าซูโรเป็นหนึ่งในหกองค์ชายที่ประสูติจากไข่ที่มาจากท้องฟ้า ที่อยู่ในชามทองห่อผ้าสีแดงพระเจ้าซูโรเป็นองค์ชายพระองค์แรกที่ตั้งอาณาจักรได้ก็คืออาณาจักรคายานั้นเองในตำนานยังกล่าวอีกว่าพระมเหสีของพระเจ้าซูโรซึ่งก็คือพระมเหสีฮอฮวางอ๊กซึ่งพระนางเป็นองค์หญิงที่มาจากอินเดียในแคว้นอโยธยา ซึ่งพระนางเป็นผู้ที่ทำให้อินเดียและเกาหลีได้ทำการค้าซึ่งกันและกันตามตำนานเรื่องที่พระเจ้าซูโรประสูติมาจากไข่นั้น
พระเจ้าซูโร หรือ พระเจ้าซูรึงกษัตริย์พระองค์แรกแห่งกึมควันคายาหรือ อาณาจักรคายา มีพระนามเดิมว่า คิมซูโร เป็นผู้ก่อตั้งกึมควันคายา บริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของเกาหลีตามตำนานกล่าวว่าพระเจ้าซูโรเป็นหนึ่งในหกองค์ชายที่ประสูติจากไข่ที่มาจากท้องฟ้า ที่อยู่ในชามทองห่อผ้าสีแดงพระเจ้าซูโรเป็นองค์ชายพระองค์แรกที่ตั้งอาณาจักรได้ก็คืออาณาจักรคายานั้นเองในตำนานยังกล่าวอีกว่าพระมเหสีของพระเจ้าซูโรซึ่งก็คือพระมเหสีฮอฮวางอ๊กซึ่งพระนางเป็นองค์หญิงที่มาจากอินเดียในแคว้นอโยธยา ซึ่งพระนางเป็นผู้ที่ทำให้อินเดียและเกาหลีได้ทำการค้าซึ่งกันและกันตามตำนานเรื่องที่พระเจ้าซูโรประสูติมาจากไข่นั้น
เมืองฮาดอง (HADONG) เมืองที่ปลูกชาที่มีชื่อเสียงของเกาหลี
เมืองฮาดอง (HADONG) เมืองที่ปลูกชาที่มีชื่อเสียงของเกาหลี ชาเกาหลีเป็นศิลปะซึ่ง แสดงถึงภูมิปัญญาที่มีการสืบทอดกันมาอย่างช้านาน ชาวเกาหลีได้มีการกล่าวกันว่าชาจะช่วยเพิ่มความน่าอภิรมย์แก่ประสาทสัมผัส ทั้งห้าซึ่งได้รับแรงกระตุ้นจากเสียงอันยากที่จะหยั่งถึงของกาน้ำชาที่กำลังเดือด น้ำที่เริ่มเป็นสีเขียวอ่อนๆที่ซึมซาบออกจากใบชาในน้ำร้อน กลิ่นอันหอมหวน สัมผัสที่อบอุ่นกับทรวดทรงโค้งได้รูปของถ้วยน้ำชา และรสชาติอันละเมียดลิ้น เพื่อให้เกิดกลิ่นอันหอมหวนที่สุดและคุณประโยชน์ที่ได้รับจากใบชาอย่างที่นักดื่มชายอมรับนั้นใบชาใบเดียวกันควรจะผ่านขั้นตอนการกลั่นกรองถึงสามขั้น เป็นอย่างน้อย ทุ่ง ชาป่าในฮวา แจ-เมียน, ฮาดอง, เคียงซางนัม-โด (Hwagae-myeon, Hadong, Gyeongsangnam-do) ประมาณปลายเดือนเมษายนหลังจากที่ดอกเชอรี่ที่ได้เบ่งบานแล้วกลับร่วงโรย บริเวณตามลำธารฮวาแจชอน ช่วงระหว่าง เขตฮวาแจและวัดซางเกซานั้นต้นชาป่าก็เริ่มแตกกิ่งก้านและให้กลิ่นหอมอันน่าอภิรมย์ น้ำในยามอรุณรุ่งที่ล่องลอยอยู่รอบๆหุบเขาและสายฝนกับสภาพผิวดินนั้นสมบูรณ์ เหมาะกับการปลูกชาอย่างที่สุด ภายในเขตนี้มีการปลูกชาที่ได้รับการกำหนดมาเป็นพิเศษว่าจะถวายเป็นของบรรณาการโดยเฉพาะแก่ราชนิกูลตั้งแต่ยุคโคเรียวจนถึงยุคโชซอน เทศกาลชาน้ำค้างภูเขาฮาดองจัดขึ้นบริเวณวัดซังเกซาในเดือนพฤษภาคม
หมู่บ้านวัฒนธรรม DONGUIBONGA
หมู่บ้านวัฒนธรรม DONGUIBONGAเป็นหมู่บ้านโบราณในอดีตเคยเป็นสถานที่รักษาคนไข้ หมู่บ้านจะมีการท่องเที่ยวชมการแพทย์แบบดั้งเดิมของเกาหลี
จาจังมยอน (จาจังเมียน)
จาจังมยอน (จาจังเมียน)
จาจังมยอน หรือบะหมี่ดำเกาหลี ซอสถั่วดำที่เรียกว่าจาจัง และมยอน หมายถึง เส้นบะหมี่ เป็นอาหารที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
จาจังมยอน หรือบะหมี่ดำเกาหลี ซอสถั่วดำที่เรียกว่าจาจัง และมยอน หมายถึง เส้นบะหมี่ เป็นอาหารที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
SANGLIM FOUR SEASONS
SANGLIM FOUR SEASONS ซึ่งจะแตกต่างกันแต่ฤดู ฤดูใบไม้ผลิสีเขียวของหนุ่มสาวและไฟป่าในช่วงฤดูร้อนหนักและลึกความเข้มของสีที่มีสีสันของฤดูใบไม้ร่วงและความสงบของหิมะสีขาวในช่วงฤดูหนาว
HAPCHEON วัดแฮอินซา
HAPCHEON
วัดแฮอินซา เป็นวัดในพระพุทธศาสนานิกายมหายานเป็นที่ตั้งของตู้พระไตรปิฎกที่ใหญ่ที่สุดโดยวัดแห่งนี้สร้างขึ้นครั้งแรกในสมัยชิลลาเมื่อ พ.ศ. 1346 ตรงกับรัชสมัยพระเจ้าแอจังโดยพระภิกษุ 2 รูปที่เดินทางกลับมาจากจีน วัดแห่งนี้ได้ถูกไฟไหม้ในปี พ.ศ. 2360 และได้รับการบูรณะในปี พ.ศ. 2361 วัดแห่งนี้และตู้พระไตรปิฎกได้เป็นมรดกโลกในปี พ.ศ. 2538 วัดแฮอินซาได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกภายใต้ชื่อ "ชังกย็องพันจ็อนแห่งวัดแฮอินซา สถานที่เก็บแม่พิมพ์ไม้ของพระไตรปิฎกฉบับเกาหลี" จากองค์การยูเนสโก ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 19 เมื่อปี พ.ศ. 2538 ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนีด้วยข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณาให้เป็นแหล่งมรดกโลก
วัดแฮอินซา เป็นวัดในพระพุทธศาสนานิกายมหายานเป็นที่ตั้งของตู้พระไตรปิฎกที่ใหญ่ที่สุดโดยวัดแห่งนี้สร้างขึ้นครั้งแรกในสมัยชิลลาเมื่อ พ.ศ. 1346 ตรงกับรัชสมัยพระเจ้าแอจังโดยพระภิกษุ 2 รูปที่เดินทางกลับมาจากจีน วัดแห่งนี้ได้ถูกไฟไหม้ในปี พ.ศ. 2360 และได้รับการบูรณะในปี พ.ศ. 2361 วัดแห่งนี้และตู้พระไตรปิฎกได้เป็นมรดกโลกในปี พ.ศ. 2538 วัดแฮอินซาได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกภายใต้ชื่อ "ชังกย็องพันจ็อนแห่งวัดแฮอินซา สถานที่เก็บแม่พิมพ์ไม้ของพระไตรปิฎกฉบับเกาหลี" จากองค์การยูเนสโก ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 19 เมื่อปี พ.ศ. 2538 ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนีด้วยข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณาให้เป็นแหล่งมรดกโลก
พุลโกกิ อาหารขึ้นชื่อของเกาหลี
พุลโกกิ อาหารขึ้นชื่อของเกาหลี จะเรียกว่าเป็นสุกี้กึ่งน้ำกึ่งแห้งก็คงได้ ส่วนผสมของเมนูนี้ คือหมูหมักชิ้นบาง ๆ ปลาหมึกสด ผักต่าง ๆ เช่น กะหล่ำปลี ฟักทองอ่อน ถั่วงอก แครอท เห็ดและวุ้นเส้นมาต้มรวมกัน โดยสามารถทานได้ทั้งแบบแห้งและน้ำ เครื่องเคียงต่าง ๆ คือ ถั่วงอกดอง วุ้นเส้นปรุงรสสาหร่าย กิมจิ
ภูเขามิรึกซาน (MIREUKSAN)
ภูเขามิรึกซาน (MIREUKSAN + CABLE CAR) ขึ้นกระเช้าที่ยาวกว่า 2 กม. ขึ้นชมวิวธรรมชาติอันงดงามที่ภูเขามิรึกซานที่สูงถึง 461 เมตรด้านบนสามารถเห็น ทะเลทงยอง และถ้าในสภาพอากาศที่แจ่มใสสามารถมองเห็นเกาะ Tsushima ในประเทศญี่ปุ่นและด้านบนมีดอกไม้สวยงามทั้งใน ฤดูใบไม้ผลิและใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วงซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี
พิพิธภัณฑ์สงครามเกาหลี (HISTORIC PARK OF GEOJE POW CAMP)
พิพิธภัณฑ์สงครามเกาหลี (HISTORIC PARK OF GEOJE POW CAMP)
สถานกักกันเชลยสงคราม ชมเรื่องราวต่างๆสมัยสงครามเกาหลีเหนือ และเกาหลีใต้ และเมื่อทหารเกาหลีเหนือพ่ายแพ้ต่อสงครามได้ถูกกักกันในพื้นที่แห่งนี้การจำลองเหตุการณ์ต่างๆ และพิพิธภัณฑ์อาวุธ พร้อมได้ชมภาพยนตร์ 4D (HISTORIC PARK OF GEOJE POW CAMP 4D THEATERS) ชวนตื่นเต้นเสมือนอยู่ในเหตุการณ์จริง
สถานกักกันเชลยสงคราม ชมเรื่องราวต่างๆสมัยสงครามเกาหลีเหนือ และเกาหลีใต้ และเมื่อทหารเกาหลีเหนือพ่ายแพ้ต่อสงครามได้ถูกกักกันในพื้นที่แห่งนี้การจำลองเหตุการณ์ต่างๆ และพิพิธภัณฑ์อาวุธ พร้อมได้ชมภาพยนตร์ 4D (HISTORIC PARK OF GEOJE POW CAMP 4D THEATERS) ชวนตื่นเต้นเสมือนอยู่ในเหตุการณ์จริง
WINDY HILL
WINDY HILL ที่นี่มีท่าเทียบเรือจุดชมวิวที่ขึ้นชื่อ และเป็นสถานที่ที่ใช้ถ่ายทำซีรี่ย์เกาหลีหลายเรื่อง เช่น Eve\'s Garden (2003, SBS) and Merry- Go-Round (2004, MBC) และรายการโทรทัศน์ 2 Days & 1 Night ที่นี่มีเนินเขาที่ปกคลุมไปด้วยหญ้า มีกังหัน และมองเห็นวิวทะเล
เกาะโกเจ (GEOJE)
เกาะโกเจ (GEOJE) โดยใช้เส้นทางสะพานกอกา (Geoga Grand Bridge) โดยเส้นทางนี้สามารถย่นระยะทางการเดินทางของเมืองปูซานและเกาะกอเจลงถึง 2ชม. โดยลอดอุโมงค์ใต้ทะเล ที่ลึกที่สุดในโลกและสะพานแขวนข้ามทะเลไปยังเกาะกอเจ รวมใช้เวลาประมาณ 50 นาที พักชมวิว ณ จุดชมวิว ให้ทุกท่านได้ถ่ายรูปและเก็บความประทับใจคู่กับสะพานและทะเลอันงดงาม
เมนูบูลโกกิ หมูหมักสไตล์สมัยใหม่เกาหลี มีรสชาติออกหวานเผ็ดเล็กน้อย
เมนูบูลโกกิ หมูหมักสไตล์สมัยใหม่เกาหลี มีรสชาติออกหวานเผ็ดเล็กน้อย โดยนาหมูลงในกระทะพร้อมน้าซุปปรุงรส เมื่อสุกรับประทานพร้อมเครื่องเคียงและข้าวสวย หากต้องการแบบรสชาติเกาหลีแท้ๆ ก็สามารถใส่กิมจิหมักลงต้มด้วย ก็จะได้รสชาติอีกแบบหนึ่ง
Lotte Dong Busan
Lotte Dong Busan แหล่งช็อปปิ้งที่มีความหลากหลาย รวมร้านค้าแบรนด์ดังกว่า 550 ร้านค้า ทั้งเสื้อผ้าแบรนด์แฟชั่นต่างประเทศ อุปกรณ์กีฬา เครื่องสาอาง ร้านขายของเล่นสาหรับเด็ก ร้านขายเลโก้ นอกจากนี้ยังมีร้านค้าพิเศษที่เป็นสินค้าท้องถิ่นที่มีคุณภาพดีและราคาถูกตอบสนองความต้องการ
สะพานแขวนควังอัน หรือสะพานเพชร
สะพานแขวนควังอัน หรือสะพานเพชร สะพานนี้เปรียบเสมือนซานฟรานซิสโกแห่งเกาหลี เป็นสะพานที่ทอดยาวเหนือน้าทะเล เชื่อมโยงระหว่างใจกลางเมืองสู่ชายหาด มีความยาวกว่า 7.4 กิโลเมตร และเป็นสะพานเชื่อมระหว่าง HAEUNDAE-GU และ SUYEONG-GU ให้อยู่ใกล้กันแค่เอื้อม สะพานควังอันนี้เป็นสัญลักษณ์อีกแห่งหนึ่งของเมืองปูซาน อีกทั้งบริเวณท้องทะเลแห่งนี้ยังเป็นจุดชมวิวของท่าเรือยอร์ช และไม่ว่าคุณจะอยู่ส่วนไหนของปูซานก็สามารถมองเห็นสะพานควังอันได้ทั้งในระยะใกล้หรือไกล ในยามค่าคืนจะมีแสงไฟส่องสว่างจากสะพานที่ส่องประกายราวกับเพชร นอกจากนี้ ยังทาให้คุณรู้สึกถึงความโรแมนติกด้วยวิวทะเลทั้งสองข้างทางอีกด้วย
ศูนย์สมุนไพรบารุงตับ ฮ็อตเกนามู
ศูนย์สมุนไพรบารุงตับ ฮ็อตเกนามู ต้นไม้ชนิดนี้เจริญเติบโตในป่าลึกบนภูเขาที่ปราศจากมลภาวะและระดับสูงเหนือน้าทะเล 50 - 800 เมตร ชาวเกาหลีรุ่นใหม่นิยมนามารับประทานเพื่อช่วยดูแลตับให้สะอาดแข็งแรง ป้องกันโรคตับแข็ง ไม่ถูกทาลายจากการดื่มแอลกอฮอล์ กาแฟ บุหรี่ สารตกค้างจากอาหารและยา
เมนูบุฟเฟต์บาบีคิวปิ้งย่างสไตล์เกาหลี
เมนูบุฟเฟต์บาบีคิวปิ้งย่างสไตล์เกาหลี เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัว ปลาหมึก และอาหารเกาหลีเติมไม่อั้น
ตลาดปลาชาลกาชิ
ตลาดปลาชาลกาชิ สัมผัสชีวิตและอาชีพพื้นเมืองของชาวพูซานดั้งเดิม ซึ่งเป็นที่รู้จักตั้งแต่สมัยสงครามเกาหลี 1950 เป็นต้นมา ตลอดแนวท่าเรือประมาณ 1 กม. จากศาลากลางเมืองพูซาน เป็นแหล่งรวมขายส่งปลาทุกชนิด ทุกวันจะมีของสดของทะเลมากมายนามาประมูลกันในยามเช้ามืด และช่วงสายยังสามารถซื้อในราคาปลีกที่ค่อนข้างถูก
ถนนสายบันเทิงของเมืองปูซาน หรือที่เรียกกันว่า BIFF (Busan International Film Festival)
ถนนสายบันเทิงของเมืองปูซาน หรือที่เรียกกันว่า BIFF (Busan International Film Festival) ศูนย์กลางในการจัดงานภาพยนตร์นานาชาติที่รู้จักกันในนาม “เทศกาลหนังปูซาน” เริ่มเปิดในปี 1996 ปัจจุบันจะมีเทศกาลหนังช่วงเดือนกันยายน หรือเดือนพฤศจิกายนของทุกที ในบริเวณนี้ยังเต็มไปด้วยร้านค้า และแหล่งช็อปปิ้งจานวนมาก
หอคอยปูซาน
หอคอยปูซาน ที่ซึ่งเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของเมือง อีกทั้งยังเป็นจุดชมวิวที่จะทาให้คุณเห็นปูซานแบบ 360 องศาอีกด้วย
สวนยงดูซาน ตั้งอยู่บนภูเขาในย่านดาวน์ทาวน์ของปูซาน
สวนยงดูซาน ตั้งอยู่บนภูเขาในย่านดาวน์ทาวน์ของปูซาน และยังเป็นภูเขาที่มีชื่อเสียงของเมืองปูซานอีกด้วย โดยในช่วงสมัยสงครามเกาหลีมีประชาชนมากมายอพยพมาตั้งถิ่นฐานบนภูเขาแห่งนี้ แต่เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ถึงสองครั้ง ทาให้ป่าไม้ถูกทาลายไป ชาวบ้านจึงช่วยกันฟื้นฟูโดยการปลูกต้นไม้ขึ้นมาทดแทน จนกลายเป็นสวนสาธารณะในที่สุด และยังเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าที่สร้างโดยชาวญี่ปุ่นในยุคตกเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น
RED PINE เป็นผลิตภัณฑ์ที่สกัดจากน้ามันสน
RED PINE เป็นผลิตภัณฑ์ที่สกัดจากน้ามันสน ที่มีสรรพคุณช่วยบารุงร่างกาย ลดไขมัน ช่วยควบคุมอาหารและรักษาสมดุลในร่างกาย
ศูนย์สมุนไพรสนเข็มแดงหรือ RED PINE ซึ่งผลิตจากใบสนเข็มแดงในประเทศเกาหลีซึ่งจะใช้ต้นสนเข็มแดงจากยอดเขาที่ประเทศเกาหลีเหนือมาผลิตโดยใช้เทคโนโลยีพร้อมกับการวิจัยที่ประเทศเกาหลีใต้ออกมาเป็นน้ำมันสนเข็มแดง ภูมิประเทศของประเทศเกาหลีเป็นภูเขาประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์โดยกว่าจะมาเป็นน้ำมันสนเข็มแดงได้ 1 แคปซูล ต้องใช้ใบสนเข็มแดงประมาณ 2.7 กิโลกรัมมาสกัดเอาน้ำมันมาผลิตและวิจัยออกมาเป็นน้ำมันสนนี้สามารถช่วยในการลดระดับไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี
ศูนย์สมุนไพรสนเข็มแดงหรือ RED PINE ซึ่งผลิตจากใบสนเข็มแดงในประเทศเกาหลีซึ่งจะใช้ต้นสนเข็มแดงจากยอดเขาที่ประเทศเกาหลีเหนือมาผลิตโดยใช้เทคโนโลยีพร้อมกับการวิจัยที่ประเทศเกาหลีใต้ออกมาเป็นน้ำมันสนเข็มแดง ภูมิประเทศของประเทศเกาหลีเป็นภูเขาประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์โดยกว่าจะมาเป็นน้ำมันสนเข็มแดงได้ 1 แคปซูล ต้องใช้ใบสนเข็มแดงประมาณ 2.7 กิโลกรัมมาสกัดเอาน้ำมันมาผลิตและวิจัยออกมาเป็นน้ำมันสนนี้สามารถช่วยในการลดระดับไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี
เมนูซัมเกทัง (ไก่ตุ๋นโสม)
เมนูซัมเกทัง (ไก่ตุ๋นโสม) ของขึ้นชื่อตั้งแต่ยุคสมัยราชวงศ์โชซอน มีต้นตารับมาจากในวัง เป็นเมนูอาหารเกาหลีที่นิยมทานเพื่อบำรุงกาลังและเสริมสุขภาพ ภายในไก่จะยัดไส้สมุนไพรต่างๆ เช่น ข้าวเหนียว รากโสม พริกไทยแดง เกาลัด พุทราจีน เป็นต้น กินพร้อมกับเครื่องเคียง อาทิ เส้นแป้งลักษณะคล้ายเส้นขนมจีน เหล้าโสม พริกไทยดา เกลือ และกิมจิ
วัดแฮดอง ยงกุงซา (Haedong Yonggungsa Temple)
วัดแฮดอง ยงกุงซา (Haedong Yonggungsa Temple)
ก่อตั้งขึ้นในปี 1376 โดยสร้างอยู่บนโขดหินริมทะเล มองเห็นน้าทะเลสีฟ้าใสของทะเลใต้ มีบรรยากาศที่ร่มรื่น แวดล้อมด้วยธรรมชาติที่สวยงาม ชื่อของวัดหมายถึงพระราชวังของมังกรกษัตริย์ ซึ่งความเป็นมาของวัดแห่งนี้ก็ดูลึกลับน่าพิศวงดั่งชื่อที่ตั้งไว้ ในบริเวณวัดมีเจดีย์องค์ใหญ่ซึ่งมีผู้คนแวะเวียนไปสักการะบูชาไม่ขาดสาย นอกจากนี้ยังสามารถข้ามสะพานหินและขึ้นบันได 108 ขั้นไปยังจุดชมวิวที่อยู่ด้านบนเพื่อดื่มด่ากับวิวทิวทัศน์ที่สวยงามจนลืมความเหนื่อยเมื่อยล้า ภาพของวัดกับแนวโขดหินรูปร่างแปลกตาสุดแล้วแต่จินตนาการของผู้มองและเกลียวน้าวนที่หมุนวนอยู่เบื้องล่างทาให้เกิดเป็นภาพที่สวยงามน่าประทับใจ ว่ากันว่าแต่เดิมก่อนที่จะสร้างวัด พื้นที่ตรงนี้มีความแห้งแล้ง ฝนไม่ตกตามฤดูกาล กระทั่งพระภิกษุท่านหนึ่งได้ฝันเห็นเทพเจ้าแห่งความเมตตาซึ่งสถิตอยู่ในท้องทะเล บอกให้สร้างวัดบริเวณนี้จึงจะเกิดความโชคดี และก็เป็นดังนั้น เมื่อวัดสร้างเสร็จความแห้งแล้งที่เคยมีก็ชุ่มฉ่าไปด้วยน้าฝนและพืชไร่ อีกทั้งหากมองไปด้านหน้าจะเห็นภูเขาและถ้ามองไปด้านหลังของวัดจะเห็นน้าทะเล ชาวบ้านจึงเชื่อว่าหากอธิษฐานสวดมนต์ในตอนเช้าก็จะได้รับการตอบจากเทพเจ้าแห่งความเมตตาในช่วงเย็นนั่นเอง
ก่อตั้งขึ้นในปี 1376 โดยสร้างอยู่บนโขดหินริมทะเล มองเห็นน้าทะเลสีฟ้าใสของทะเลใต้ มีบรรยากาศที่ร่มรื่น แวดล้อมด้วยธรรมชาติที่สวยงาม ชื่อของวัดหมายถึงพระราชวังของมังกรกษัตริย์ ซึ่งความเป็นมาของวัดแห่งนี้ก็ดูลึกลับน่าพิศวงดั่งชื่อที่ตั้งไว้ ในบริเวณวัดมีเจดีย์องค์ใหญ่ซึ่งมีผู้คนแวะเวียนไปสักการะบูชาไม่ขาดสาย นอกจากนี้ยังสามารถข้ามสะพานหินและขึ้นบันได 108 ขั้นไปยังจุดชมวิวที่อยู่ด้านบนเพื่อดื่มด่ากับวิวทิวทัศน์ที่สวยงามจนลืมความเหนื่อยเมื่อยล้า ภาพของวัดกับแนวโขดหินรูปร่างแปลกตาสุดแล้วแต่จินตนาการของผู้มองและเกลียวน้าวนที่หมุนวนอยู่เบื้องล่างทาให้เกิดเป็นภาพที่สวยงามน่าประทับใจ ว่ากันว่าแต่เดิมก่อนที่จะสร้างวัด พื้นที่ตรงนี้มีความแห้งแล้ง ฝนไม่ตกตามฤดูกาล กระทั่งพระภิกษุท่านหนึ่งได้ฝันเห็นเทพเจ้าแห่งความเมตตาซึ่งสถิตอยู่ในท้องทะเล บอกให้สร้างวัดบริเวณนี้จึงจะเกิดความโชคดี และก็เป็นดังนั้น เมื่อวัดสร้างเสร็จความแห้งแล้งที่เคยมีก็ชุ่มฉ่าไปด้วยน้าฝนและพืชไร่ อีกทั้งหากมองไปด้านหน้าจะเห็นภูเขาและถ้ามองไปด้านหลังของวัดจะเห็นน้าทะเล ชาวบ้านจึงเชื่อว่าหากอธิษฐานสวดมนต์ในตอนเช้าก็จะได้รับการตอบจากเทพเจ้าแห่งความเมตตาในช่วงเย็นนั่นเอง
สมุนไพรโสมเกาหลี หรือราชาแห่งมวลสมุนไพร
สมุนไพรโสมเกาหลี หรือราชาแห่งมวลสมุนไพร
โสมถูกนามาใช้เพื่อสุขภาพเป็นเวลานานากว่า 2,000 ปี ในตารายาแผนโบราณจีน ระบุว่า โสมเป็นสมุนไพรที่ช่วยเสริมความแข็งแรงให้แก่ระบบย่อยอาหารและปอด ช่วยทาให้จิตใจสงบและเพิ่มพละกาลังโดยส่วนรวมสรรพคุณทางการแพทย์ ช่วยบารุงหัวใจ ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด เสริมประสิทธิภาพทางเพศ ลดและป้องกันมะเร็ง และเร็วๆ นี้ โสมเกาหลีอาจจะได้จดทะเบียนมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก ทุกวันนี้ผลิตภัณฑ์โสมเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สาหรับผู้ที่คานึงถึงสุขภาพในปัจจุบัน
โสมถูกนามาใช้เพื่อสุขภาพเป็นเวลานานากว่า 2,000 ปี ในตารายาแผนโบราณจีน ระบุว่า โสมเป็นสมุนไพรที่ช่วยเสริมความแข็งแรงให้แก่ระบบย่อยอาหารและปอด ช่วยทาให้จิตใจสงบและเพิ่มพละกาลังโดยส่วนรวมสรรพคุณทางการแพทย์ ช่วยบารุงหัวใจ ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด เสริมประสิทธิภาพทางเพศ ลดและป้องกันมะเร็ง และเร็วๆ นี้ โสมเกาหลีอาจจะได้จดทะเบียนมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก ทุกวันนี้ผลิตภัณฑ์โสมเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สาหรับผู้ที่คานึงถึงสุขภาพในปัจจุบัน
ช็อปปิ้งถนนทงซองโน
ช็อปปิ้งถนนทงซองโน ตลาดเสื้อผ้าขนาดใหญ่ ถนนสายแฟชั่นที่มีเสื้อผ้าแบรนด์เนมของเกาหลีกับคอลเลคชั่นใหม่ล่าสุดให้เลือกซื้อกันอย่างเต็มอิ่ม ว่ากันว่าแฟชั่นที่นี่อาจจะล้าหน้ากว่าที่กรุงโซลและราคาไม่แพงอีกด้วย พร้อมทั้งเลือกซื้อเครื่องสาอางแบรนด์ดังของเกาหลี อาทิ Etude, Skin Food, Face Shop ในราคาถูกกว่าเมืองไทยถึง 4 เท่า
Magic Art แสดงงานศิลปะภาพวาดลวงตา
Magic Art แสดงงานศิลปะภาพวาดลวงตา ซึ่งเป็นแนวคิดรูปแบบใหม่เพื่อต้องการจะจุดประกายความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการของการสร้างภาพโดยใช้เทคนิคพิเศษจากภาพสามมิติ ที่ผู้ชมสามารถมีส่วนร่วมกับผลงานเหล่านี้ได้อย่างสนุกสนาน
83 ทาวเวอร์ (83 Tower)
83 ทาวเวอร์ (83 Tower)
เป็นสัญลักษณ์ของเมืองแดกู เพื่อชมวิวพาโนรามา 360 องศาของเมือง
เป็นสัญลักษณ์ของเมืองแดกู เพื่อชมวิวพาโนรามา 360 องศาของเมือง
สวนสนุก E-WORLD
“สวนสนุก E-WORLD”
สวนสนุกที่ใหญ่เป็นอันดับสามของเกาหลีใต้ เปิดเมื่อปี 1995 ซึ่งเครื่องเล่นที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ “สกายจั๊ม” หรือเรียกว่า “หอสูง” ให้โดดวัดใจท้าทายความกล้า และยังมีเครื่องเล่นสุดมันส์ อาทิ รถไฟเหาะ, Ballon Race, Water Fall Plaza, บ้านผีสิง ฯลฯ และสวนดอกไม้ นานาชนิด เช่น สวนดอกทิวลิป สวนสไตล์ยุโรป ให้คุณได้เลือกมุมถ่ายภาพน่ารักๆ เก็บเป็นที่ระลึก และพิเศษสุดๆ
สวนสนุกที่ใหญ่เป็นอันดับสามของเกาหลีใต้ เปิดเมื่อปี 1995 ซึ่งเครื่องเล่นที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ “สกายจั๊ม” หรือเรียกว่า “หอสูง” ให้โดดวัดใจท้าทายความกล้า และยังมีเครื่องเล่นสุดมันส์ อาทิ รถไฟเหาะ, Ballon Race, Water Fall Plaza, บ้านผีสิง ฯลฯ และสวนดอกไม้ นานาชนิด เช่น สวนดอกทิวลิป สวนสไตล์ยุโรป ให้คุณได้เลือกมุมถ่ายภาพน่ารักๆ เก็บเป็นที่ระลึก และพิเศษสุดๆ
เมนูข้าวยาบิบิมบับ (BIBIMBUB)
เมนูข้าวยาบิบิมบับ (BIBIMBUB)
ข้าวสูตรดั่งเดิมของเกาหลีซึ่งนำเอาข้าวสวย ผักต่างๆ เช่น ถั่วงอก ผักกาดเห็ดหอม สาหร่าย และซอสสีแดงมาผัดรวมกัน ซึ่งก็จะได้รสชาติแบบเกาหลีจริงๆ
ข้าวสูตรดั่งเดิมของเกาหลีซึ่งนำเอาข้าวสวย ผักต่างๆ เช่น ถั่วงอก ผักกาดเห็ดหอม สาหร่าย และซอสสีแดงมาผัดรวมกัน ซึ่งก็จะได้รสชาติแบบเกาหลีจริงๆ
วัดดองฮวาซา (Donghwasa Temple)
วัดดองฮวาซา (Donghwasa Temple)
วัดแห่งนี้ได้อนุรักษ์สิ่งที่หลงเหลือจากอดีตอันหลากหลาย มีเจดีย์หินสามชั้นในปีกด้านตะวันออกและตะวันตกของวัดเป็นผังแบบวัดที่หาดูได้ยาก เสาโบราณคู่หินแห่งพระไวโรคัน (Vairocana Buddha) และภาพแกะสลักพระพุทธบนก้อนหินทาให้วัดนี้มีค่ายิ่ง
เยี่ยมชมไร่ผลไม้ส่งออกที่สาคัญในฤดูหนาว ที่ ไร่สตรอว์เบอร์รี เชิญลิ้มรสสตรอว์เบอร์รีเกาหลีสดๆ พบกับวิถีชีวิตชาวไร่ของเกาหลี ว่ามีวิธีการปลูกอย่างไรจึงได้ผลสตรอว์เบอร์รีที่ขนาดใหญ่เป็นพิเศษและหวานหอมชวนรับประทาน เป็นที่ชื่นชอบของชาวเกาหลีเองและชาวต่างชาติ โดยสามารถเลือกเก็บสตรอว์เบอร์รี และเลือกชิมได้จากภายในไร่ พร้อมทั้งยังสามารถซื้อกลับไปฝากคนทางบ้านได้ด้วย
วัดแห่งนี้ได้อนุรักษ์สิ่งที่หลงเหลือจากอดีตอันหลากหลาย มีเจดีย์หินสามชั้นในปีกด้านตะวันออกและตะวันตกของวัดเป็นผังแบบวัดที่หาดูได้ยาก เสาโบราณคู่หินแห่งพระไวโรคัน (Vairocana Buddha) และภาพแกะสลักพระพุทธบนก้อนหินทาให้วัดนี้มีค่ายิ่ง
เยี่ยมชมไร่ผลไม้ส่งออกที่สาคัญในฤดูหนาว ที่ ไร่สตรอว์เบอร์รี เชิญลิ้มรสสตรอว์เบอร์รีเกาหลีสดๆ พบกับวิถีชีวิตชาวไร่ของเกาหลี ว่ามีวิธีการปลูกอย่างไรจึงได้ผลสตรอว์เบอร์รีที่ขนาดใหญ่เป็นพิเศษและหวานหอมชวนรับประทาน เป็นที่ชื่นชอบของชาวเกาหลีเองและชาวต่างชาติ โดยสามารถเลือกเก็บสตรอว์เบอร์รี และเลือกชิมได้จากภายในไร่ พร้อมทั้งยังสามารถซื้อกลับไปฝากคนทางบ้านได้ด้วย
เขาพัลกงซาน ภูเขาที่มีชื่อเสียงของเมืองแทกู
เขาพัลกงซาน ภูเขาที่มีชื่อเสียงของเมืองแทกู
เป็นเทือกเขาที่มียอดเขาอยู่หลายยอด มีหินรูปทรงสวยงามเป็นธรรมชาติที่หาดูได้ยาก มีความสูงถึง 1,192 เมตร ตามความเชื่อของคนเกาหลี เชื่อว่าภูเขาพัลกงซานเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์เพราะภูเขามีลักษณะคล้ายกับรูปร่างของพระพุทธรูปสามองค์ ภูเขาลูกนี้เกิดจากการก่อตัวของหินแกรนิตที่สวยงามผสมผสานกันได้อย่างลงตัวกับหินและป่าไม้ที่หนาแน่น จึงเป็นสถานที่ที่น่าสนใจสาหรับนักท่องเที่ยวตลอดทั้งปีและจะสวยงามที่สุดในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี
เป็นเทือกเขาที่มียอดเขาอยู่หลายยอด มีหินรูปทรงสวยงามเป็นธรรมชาติที่หาดูได้ยาก มีความสูงถึง 1,192 เมตร ตามความเชื่อของคนเกาหลี เชื่อว่าภูเขาพัลกงซานเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์เพราะภูเขามีลักษณะคล้ายกับรูปร่างของพระพุทธรูปสามองค์ ภูเขาลูกนี้เกิดจากการก่อตัวของหินแกรนิตที่สวยงามผสมผสานกันได้อย่างลงตัวกับหินและป่าไม้ที่หนาแน่น จึงเป็นสถานที่ที่น่าสนใจสาหรับนักท่องเที่ยวตลอดทั้งปีและจะสวยงามที่สุดในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี
เมนูจิมทัค ไก่อบซีอิ๊ววุ้นเส้น
เมนูจิมทัค ไก่อบซีอิ๊ววุ้นเส้น
เมนูอาหารเกาหลีพื้นเมืองดั้งเดิม เป็นไก่ผัดรวมกับวุ้นเส้น มันฝรั่ง แครอท พริก และซอสดา เนื้อไก่ที่นิ่ม รสชาติคล้ายกับไก่พะโล้สูตรเกาหลี ทานกับข้าว หอมอร่อย รสเผ็ดถึงเครื่อง
เมนูอาหารเกาหลีพื้นเมืองดั้งเดิม เป็นไก่ผัดรวมกับวุ้นเส้น มันฝรั่ง แครอท พริก และซอสดา เนื้อไก่ที่นิ่ม รสชาติคล้ายกับไก่พะโล้สูตรเกาหลี ทานกับข้าว หอมอร่อย รสเผ็ดถึงเครื่อง
เมืองแทกู (Daegu) เมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสี่ของประเทศเกาหลี
เมืองแทกู (Daegu) เมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสี่ของประเทศเกาหลี
ด้วยจานวนประชากรกว่าสองล้านห้าแสนคน แทกูยังเป็นศูนย์กลางการทอผ้าของประเทศ และเป็นเมืองที่มีการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกในปีค.ศ. 2002 ตลอดจนเป็นศูนย์การค้าพืชสมุนไพรนานาชนิด โดยมีสถานพยาบาลแผนตะวันออกกว่า 300 แห่งที่ใช้สมุนไพรเหล่านี้ในการรักษา ตลอดจนมีร้านขายยาสมุนไพร และร้านปรุงสมุนไพรรวมอยู่ด้วย
ด้วยจานวนประชากรกว่าสองล้านห้าแสนคน แทกูยังเป็นศูนย์กลางการทอผ้าของประเทศ และเป็นเมืองที่มีการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกในปีค.ศ. 2002 ตลอดจนเป็นศูนย์การค้าพืชสมุนไพรนานาชนิด โดยมีสถานพยาบาลแผนตะวันออกกว่า 300 แห่งที่ใช้สมุนไพรเหล่านี้ในการรักษา ตลอดจนมีร้านขายยาสมุนไพร และร้านปรุงสมุนไพรรวมอยู่ด้วย
Eden Valley Resort สกีรีสอร์ทแห่งเดียวทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของเกาหลี
Eden Valley Resort สกีรีสอร์ทแห่งเดียวทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของเกาหลี
ที่ได้รับการออกแบบในแนววิทยาศาสตร์ ถือเป็นสกีรีสอร์ทระดับเวิลด์คลาสแห่งหนึ่งของโลก สกีรีสอร์ทแห่งนี้มี 7 สโลป มีสกีกระเช้าลิฟต์ที่สามารถขนส่งนักเล่นสกีได้ถึง 11,000 คนต่อชั่วโมง มีความหลากหลายของเนินเขาที่สามารถตอบสนองความท้าท้ายของการเล่นสกีและสโนว์บอร์ด ทางรีสอร์ทยังมีสิ่งอานวยความสะดวกด้านการกีฬา กอล์ฟ และการพักผ่อนในรูปแบบร้านอาหาร คอฟฟี่ช็อป ซูเปอร์มาร์เก็ตไว้คอยบริการ (ปริมาณของหิมะและการเปิดให้บริการชองลานสกี ขึ้นอยู่กับความเอื้ออานวยของอากาศ หากไม่มีหิมะเพียงพอ ลานสกีอาจจะปิดให้บริการ)
ที่ได้รับการออกแบบในแนววิทยาศาสตร์ ถือเป็นสกีรีสอร์ทระดับเวิลด์คลาสแห่งหนึ่งของโลก สกีรีสอร์ทแห่งนี้มี 7 สโลป มีสกีกระเช้าลิฟต์ที่สามารถขนส่งนักเล่นสกีได้ถึง 11,000 คนต่อชั่วโมง มีความหลากหลายของเนินเขาที่สามารถตอบสนองความท้าท้ายของการเล่นสกีและสโนว์บอร์ด ทางรีสอร์ทยังมีสิ่งอานวยความสะดวกด้านการกีฬา กอล์ฟ และการพักผ่อนในรูปแบบร้านอาหาร คอฟฟี่ช็อป ซูเปอร์มาร์เก็ตไว้คอยบริการ (ปริมาณของหิมะและการเปิดให้บริการชองลานสกี ขึ้นอยู่กับความเอื้ออานวยของอากาศ หากไม่มีหิมะเพียงพอ ลานสกีอาจจะปิดให้บริการ)
เมนูชาบูชาบู สุกี้หม้อไฟสไตล์เกาหลี
เมนูชาบูชาบู สุกี้หม้อไฟสไตล์เกาหลี อาหารพื้นเมืองของคาบสมุทรเกาหลีตั้งแต่สมัยมองโกเลียบุกคาบสมุทรเกาหลี ลักษณะคล้ายสุกี้หม้อไฟของญี่ปุ่น
หมู่บ้านวัฒนธรรมคัมชอน (GAMCHON CULTURE VILLAGE)
หมู่บ้านวัฒนธรรมคัมชอน (GAMCHON CULTURE VILLAGE)
ตั้งอยู่บนภูเขาและถือเป็น “ซานโตรินีแห่งเกาหลีใต้” ด้วยสีสันสดใสอีกทั้งยังมีจุดชมวิวที่เห็นน้าทะเลกว้างไกลสุดตา ทาให้ที่นี่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวไม่น้อย ว่ากันว่าแต่เดิมนั้นหมู่บ้านวัฒนธรรมคัมชอน เป็นถิ่นฐานของผู้คนที่อพยพขึ้นมาครั้งสงครามเกาหลี ซึ่งภายหลังสงคราม หมู่บ้านเสื่อมโทรมมาก กระทั่งได้รับการฟื้นฟูจากนักศิลปะในเกาหลีที่ร่วมกันตกแต่งหมู่บ้านจนออกมาสวยงามอย่างทุกวันนี้ หากใครได้มีโอกาสแวะเวียนไปก็อย่าลืมไปยัง SKY GARDEN จุดชมวิวที่สวยที่สุดของหมู่บ้านวัฒนธรรมคัมชอนแห่งนี้
ตั้งอยู่บนภูเขาและถือเป็น “ซานโตรินีแห่งเกาหลีใต้” ด้วยสีสันสดใสอีกทั้งยังมีจุดชมวิวที่เห็นน้าทะเลกว้างไกลสุดตา ทาให้ที่นี่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวไม่น้อย ว่ากันว่าแต่เดิมนั้นหมู่บ้านวัฒนธรรมคัมชอน เป็นถิ่นฐานของผู้คนที่อพยพขึ้นมาครั้งสงครามเกาหลี ซึ่งภายหลังสงคราม หมู่บ้านเสื่อมโทรมมาก กระทั่งได้รับการฟื้นฟูจากนักศิลปะในเกาหลีที่ร่วมกันตกแต่งหมู่บ้านจนออกมาสวยงามอย่างทุกวันนี้ หากใครได้มีโอกาสแวะเวียนไปก็อย่าลืมไปยัง SKY GARDEN จุดชมวิวที่สวยที่สุดของหมู่บ้านวัฒนธรรมคัมชอนแห่งนี้
เมืองปูซาน
เมืองปูซาน
เมืองที่เต็มไปด้วยแนวเขาอันงดงามด้านหนึ่ง และติดกับทะเลที่แสนจะเย็นสบายอีกด้านหนึ่ง ภายใต้ชีวิตความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างทันสมัย ปูซานถือได้ว่าเป็นเมืองที่ให้บรรยากาศ "อบอุ่นเป็นกันเอง" อย่างแท้จริง "เมืองแห่งฤดูร้อน" ของเกาหลีแห่งนี้เป็นที่ตั้งของชายหาดที่ใหญ่ที่สุด แม่น้ำที่ยาวที่สุดและทิวทัศน์ทางธรรมชาติที่สวยงามที่สุด นอกจากนี้ยังถูกใช้เป็นสถานะที่จัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติปูซานที่มีชื่อเสียงในระดับโลก รอยยิ้มอันเป็นมิตรจากคนท้องถิ่นและสภาพอากาศที่กำลังพอเหมาะตลอดทั้งปีทำให้เมืองแห่งนี้จัดเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของเกาหลีใต้ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับหนึ่งของทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว
เมืองที่เต็มไปด้วยแนวเขาอันงดงามด้านหนึ่ง และติดกับทะเลที่แสนจะเย็นสบายอีกด้านหนึ่ง ภายใต้ชีวิตความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างทันสมัย ปูซานถือได้ว่าเป็นเมืองที่ให้บรรยากาศ "อบอุ่นเป็นกันเอง" อย่างแท้จริง "เมืองแห่งฤดูร้อน" ของเกาหลีแห่งนี้เป็นที่ตั้งของชายหาดที่ใหญ่ที่สุด แม่น้ำที่ยาวที่สุดและทิวทัศน์ทางธรรมชาติที่สวยงามที่สุด นอกจากนี้ยังถูกใช้เป็นสถานะที่จัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติปูซานที่มีชื่อเสียงในระดับโลก รอยยิ้มอันเป็นมิตรจากคนท้องถิ่นและสภาพอากาศที่กำลังพอเหมาะตลอดทั้งปีทำให้เมืองแห่งนี้จัดเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของเกาหลีใต้ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับหนึ่งของทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว
Thursday, January 7, 2016
อุทยานแห่งชาติบาเจียง
อุทยานแห่งชาติบาเจียงอันเป็นที่ตั้งของน้ำตกที่สวยสดงดงามอีกแห่งคือ น้ำตกตาดผาส้วม แค่ชื่ออาจฟังดูแปลก ๆ แต่จุดเด่นของน้ำตก คือสายน้ำที่ไหลผ่านหินผาขนาดใหญ่ที่มีลักษณะเป็นแท่ง ๆ รูปร่างคล้ายห้องหอของคู่บ่าวสาว
น้ำตกคอนพะเพ็ง
น้ำตกคอนพะเพ็งเป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในเขตแม่น้ำโขงตอนล่าง ตั้งอยู่บนแก่งหินขนาดใหญ่ขวางกั้นเส้นทางการไหลของแม่น้ำโขงทั้งสาย มีลักษณะต่างระดับกันสูงประมาณ 10 เมตร
น้ำตกหลี่ผี
น้ำตกหลี่ผี คำว่า หลี่ เป็นภาษาลาว หมายถึง เครื่องมือจับปลาชนิดหนึ่งมีลักษณะคล้ายลอบ ส่วนคำว่า ผี หมายถึงศพคนตาย ซึ่งบริเวณน้ำตกหลี่ผีจะมีกระแสน้ำไหลบ่าตามพื้นที่ราบผ่านแผ่นหิน
ปราสาทหินวัดพู
ปราสาทหินวัดพู สถานที่แห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแห่งที่สองของประเทศลาวชมภาพสลักการกวนเกษียรสมุทร และนางอัปสร ชมบ่อน้ำเที่ยงหรือบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ภาพสลักตรีมูรติ และหินบูชายันต์
วัดศรีเมือง
วัดศรีเมือง
เป็นวัดแห่งหนึ่งในนครเวียงจันทน์ที่มีประชาชนลาวเดินทางไปสักการะบูชาเป็น จำนวนมากในแต่ละวัน
เป็นวัดแห่งหนึ่งในนครเวียงจันทน์ที่มีประชาชนลาวเดินทางไปสักการะบูชาเป็น จำนวนมากในแต่ละวัน
หอพระแก้ว
หอพระแก้ว แต่เดิมเป็นวัดหลวงประจำราชวงศ์ของลาว พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชโปรดเกล้าให้สร้างขึ้น เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต
ตลาดนัดถนนคนเดินเวียงจันทน์” (ริมแม่น้ำโขง)
ตลาดนัดถนนคนเดินเวียงจันทน์” (ริมแม่น้ำโขง) ซึ่งมีพ่อค้าแม่ค้า นำสินค้านานาชนิดมาวางขาย
อนุสาวรีย์ประตูชัย
อนุสาวรีย์ประตูชัย อนุสรณ์สถานเพื่อระลึกถึงประชาชนชาวลาวที่สละชีวิตในสงครามก่อนหน้าการปฏิวัติพรรคคอมมิวนิสต์
เขื่อนน้ำงึม
“เขื่อนน้ำงึม ” เขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าแห่งแรกของประเทศลาว ซึ่งในปัจจุบันมีการผลิตกระแสไฟฟ้าส่งมาขายให้แก่ภาคอีสานของไทย
“เมืองวังเวียง”
“เมืองวังเวียง” ซึ่งมีอากาศที่เย็นสบายตลอดทั้งปี จนได้รับสมญานามว่า “กุ้ยหลินเมืองลาว”
วัดพระธาตุหลวง ศาสนสถานที่สำคัญที่สุดของประเทศลาว เป็นสัญลักษณ์ประจำชาติ
วัดพระธาตุหลวง ศาสนสถานที่สำคัญที่สุดของประเทศลาว เป็นสัญลักษณ์ประจำชาติ
Wednesday, January 6, 2016
สถานีรถไฟแฟรงก์เฟิร์ต (Frankfurt train Station)
สถานีรถไฟแฟรงก์เฟิร์ตเซ็นทรัล ประเทศเยอรมนี (Frankfurt Train Station)
ถือได้ว่าเป็นสถานีรถไฟต้นแบบของหัวลำโพงในประเทศไทย ซึ่งสถานีรถไฟแฟรงก์เฟิร์ต เป็นสถานีรถไฟแห่งหลักที่มีผู้โดยสารมากที่สุดในเมืองแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี มีผู้โดยสารกว่า 350,000 คนต่อวัน จัดเป็นสถานีรถไฟที่มีผู้โดยสารมากที่สุดเป็นอันดับสองในประเทศเยอรมนี
สถานีรถไฟแห่งนี้ได้ออกแบบเป็นสถาปัตยกรรม แนวสถาปัตยกรรมฟื้นฟูเรอแนซ็องส์ และสถาปัตยกรรมฟื้นฟูคลาสสิก เป็นการผสมผสานกันเพื่อให้เป็นเอกลักษณ์ของสถานีรถไฟที่สำคัญของประเทศเยอรมันก็ว่าได้
ที่อยู่: Am Hauptbahnhof, 60329 Frankfurt am Main, Germany
เปิดทำการ: 18 สิงหาคม 2431
โทรศัพท์: +49 69 2651055
The Frankfurt Main Train Station is one of the largest train stations in Europe and is located just west of the city center. More than 350,000 travelers use this station.
ถือได้ว่าเป็นสถานีรถไฟต้นแบบของหัวลำโพงในประเทศไทย ซึ่งสถานีรถไฟแฟรงก์เฟิร์ต เป็นสถานีรถไฟแห่งหลักที่มีผู้โดยสารมากที่สุดในเมืองแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี มีผู้โดยสารกว่า 350,000 คนต่อวัน จัดเป็นสถานีรถไฟที่มีผู้โดยสารมากที่สุดเป็นอันดับสองในประเทศเยอรมนี
สถานีรถไฟแห่งนี้ได้ออกแบบเป็นสถาปัตยกรรม แนวสถาปัตยกรรมฟื้นฟูเรอแนซ็องส์ และสถาปัตยกรรมฟื้นฟูคลาสสิก เป็นการผสมผสานกันเพื่อให้เป็นเอกลักษณ์ของสถานีรถไฟที่สำคัญของประเทศเยอรมันก็ว่าได้
ที่อยู่: Am Hauptbahnhof, 60329 Frankfurt am Main, Germany
เปิดทำการ: 18 สิงหาคม 2431
โทรศัพท์: +49 69 2651055
The Frankfurt Main Train Station is one of the largest train stations in Europe and is located just west of the city center. More than 350,000 travelers use this station.
จัตุรัสโรเมอร์ (Romerberg)
จัตุรัสโรเมอร์ (Romerberg) ซึ่งเป็นจัตุรัสที่เก่าแก่ที่สุดในเมือง ด้านข้างก็คือ THE ROMER หรือ FRANKFURT CITY HALL หรือศาลาว่าการเมือง ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของจัตุรัส
เมืองเก่าวูร์ซ เบิร์ก
เมืองเก่าวูร์ซ เบิร์ก เมืองเริ่มต้นของเส้นทางสายโรแมนติก (Romantic Strasse) ตัวเมืองตั้งอยู่บนเนินเขาริมฝั่งแม่น้ำเมน และเป็นแหล่งเพาะปลูกองุ่นเพื่อผลิตไวน์ขาวอันเลื่องชื่อของเยอรมัน
เมืองนูเรมเบิร์ก
เมืองนูเรมเบิร์ก
เมืองที่มีอาคารบ้านเรือนแบบโบราณที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์ น่าชมเป็นอย่างยิ่ง
วิหารเซนต์ลอเรนซ์ วิหารสวยประจำเมือง
เมืองที่มีอาคารบ้านเรือนแบบโบราณที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์ น่าชมเป็นอย่างยิ่ง
วิหารเซนต์ลอเรนซ์ วิหารสวยประจำเมือง
บ่อน้ำพุร้อนคาร์โลวีวารี่
บ่อน้ำพุร้อนคาร์โลวีวารี่ ที่มีชื่อเสียงที่สุดของทวีปยุโรป ติดอันดับสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมหนึ่งในสิบอันดับของยุโรป
พระราชวังหลวง (Royal Palace) ที่เป็นหนึ่งในส่วนที่เก่าแก่ที่สุดของปราสาท
พระราชวังหลวง (Royal Palace) ที่เป็นหนึ่งในส่วนที่เก่าแก่ที่สุดของปราสาท
มหาวิหารเซนต์วิตุส (St.Vitus Cathedral)
มหาวิหารเซนต์วิตุส (St.Vitus Cathedral) อันงามสง่าด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิคในสมัยศตวรรษที่ 14 นับว่าเป็นมหาวิหารสไตล์โกธิคที่ใหญ่ที่สุดในกรุงปราก
ปราสาทแห่งกรุงปราก (Prague Castle)
ปราสาทแห่งกรุงปราก (Prague Castle) ที่สร้างขึ้นอยู่บนเนินเขาตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 9 ในสมัยเจ้าชาย Borivoj แห่งราชวงศ์ Premyslids
สะพานชาร์ล (Charles Bridge)
สะพานชาร์ล (Charles Bridge) สะพานเก่าแก่ข้ามแม่น้ำวัลตาวา สไตล์โกธิคที่สร้างขึ้นตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 14 สมัยพระเจ้าชาร์ลที่ 4
กรุงปราก (Prague) สาธารณรัฐเชค
กรุงปราก (Prague) สาธารณรัฐเชค เมืองที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมอันงดงาม บอกเล่าเรื่องราวของประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 2,000 ปี
ปราสาทครุมลอฟ (Krumlov)
ปราสาทครุมลอฟ (Krumlov) จากบริเวณรอบนอก ปราสาทสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1250 เป็นปราสาทที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศรองลงมาจากปราสาทปราก
เมืองเชสกี้ ครุมลอฟ (Cesky Krumlov)
เมืองเชสกี้ ครุมลอฟ (Cesky Krumlov) เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นเพชรน้ำงามแห่งโบฮีเมียเมืองนี้ตั้งอยู่ริมสองฝั่งของแม่น้ำวัลตาวา
โบสถ์เซนต์สตีเฟ่นส์ (St. Stephen’s Cathedral)
โบสถ์เซนต์สตีเฟ่นส์ (St. Stephen’s Cathedral) โบสถ์ศิลปะแบบโกธิคที่สูงเด่นเป็นสง่าอยู่ใจกลางเมือง
คาร์ทเนอร์สตรีท (Kartner Street)
คาร์ทเนอร์สตรีท (Kartner Street) ย่านช้อปปิ้งหลักของเวียนนา ที่เต็มไปด้วยสินค้าแบรนด์เนมหลากหลายยี่ห้อชั้นนำตลอดสองข้างทาง
ถนนสายวงแหวน (Ringstrasse)
ถนนสายวงแหวน (Ringstrasse)
ที่แวดล้อมไปด้วยอาคารอันงดงามสถาปัตยกรรมเก่าแก่ ผ่านชมโรงละครโอเปร่า, พระราชวังฮอฟเบิร์ก ซึ่งเป็นกลุ่มอาคารที่เคยเป็นที่ประทับของราชสำนักฮัปสบูร์ก
ที่แวดล้อมไปด้วยอาคารอันงดงามสถาปัตยกรรมเก่าแก่ ผ่านชมโรงละครโอเปร่า, พระราชวังฮอฟเบิร์ก ซึ่งเป็นกลุ่มอาคารที่เคยเป็นที่ประทับของราชสำนักฮัปสบูร์ก
พระราชวังเชินบรุนน์ (Schoenbrunn Palace)
พระราชวังเชินบรุนน์ (Schoenbrunn Palace)
มีประวัติการสร้างมาตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 ยิ่งใหญ่และสง่างาม
มีประวัติการสร้างมาตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 ยิ่งใหญ่และสง่างาม
น้ำพุเจทโด ที่สูงถึง 130 เมตร
น้ำพุเจทโด ที่สูงถึง 130 เมตร สัญลักษณ์ที่งดงามริมทะเลสาบเจนีวา อิสระให้ท่านได้ช้อปปิ้งสินค้าพื้นเมือง ของที่ระลึกของสวิส
เมืองเจนีวา
เมืองเจนีวา เมืองที่ว่ากันว่าเป็นพันธรัฐสวิสที่แทบจะไม่มีอะไรเป็นสวิสเลย นอกจากนโยบายต่างประเทศ ศาสนาและเป็นที่ตั้งของธนาคารจำนวนมาก
เมืองเจนีวา เป็นเมืองที่งดงามรายล้อมด้วยสวนสาธารณะ และองค์การนานาชาติต่างๆ อาทิ ตึกสหประชาชาติ, สภาแรงงานโลก องค์การกาชาดสากล
เมืองเจนีวา เป็นเมืองที่งดงามรายล้อมด้วยสวนสาธารณะ และองค์การนานาชาติต่างๆ อาทิ ตึกสหประชาชาติ, สภาแรงงานโลก องค์การกาชาดสากล
Palais de L’Isle เป็นมุมกลางน้ำ
Palais de L’Isle เป็นมุมกลางน้ำ ตั้งโดดเด่นอยู่ในคลอง ซึ่งเคยเป็นที่อาศัยของตระกูลเดล ลิส์ล สร้างในศตวรรษที่ 12 แต่อีก 200 ปีต่อมากลายสภาพเป็นศาล
เมืองอานซี่ (Annecy)
เมืองอานซี่ (Annecy) เมืองเก่าเล็กๆ น่ารักที่อยู่ท่ามกลางทะเลสาบ Annecy Lake (ติดอันดับความสวยงามของโลก) และเทือกเขาเอลป์ เป็นเมืองตากอากาศที่สวยและบรรยากาศดีมาก
ยอดเขามองบลังค์ ยอดเขาที่สูงที่สุดในยุโรป (สูงกว่าจุงฟราว)
ยอดเขามองบลังค์ ยอดเขาที่สูงที่สุดในยุโรป (สูงกว่าจุงฟราว)
สถานี Aiguilledu Midi
สถานี Aiguilledu Midi เพื่อขึ้นกระเช้าด้วยความสูงระดับ 3,842 เมตร เป็นกระเช้าที่สูงที่สุดในโลก
เมืองชาโมนิกซ์ (Chamonic)
เมืองชาโมนิกซ์ (Chamonic)
ตั้งอยู่ใกล้ยอดเขา Aiguilles Rouges และเมือง Courmayeur ในอิตาลี ถือเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของฝรั่งเศส
ตั้งอยู่ใกล้ยอดเขา Aiguilles Rouges และเมือง Courmayeur ในอิตาลี ถือเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของฝรั่งเศส
เมืองเอวิยอง (Evian) ประเทศฝรั่งเศส
เมืองเอวิยอง (Evian) ประเทศฝรั่งเศส
เมืองแห่งต้นกำเนิดสายธารน้ำแร่ มีโรงงานผลิตน้ำแร่ Evian ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก
เมืองแห่งต้นกำเนิดสายธารน้ำแร่ มีโรงงานผลิตน้ำแร่ Evian ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก
ปราสาทชิลยอง (Château de Chillon หรือ Chillon Castle)
ปราสาทชิลยอง (Château de Chillon หรือ Chillon Castle)
ปราสาทเก่าแก่สไตล์โกธิคของตระกูลซาวอยที่สร้างขึ้นมาเพื่อคอยเก็บค่าผ่านทาง ด้านหน้าปราสาทเป็นป้อมปราการหอคอย 3 ยอด
ปราสาทเก่าแก่สไตล์โกธิคของตระกูลซาวอยที่สร้างขึ้นมาเพื่อคอยเก็บค่าผ่านทาง ด้านหน้าปราสาทเป็นป้อมปราการหอคอย 3 ยอด
เมืองมองเทรอซ์ (Montreux)
เมืองมองเทรอซ์ (Montreux)
เมืองพักตากอากาศที่ได้รับสมญานามว่าเป็น ไข่มุกของริเวียร่าแห่งประเทศสวิสเซอร์แลนด์
เมืองพักตากอากาศที่ได้รับสมญานามว่าเป็น ไข่มุกของริเวียร่าแห่งประเทศสวิสเซอร์แลนด์
เมืองเวเว่ย์ (Vevey)
เมืองเวเว่ย์ (Vevey)
รูปปั้นชาร์ลี แชปลิน (Chaplin Statue) ผู้เป็นศิลปินตลกแห่งฮอลลีวู้ดซึ่งในอดีตได้เคยใช้บั้นปลายชีวิตที่เมืองนี้
รูปปั้นชาร์ลี แชปลิน (Chaplin Statue) ผู้เป็นศิลปินตลกแห่งฮอลลีวู้ดซึ่งในอดีตได้เคยใช้บั้นปลายชีวิตที่เมืองนี้
เมืองโลซานน์ (Lausanne)
เมืองโลซานน์ (Lausanne) ตั้งอยู่บนฝั่งเหนือของทะเลสาบเจนีวา เป็นเมืองที่มีเสน่ห์โดยธรรมชาติมากที่สุดเมืองหนึ่งของสวิส
อนุสาวรีย์สิงโตหิน (The Lion Monument)
อนุสาวรีย์สิงโตหิน (The Lion Monument) ที่แกะสลักอยู่บนหน้าผา ที่หัวของสิงโตจะมีโล่ ซึ่งมีกากบาทสัญลักษณ์ของสวิตเซอร์แลนด์
สะพานไม้ชาเปล (Chapel bridge)
สะพานไม้ชาเปล (Chapel bridge) เป็นสะพานไม้ที่เก่าที่สุดในโลก มีอายุหลายร้อยปี เป็นสัญลักษณ์และประวัติศาสตร์ของเมืองลูเซิร์นเลยทีเดียว
เมืองอินเทอลาเก้น (Interlaken)
เมืองอินเทอลาเก้น (Interlaken) อันเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ และมีความสำคัญประหนึ่ง เมืองหลวงของแบรนเนอร์โอเบอลันด์ ตั้งอยู่ทะเลสาบสองแห่งมีภาพของยอดเขาจูงเฟราเป็นฉากหลัง
กรุงเบิร์น (Berne)
กรุงเบิร์น (Berne)
นครหลวงอันงามสง่าของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นเมืองมรดกโลกอันล้ำค่าที่ถ่ายทอดและได้รับการอนุรักษ์มาสู่ปัจจุบัน
นครหลวงอันงามสง่าของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นเมืองมรดกโลกอันล้ำค่าที่ถ่ายทอดและได้รับการอนุรักษ์มาสู่ปัจจุบัน
สนามบินเมืองซูริค (Zurich)
สนามบินเมืองซูริค (Zurich) เมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เป็นเมืองศูนย์กลาง ทางธุรกิจ และวัฒนธรรม รวมทั้งยังเป็นศูนย์กลางทางธนาคาร การเงินของโลก
จตุรัสทรอคาเดโร(Place Du Trocadero
จตุรัสทรอคาเดโร(Place Du Trocadero) บริเวณที่ดีที่สุดในการชมวิว หอไอเฟล (Eiffel Tower) ประติมากรรมเหล็กสัญลักษณ์ประจำกรุงปารีส
ย่านมงมาร์ต (Montmartre) จุดชมวิวปารีสที่ดีที่สุด
ย่านมงมาร์ต (Montmartre) จุดชมวิวปารีสที่ดีที่สุด บริเวณลานหน้าวิหารซาแครเกอร์ (La Basilique du Sacré Cœur) ที่ตั้งอยู่บนเนินเขา เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดอีกแห่งหนึ่ง ท่านจะสามารถมองเห็นวิวกรุงปารีสแบบพาโนรามาเลยทีเดียว
สนามบินชาร์ลเดอโกล กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
สนามบินชาร์ลเดอโกล กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส นครหลวงแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส ที่มีนักท่อง เที่ยวมาเยือนมากมายกว่า 20 ล้านคนต่อปี ด้วยประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน ศิลปะ สถาปัตยกรรมที่สวยงามแฟชั่น แบรนด์เนมที่ทันสมัย
Santiago Bernabeu Stadium
Santiago Bernabeu Stadium สนามเหย้าของสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริด (Real Madrid C.F.)
อิสระให้ท่านพักผ่อนหรือช้อปปิ้งย่านถนนแกรนด์เวีย แหล่งช้อปปิ้งหลักของเมืองแมดริด ที่มีร้านค้ามากมาย ตามอัธยาศัย
อิสระให้ท่านพักผ่อนหรือช้อปปิ้งย่านถนนแกรนด์เวีย แหล่งช้อปปิ้งหลักของเมืองแมดริด ที่มีร้านค้ามากมาย ตามอัธยาศัย
พระราชวังหลวง (Palacio Real)
พระราชวังหลวง (Palacio Real)
เป็นสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่ ดัดแปลงมาจากกรีกโรมัน
เป็นสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่ ดัดแปลงมาจากกรีกโรมัน
Tuesday, January 5, 2016
เมืองแมดริด (Madrid)
เมืองแมดริด (Madrid)
นครหลวงแสนสวยของสเปน ที่ตั้งอยู่เชิงเขาเซียร์ร่าที่นับว่าเป็นเมืองหลวงที่ตั้งอยู่บนระดับความสูงถึง 646เมตร และเป็นเมืองหลวงมาตั้งแต่ ศตวรรษที่ 16
กรุงแมดริด มหานครทันสมัยซึ่งในอดีตเคยเป็นมหาอำนาจที่มีเมืองขึ้นมากที่สุดประเทศหนึ่ง ชมสถานที่สำคัญอันงดงาม และมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์
นครหลวงแสนสวยของสเปน ที่ตั้งอยู่เชิงเขาเซียร์ร่าที่นับว่าเป็นเมืองหลวงที่ตั้งอยู่บนระดับความสูงถึง 646เมตร และเป็นเมืองหลวงมาตั้งแต่ ศตวรรษที่ 16
กรุงแมดริด มหานครทันสมัยซึ่งในอดีตเคยเป็นมหาอำนาจที่มีเมืองขึ้นมากที่สุดประเทศหนึ่ง ชมสถานที่สำคัญอันงดงาม และมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์
สนามแคมป์นู (Camp Nou)
สนามแคมป์นู (Camp Nou) ของทีมบาร์เซโลน่ายอดทีมแห่งถิ่นคาตาลัน สนามกีฬาโอลิมปิคที่บาร์เซโลน่าเป็นเจ้าภาพเมื่อปี 1992
Parque Quell สวนสาธารณะที่มีผลงานอีกหลายชิ้นของเกาดิ
Parque Quell สวนสาธารณะที่มีผลงานอีกหลายชิ้นของเกาดิ
ถนน La Ramblas ลา รัมบลาส
ถนน La Ramblas ลา รัมบลาส ที่ปลายสุดของถนนสายนี้เป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส CHRISTOPHER COLUMBUS ผู้ค้นพบทวีปอเมริกาในปี ค.ศ.1492
เมือง ซากราดาแฟมิเลีย (La Sagarda Famalia)
เมือง ซากราดาแฟมิเลีย (La Sagarda Famalia) ฝีมือการออกแบบของเกาดิเช่นกันซึ่ง มีลักษณะสถาปัตยกรรมโดดเด่นแปลกตาไม่เหมือนที่ใดในโลก
เมืองบาร์เซโลน่า
เมืองบาร์เซโลน่า เมืองที่โดดเด่นไปด้วยอาคารสถาปัตยกรรมอันสวยงามของยุคเรเนอซองส์ โดยเฉพาะผลงานของยอดสถาปนิกชาวสเปนิช อันโตนิโอ เกาดิ (Antonio Gaudi) บนถนนพาสิโอ การ์เซีย
เมืองบาร์เซโลน่า (Barcelona)
เมืองบาร์เซโลน่า (Barcelona)
นครใหญ่แห่งคาตาลันยา และนับว่าเป็นเมืองสำคัญอันดับที่ 2 ของสเปน
นครใหญ่แห่งคาตาลันยา และนับว่าเป็นเมืองสำคัญอันดับที่ 2 ของสเปน
กอสตา เดล อะซาร์หรือ ชายฝั่งดอกส้มบาน
กอสตา เดล อะซาร์หรือ ชายฝั่งดอกส้มบาน ตั้งชื่อตามสวนส้มที่ปลูกทั่วที่ราบชายฝั่งและส่งกลิ่นหอมหวานในฤดูใบไม้ผลิ ผ่านเมืองตากอากาศที่มีชื่อเสียงแถบเมดิเตอร์เรเนียน
หอคอยเซราโนส กำแพงเมืองเก่า พลาซ่าร์มายอร์
หอคอยเซราโนส กำแพงเมืองเก่า พลาซ่าร์มายอร์ ชมอาคารบ้านเรือนที่สวยงามและอาคารพิพิธภัณฑ์อาคารซิติ้ฮอลล์และย่านการค้า แหล่งพักผ่อนของชาวสเปน
มหาวิหารแห่งบาเลนเซีย
มหาวิหารแห่งบาเลนเซีย ที่มีการสร้างต่อเติมผสมผสานศิลปะแบบต่างๆ ทั้ง โรมันเนสและกอธิค รวมทั้งบารอค
เมืองวาเลนเซีย
เมืองวาเลนเซีย เมืองที่ปัจจุบันมีชื่อเสียงในเรื่องการผลิตส้มบาเลนเซียและมีชายหาดที่สวยงาม
เมืองวาเลนเซีย (Valencia)
เมืองวาเลนเซีย (Valencia) เมืองที่ปัจจุบันมีชื่อเสียงในเรื่องการผลิตส้มบาเลนเซียและมีชายหาดที่สวยงาม
ดามัสเซเน (Damascene) ภาชนะโลหะลงดำ แล้ว ขึ้นลายด้วยใยทองเงินและทองแดง
ดามัสเซเน (Damascene) ภาชนะโลหะลงดำ แล้ว ขึ้นลายด้วยใยทองเงินและทองแดง
มหาวิหารแห่งโทเลโด้ (Toledo Cathedral)
มหาวิหารแห่งโทเลโด้ (Toledo Cathedral) มรดกแสดงความเป็นเมืองศาสนาของสเปน สัญลักษณ์ของเมืองที่มีความงดงามด้วย สถาปัตยกรรมแบบโกธิค ด้านข้างเป็นป้อมปราการอัลคาซาร์ขนาดใหญ่
เมืองโทเลโด (Toledo)
เมืองโทเลโด (Toledo)
ซึ่งมีความหมายว่า "เมืองป้อมน้อย" ในอดีตเป็นเมืองหลวงเก่าของสเปน
ซึ่งมีความหมายว่า "เมืองป้อมน้อย" ในอดีตเป็นเมืองหลวงเก่าของสเปน
Red Light หรือ พัฒน์พงษ์แห่งอัมสเตอร์ดัม
Red Light หรือ พัฒน์พงษ์แห่งอัมสเตอร์ดัม ให้คณะได้อิสระเดินเล่นชมย่านสถานเริงรมย์กลางกรุงอัมสเตอร์ดัม
จัตุรัสดัมสแควร์ (Dam Square)
จัตุรัสดัมสแควร์ (Dam Square) ศูนย์กลางของเมืองที่มีอนุสรณ์สงครามเพื่อรำลึกถึงทหารที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 2
กรุงอัมสเตอร์ดัม (Amsterdam)
กรุงอัมสเตอร์ดัม (Amsterdam) ศูนย์กลางการค้า เศรษฐกิจ พาณิชยกรรมของประเทศเนเธอร์แลนด์
ถ่ายรูปกับแมนิเกนพีส (Manne Ken Pis)
ถ่ายรูปกับแมนิเกนพีส (Manne Ken Pis) ซึ่งเป็นประติมากรรมเด็กชายตัวเล็กๆกำลังยืนแอ่นตัวปัสสาวะอย่างน่ารัก
จัตุรัสกรองด์ปราซ (Grand Palace)
จัตุรัสกรองด์ปราซ (Grand Palace) ที่มีชื่อเสียงกล่าวขานกันว่าสวยที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป ชม ศาลาว่าการเมือง และ อาคาร ที่สวยงามโดยรอบจัตุรัส
กรุงบรัสเซลส์ (Brussels) เมืองหลวงของประเทศเบลเยียม
กรุงบรัสเซลส์ (Brussels) เมืองหลวงของประเทศเบลเยียม
เมืองเก่าแห่งลักเซมเบิร์ก เมืองแห่งแกรนด์ยุค
เมืองเก่าแห่งลักเซมเบิร์ก เมืองแห่งแกรนด์ยุค ผ่านชมสะพานสมัยโรมัน โบสถ์นอร์ธเทอดาม ประติมากรรมสำริดของแกรนด์ดัชเชส ชาร์ล็อตต์ ศาลาว่าการเมือง พระราชวังที่ประทับของแกรนด์ยุค อาคารรัฐสภา โบสถ์เซนต์ไมเคิล และป้อมปราการสมัยโรมัน ชมวิวทิวทัศน์ของเมืองที่บ้านเรือนตั้งเรียงรายอยู่ในแนวหุบเขาดูสวยงามยิ่ง
กรุงลักเซมเบิร์ก (Luxembourg) ประเทศลักเซมเบิร์ก
กรุงลักเซมเบิร์ก (Luxembourg) ประเทศลักเซมเบิร์ก นครรัฐที่มีพื้นที่ขนาดเล็กที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป
ปราสาทไฮเดลเบิร์ก (Heidelberg Castle)
ปราสาทไฮเดลเบิร์ก (Heidelberg Castle) ที่สร้างขึ้นอยู่บนเชิงเขาเหนือแม่น้ำเน็กคาร์ ซึ่งสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองได้โดยรอบ โดยตัวปราสาทสร้างด้วยหินทรายสีแดงซึ่งมีอายุกว่า 900 ปี
เมืองไฮเดลเบิร์ก (Heidelberg)
เมืองไฮเดลเบิร์ก (Heidelberg) เป็นเมืองที่สุดแสนโรแมนติก ตั้งอยู่บริเวณฝั่งแม่น้ำเน็กคาร์ (Neckar River) อดีตเมืองศูนย์กลางการศึกษาที่สำคัญของเยอรมัน
จัตุรัสโรเมอร์ (Romerberg)
จัตุรัสโรเมอร์ (Romerberg) ซึ่งเป็นจัตุรัสที่เก่าแก่ที่สุดในเมือง ด้านข้างก็คือ THE ROMER หรือ Frankfurt City Hall หรือศาลาว่าการเมือง ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของจัตุรัส
นครแฟรงก์เฟิร์ต (Frankfurt)
นครแฟรงก์เฟิร์ต (Frankfurt) ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและพาณิชย์ที่สำคัญของเยอรมัน
มหาวิหารโคโลญ
มหาวิหารโคโลญ ซึ่งเป็นศาสนสถานของคริสต์ศาสนาโรมันคาทอลิก นับเป็นวิหารที่ใหญ่และสูงที่สุดในโลกในสมัยนั้น ลักษณะสถาปัตยกรรมแบบโกธิค
เมืองโคโลญ(Cologne) เมืองต้นตำรับน้ำหอมโอเดอโคโลญ 4711
เมืองโคโลญ(Cologne) เมืองต้นตำรับน้ำหอมโอเดอโคโลญ 4711
หมู่บ้านกังหันลมซานส์คันส์
หมู่บ้านกังหันลมซานส์คันส์ หมู่บ้านเก่าที่รัฐบาลอนุรักษ์ไว้ บริเวณนี้จะมีกังหันลม สัญลักษณ์ของประเทศเนเธอร์แลนด์
โรงงานเจียระไนเพชร (Diamond Factory)
โรงงานเจียระไนเพชร (Diamond Factory) ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมการเจียระไนเพชรชื่อดังของประเทศเนเธอร์แลนด์ที่ได้รับการยกย่องว่าดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ล่องเรือหลังคากระจก (Lover Boat)
ล่องเรือหลังคากระจก (Lover Boat) ลัดเลี้ยวเข้าตามลำคลอง สัมผัสชีวิตความเป็นอยู่ รวมทั้งสภาพบ้านเรือนเก่าแก่อันงดงามสืบทอดมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 17 และทัศนียภาพของบ้านเรือนอันสวยงามอย่างมีเอกลักษณ์เรือที่จอดอยู่ริมคลองที่มีอยู่มากถึง 2,500 หลัง
Monday, January 4, 2016
กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์
กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์
กรุงอัมสเตอร์ดัมเมืองหลวงของประเทศเนเธอร์แลนด์ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอัมสเทล เป็นเมืองศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของทวีปยุโรป
กรุงอัมสเตอร์ดัมเมืองหลวงของประเทศเนเธอร์แลนด์ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอัมสเทล เป็นเมืองศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของทวีปยุโรป
พม่า หรือ เมียนมาร์ (ชื่อภาษาอังกฤษMyanmar)
พม่า หรือ เมียนมาร์ (ชื่อภาษาอังกฤษMyanmar) มีชื่ออย่างทางการว่า สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า หรือ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ (Republic of the Union of Myanmar) เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีพรมแดนติดกับอินเดีย บังกลาเทศ จีน ลาว และไทย 1 ใน 3ของพรมแดนพม่ามีความยาวถึง 1,930 กิโลเมตรเป็นแนวชายฝั่งตามอ่าวเบงกอลและทะเลอันดามัน ด้วยขนาดของพื้นที่ 676,578 ตารางกิโลเมตร ประเทศพม่าถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 40 ของโลก และใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศพม่ายังเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับที่ 24 ของโลก โดยมีประชากรมากกว่า 60.28 ล้านคน นับแต่ได้รับเอกราชใน พ.ศ. 2491 ประเทศพม่าเผชิญกับหนึ่งในสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อที่สุดท่ามกลางกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีอยู่มากมายมานานนับตั้งแต่ พ.ศ. 2505 ถึง 2554 ประเทศพม่าตกอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการทหารมาอย่างยาวนาน แล้วในปี พ.ศ. 2554 คณะผู้ยึดอำนาจการปกครองถูกยุบอย่างเป็นทางการหลังการเลือกตั้งทั่วไปใน พ.ศ. 2553 ได้มีการจัดตั้งรัฐบาลพลเรือนในนามแทน แต่ถึงจะมีการจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมายังไงก็ยังมีอิทธิพลทางทหารอยู่มาก
สงครามกับอังกฤษและการล่มสลายของราชอาณาจักรพม่า
เนื่องจากความพยายามของอังกฤษที่ต้องการขยายอำนาจ กองทัพอังกฤษจึงได้ทำสงครามกับพม่าในปี พ.ศ. 2367 สงครามครั้งที่1 (พ.ศ. 2367–2369) ได้ยุติลงโดยทางประเทศอังกฤษเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ ฝ่ายพม่าจำต้องทำสนธิสัญญากับอังกฤษโดยเรียกสัญญานั้นว่าสัญญายันดาโบ (Yandaboo) แล้วในการทำสัญญาในครั้งนี้ทำให้พม่าต้องสูญเสียดินแดนอัสสัม มณีปุระ ยะข่าย และตะนาวศรีไป ซึ่งอังกฤษก็เริ่มต้นตักตวงทรัพยากรต่าง ๆ ของพม่านับแต่นั้น เพื่อเป็นหลักประกันสำหรับวัตถุดิบที่จะป้อนสู่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งได้สร้างความโกรธแค้นให้กับทางพม่าเป็นอย่างมาก กษัตริย์องค์ต่อมาจึงทรงยกเลิกสนธิสัญญายันดาโบ และได้ทำการโจมตีเมืองที่เป็นสนธิสัญญาที่ทางอังกฤษได้ยึดครองอยู่ และผลประโยชน์ของฝ่ายอังกฤษ ทั้งต่อบุคคลและเรือทั้งหมด และได้กลายเป็นต้นเหตุให้เกิดสงครามระหว่างพม่าและอังกฤษขึ้นเป็นครั้งที่สอง ซึ่งผลก็จบลงโดยชัยชนะเป็นของอังกฤษอีกครั้ง และภายหลังสิ้นสุดสงครามครั้งนี้ อังกฤษได้รวมเอาเมืองหงสาวดีและพื้นที่ใกล้เคียงเข้าไว้กับตน โดยได้ตั้งชื่อเรียกดินแดนดังกล่าวใหม่ว่าพม่าตอนใต้ สงครามครั้งนี้ก่อให้เกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ขึ้นในพม่า เริ่มต้นด้วยการเข้ายึดอำนาจโดยพระเจ้ามินดง (Mindon Min ครองราชย์ พ.ศ. 2396–2421) จากพระเจ้าปะกัน (Pagin Min ครองราชย์ พ.ศ. 2389–2396) ซึ่งเป็นพระเชษฐาต่างพระชนนี พระเจ้ามินดงได้เริ่มพัฒนาประเทศพม่าเพื่อที่ต้องการจะต่อต้านการรุกรานของอังกฤษ พระองค์ได้สถาปนากรุงมัณฑะเลย์ ซึ่งยากต่อการรุกรานจากภายนอกขึ้นโดยตั้งให้เป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะหยุดยั้งการรุกรานจากอังกฤษได้อีกเช่นเคย
ต่อมาในรัชสมัยของ พระเจ้าธีบอ (Thibow ครองราชย์ พ.ศ. 2421–2428) ซึ่งเป็นพระโอรสของพระเจ้ามินดง แต่เนื่องจากทรงมีบารมีไม่พอที่จะควบคุมพระราชอาณาจักรได้ จึงทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นไปทั่วบริเวณชายแดน แล้วในที่สุดพระองค์จึงได้ตัดสินพระทัยยกเลิกสนธิสัญญากับอังกฤษที่พระเจ้ามินดงได้ทรงกระทำไว้ และได้ประกาศสงครามกับอังกฤษเป็นครั้งที่สามในปีพ.ศ. 2428 โดยผลของสงครามครั้งนี้ทำให้อังกฤษสามารถเข้าครอบครองดินแดนส่วนที่เหลือของประเทศพม่าเอาไว้ได้ทั้งหมด
พม่าได้ตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษในปี พ.ศ. 2429 และช่วงก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นได้เข้ามามีบทบาทในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยได้มีการติดต่อกับพวกตะขิ่น ซึ่งเป็นกลุ่มนักศึกษาหัวรุนแรงมี ออง ซาน นักชาตินิยม และเป็นผู้นำของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยย่างกุ้งเป็นหัวหน้า พวกตะขิ้นเข้าใจว่าญี่ปุ่นจะสนับสนุนการประกาศอิสรภาพของพม่าจากอังกฤษ แต่เมื่อญี่ปุ่นยึดครองพม่าได้แล้ว กลับพยายามหน่วงเหนี่ยวมิให้พม่าประกาศเอกราช และได้ส่งอองซานและพวกตะขิ่นประมาณ 30 คน เดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อรับคำแนะนำในการดำเนินการเพื่อเรียกร้องอิสรภาพจาก อังกฤษได้
ต่อมาในปีพ.ศ.2485 เมื่อคณะของตะขิ่นได้เดินทางกลับพม่าหัวหน้าคณะอองซานได้ก่อตั้ง องค์การสันนิบาตเสรีภาพแห่งประชาชนต่อต้านฟาสซิสต์ (Anti-Fascist Peoples Freedom League : AFPFL) เพื่อต่อต้านญี่ปุ่นอย่างลับ ๆ องค์การนี้ภายหลังได้กลายเป็นพรรคการเมือง ชื่อ พรรค AFPFL เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว อองซานและพรรค AFPFL ได้ทำการเจรจากับอังกฤษ โดยอังกฤษยืนยันที่จะให้พม่ามีอิสรภาพปกครองตนเองภายใต้เครือจักรภพ และมีข้าหลวงใหญ่อังกฤษประจำพม่าช่วยให้คำปรึกษา แต่อองซานมีอุดมการณ์ที่ต้องการเอกราชอย่างสมบูรณ์ อังกฤษได้พยายามสนันสนุนพรรคการเมืองอื่น ๆ ขึ้นแข่งอำนาจกับพรรค AFPFL ของอองซานแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ ภายหลังจึงยินยอมให้พรรค AFPFL ขึ้นบริหารประเทศโดยมีอองซานเป็นหัวหน้า อองซานมีนโยบายสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และต้องการเจรจากับรัฐบาลอังกฤษโดยสันติวิธี จึงทำให้เกิดความขัดแย้งกับฝ่ายนิยมคอมมิวนิสต์ในพรรค AFPFL อองซานและคณะรัฐมนตรีอีก 6 คน จึงถูกลอบสังหาร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2490 ขณะที่กำลังจะออกจากที่ประชุมสภา ต่อมาตะขิ้นนุหรืออูนุได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทนและได้มีการประกาศใช้รัฐ ธรรมนูญเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2490 โดยอังกฤษได้มอบเอกราชให้แก่พม่าแต่ยังรักษาสิทธิทางการทหารไว้ ในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2491 พม่าได้รับมอบเอกราชอย่างสมบูรณ์จากอังกฤษ
แต่ภายหลังที่พม่าได้รับเอกราชแล้วการเมืองภายในประเทศก็ยังไม่สามารถบริหารได้อย่างเต็มที่มีการแทรกแทรงจากทางทหารอยู่ตลอดเวลา นายกรัฐมนตรี ณ ตอนนั้นคือ นายอูนุได้ถูกบีบให้ลาออกเมื่อพ.ศ. 2501 ผู้นำพม่าคนต่อมาคือนายพลเน วิน ซึ่งได้ทำการปราบจลาจลและพวกนิยมซ้ายจัด หรือพวกที่อยู่กันคนละข้างที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลของตนอย่างเด็ดขาด ในเวลาต่อมาเขาได้จัดให้มีการเลือกตั้งทั่วประเทศใน พ.ศ. 2503 ทำให้นายอูนุได้กลับมาเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลใหม่ เพราะได้รับเสียงข้างมากในสภานั่นเอง
การเมืองการปกครอง
ปกครองด้วยระบบเผด็จการทางทหาร มีการปกครองโดยรัฐบาลทหารภายใต้สภาสันติภาพและการพัฒนาแห่งรัฐ (State Peace and Development Council – SPDC) โดยมีประธาน SPDC เป็นประมุขของประเทศ และมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล ทัวร์พม่า เที่ยวพม่า
ประธาน SPDC คือพลเอกอาวุโส ตาน ฉ่วย (Senior General Than Shwe) (ข้อมูลเดือนเมษายน พ.ศ. 2535)
นายกรัฐมนตรี เต็ง เส่ง (พ.ศ. 2554 – ปัจจุบัน)
ภูมิศาสตร์
ประเทศพม่า ซึ่งมีพื้นที่ทั้งหมด 676,578 ตารางกิโลเมตร เป็นประเทศใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แผ่นดินใหญ่ (หรือคาบสมุทรอินโดจีน) และใหญ่เป็นอันดับที่ 40 ของโลก
ประเทศพม่ามีพรมแดนติดต่อกับบังกลาเทศและอินเดียทางตะวันตกเฉียงเหนือ พรมแดนทางเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือติดต่อกับทิเบตและมณฑลยูนนานของ จีนยาวถึง 2,185 กิโลเมตร ทางตะวันออกเฉียงใต้ติดต่อกับลาวและไทย พม่ามีแนวชายฝั่งต่อเนื่องตามอ่าวเบงกอลและทะเลอันดามันทางตะวันตกเฉียงใต้ และใต้ ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ของพรมแดนทั้งหมด
เศรษฐกิจ และ ประชากร - ทัวร์พม่า
อาชีพหลักของพม่าโดยส่วนมากคือเกษตรกรรม เขตเกษตรกรรมคือบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำอิรวดี แม่น้ำสะโตง แม่น้ำทวาย-มะริด โดยจะเน้นไปที่การปลูกข้าวเจ้า ปอกระเจา อ้อย และพืชเมืองร้อนอื่น ๆ ส่วนเขตฉาน ซึ่งอยู่ติดแม่น้ำโขงเน้นไปทางการปลูกพืชผักจำนวนมาก ทำเหมืองแร่ ภาคกลางตอนบนมีน้ำมันปิโตรเลียม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขุดแร่ หิน สังกะสี และภาคตะวันออกเฉียงใต้ ทำเหมืองดีบุกทางตอนใต้เมืองมะริดมีเพชรและหยกจำนวนมาก การทำป่าไม้ มีการทำป่าไม้สักทางภาคเหนือ ส่งออกขายและล่องมาตามแม่น้ำอิรวดีเข้าสู่ย่างกุ้ง อุตสาหกรรม กำลังพัฒนา อยู่บริเวณตอนล่าง เช่น ย่างกุ้ง และ มะริด และทวาย เป็นอุตสาหกรรมต่อเรือเดินสมุทรที่ใหญ่ที่สุดของพม่า
จำนวนประชากรของพม่ามีประมาณ 56,400,000 คน แบ่งเป็นสัญชาติพม่า 68% ไทใหญ่ 9% กะเหรี่ยง 7% ยะไข่ 3.50% จีน 2.50% มอญ 2% คะฉิ่น 1.50% อินเดีย 1.25% ชิน 1% คะยา 0.75% และอื่นๆ 4.50%
ศาสนา และ วัฒนธรรม - เที่ยวพม่า
ทางด้านวัฒนธรรม
พม่าได้รับอิทธิพลมาทั้งจากมอญ จีน อินเดีย และไทยมาอย่างช้านาน สะท้อนให้เห็นในด้านภาษา ดนตรี และอาหาร ในส่วนของศิลปะของพม่านั้นได้รับอิทธิพลจากวรรณคดีและพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล ในปัจจุบันนี้วัฒนธรรมพม่าได้รับอิทธิพลจากทางตะวันตกมากขึ้น เห็นได้ชัดจากเขตชนบทของประเทศ ด้านการแต่งกาย ชาวพม่าทั้งหญิงและชายนิยมนุ่งโสร่ง เรียกว่า "ลองยี" ส่วนการแต่งกายแบบโบราณเรียกว่า "ลุนตยาอชิก"
ภาษา (Language)
ภาษาพม่าเป็นภาษาราชการพม่ามีภาษาหลักที่ใช้งานในประเทศถึงอีก 18 ภาษา โดยแบ่งตามตระกูลภาษาได้ดังนี้
ตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติก
ได้แก่ ภาษามอญ ภาษาปะหล่อง ภาษาปะลัง (ปลัง) ภาษาประรวก และภาษาว้า
ตระกูลภาษาซิโน-ทิเบตัน
ได้แก่ ภาษาพม่า(ภาษาราชการ) ภาษากะเหรียงภาษาอารากัน(ยะไข่)ภาษาจิงผ่อ (กะฉิ่น) และภาษาอาข่า
ตระกูลภาษาไท-กะได
ได้แก่ ภาษาฉาน (ไทใหญ่) ภาษาไทขึน ภาษาไทลื้อ และภาษาไทคำตี่
ตระกูลภาษาม้ง-เมี่ยน
ได้แก่ ภาษาม้งและภาษาเย้า (เมี่ยน)
ตระกูลภาษาออสโตรนีเชี่ยน
ได้แก่ ภาษามอเกนและภาษาสะลน
ศาสนา
ศาสนาพุทธ (พม่าบัญญัติให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติใน พ.ศ.2517) ร้อยละ 90 ศาสนาคริสต์ร้อยละ 5 ศาสนาอิสลามร้อยละ3.8 ศาสนาฮินดูร้อยละ 0.05
สกุลเงิน: จ๊าด (Kyat : MMK)
อัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 25 จ๊าดต่อ 1 บาท หรือประมาณ 1,300 จ๊าดต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ (มิถุนายน 2549)
ภูมิศาสตร์ประเทศพม่า
ลักษณะภูมิประเทศ
ภาคเหนือ - เทือกเขาปัตไก เป็นพรมแดนระหว่างพม่าและอินเดีย
ภาคตะวันตก – เทือกเขาอระกันโนมากั้นเป็นแนวยาว
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ - เป็นที่ราบสูงชาน
ภาคใต้ - มีทิวเขาตะนาวศรี กั้นระหว่างไทยกับพม่า
ภาคกลาง - เป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำอิรวดี
ลักษณะภูมิอากาศ
มรสุมเมืองร้อน
ด้านหน้าภูเขาอาระกัน โยมา ฝนตกชุกมาก
ภาคกลางตอนบนแห้งแล้งมาก เพราะมีภูเขากั้นกำลับลม
ภาคกลางตอนล่างเป็นดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำขนาดใหญ่ ปลูกข้าวเจ้า ปอ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อากาศค่อนข้างเย็น และค่อนข้างแห้งแล้ง
ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเดินทางมาท่องเที่ยวมากที่สุดคือช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์ อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 21-28 องศาเซลเซียส
เขตการปกครองประเทศพม่า
รัฐ (States)
1.รัฐชิน (Chin) มีเมืองหลวงชื่อ เมืองฮะคา
2.รัฐกะฉิ่น (Kachin) มีเมืองหลวงชื่อ เมืองมิตจีนา
3.รัฐกะเหรี่ยง (Kayin) มีเมืองหลวงชื่อ เมืองปะอาน
4.รัฐกะยา (Kayah) มีเมืองหลวงชื่อ เมืองหลอยก่อ
5.รัฐมอญ (Mon) มีเมืองหลวงชื่อ เมืองมะละแหม่ง
6.รัฐยะไข่ (Rakhine) มีเมืองหลวงชื่อ เมืองซิตตเว
7.รัฐฉานหรือไทใหญ่ (Shan) มีเมืองหลวงชื่อ เมืองตองยี
เขต (Divisions)
1.เขตอิรวดี (Ayeyarwady) มีเมืองเอกชื่อ เมืองพะสิม
2.เขตพะโค (Bago) มีเมืองเอกชื่อ เมืองพะโค
3.เขตมาเกว (Magway) มีเมืองเอกชื่อ เมืองมาเกว
4.เขตมัณฑะเลย์ (Mandalay) มีเมืองเอกชื่อ เมืองมัณฑะเลย์
5.เขตสะกาย (Sagaing) มีเมืองเอกชื่อ เมืองสะกาย
6.เขตตะนาวศรี (Tanintharyi) มีเมืองเอกชื่อ เมืองทวาย
7.เขตย่างกุ้ง (Yangon) มีเมืองเอกชื่อ เมืองย่างกุ้ง
การแต่งกายประเทศพม่า
ผม โดยทั่วไปไว้ผมยาวเกล้าสูง บางทีก็ปล่อยชายห้อยลงมาไว้ทางซ้ายบ้างขวางบ้าง มีดอกไม้แซมผม เครื่องประดับ นิยมหิน และพลอยที่มีค่าเช่น ทับทิม นิล และหยก
ชาย
เครื่องแต่งกาย นุ่งโสร่งเช่นเดียวกับหญิงแต่สีไม่ฉูดฉาด เป็นลายตาราง โตบ้าง เล็กบ้าง หรือเป็นลายทางยาวบ้าง โดยทั่วไปใส่เสื้อขาว เมื่อมีพิธีจะสวมเสื้อคล้ายเสื้อจีนแขนยาว ถึงข้อมือ แบบหนึ่ง เรียกว่า “กุยตั๋ง” เป็นเสื้อชายสั้น ๆ ติดดุมถักแบบจีนป้ายมาข้าง ๆ อีกแบบเรียกว่า “กุยเฮง” ตัวยาวถึงสะโพก และติดกระดุมตั้งแต่คอตรงมาจดชายเสื้อใช้สีสุภาพ เช่น ขาวดำ หรือ นวล ถ้าอากาศหนาวจะสวมเสื้อกัก ทอสักหลาดทับอีกชิ้น หนึ่ง จะสวมรองเท้าหุ้มส้นเมื่อมีพิธี
ผม ตัดผมสั้น ไม่นิยมสวมหมวก หรือโพกศีรษะตามประเพณีเดิม เมื่อมีพิธีจะมีผ้าหรือ แพรโพกศีรษะทำเป็นกระจุกปล่อยชายทิ้งไว้ทางด้านขวา นิยมใช้สีชมพู
ชาวพม่านิยมผลิตผ้าทอมือ แต่จะมีชาวเผ่าหนึ่งคือ พวก Yabeins แปลว่า ผู้ปลูกไหม ได้ ทอผ้าไหมที่มีลวดลายวิจิตรบรรจง เรียกว่า ผ้าตราหมากรุก (Check) นิยมทำกระโปรงแต่งงาน และเครื่องแต่งกายในพิธี ผ้าชนิดนี้จะมีเนื้อแน่น แข็งมาก ก่อนใช้ต้องนำไปแช่น้ำและทุบเสียก่อน เพื่อให้ผ้าเนื้อนิ่ม สีจะสวย ทนทาน นิยมใช้เป็นลองยีของสตรี ชาวพม่าได้เลียนแบบผ้าซิ่นผ้าไหมจากบางกอก เรียกว่า Bangkok lungis จะทอด้วยเส้น ไหมควบ นิยมทำสีอมเทา สีเหลืองอำพัน และสีเขียวทึม ๆ เป็นที่นิยมของสตรีพม่ามาก
อาหารประจำประเทศพม่า
หล่าเพ็ด (Laphet)
เป็นอาหารว่างคล้ายกับยาเมี่ยงของไทย แต่เป็นใบชาหมัก ซึ่งต้องคลุกกินกับเครื่องเคียง เช่น มะพร้าวคั่ว กุ้งแห้ง กระเทียมเจียว และถั่วชนิดต่างๆ
ข้อควรปฏิบัติในการเที่ยวประเทศพม่า
ใน ปี พ.ศ.2535 รัฐบาลพม่าได้เปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการ โดยต้องทำวีซ่าที่สถานทูตพม่าก่อนเข้าประเทศ และประกาศในปี พ.ศ.2539-2540 เป็นปีท่องเที่ยวพม่า (Visit Myanmar Year) โดยแบ่งเป็น 3 เมืองวัฒนธรรม คือ
1.ชั้น ใน ได้แก่ ย่างกุ้ง หงสาวดี สิเรียม พุกาม มัณฑะเลย์ ตองยี ทะเลสาบอินเล สามารถเดินทางไปเที่ยวได้สะดวก มีความพร้อมทั้งในเรื่องที่พัก อาหาร และยานพาหนะ
2.ชั้น นอก ได้แก่ เชียงตุง ปูเตา อาระกัน มะริด มะละแหม่ง พระธาตุอินทร์แขวนไจก์ทิโย เดินทางไปเที่ยวได้ แต่สิ่งอำนวยความสะดวกยังไม่พร้อมเท่าที่ควร
3.ชาย แดน ได้แก่ ท่าขี้เหล็กตรงข้ามแม่สาย จ.เชียงราย เมียวดีตรงข้ามแม่สอด จ.ตาก พญาต่องซูตรงข้ามด่านเจดีย์สามองค์ จ.กาญจนบุรี เกาะสองตรงข้ามท่าเรือ จ.ระนอง มอร์ด่องตรงข้ามด่านสิงขร จ.ประจวบคีรีขันธ์ สามารถเดินทางได้สะดวกจากฝั่งเขตแดนไทย แต่ยังไม่สามารถเดินทางต่อไปยังย่างกุ้งหรือมัณฑะเลย์ได้เพราะถนนยังไม่ดี และความปลอดภัยยังไม่ 100 เปอร์เซ็นต์นัก เพราะยังมีชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่
ลักษณะ ของการท่องเที่ยวในพม่าเป็นการท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรม พาชมวัด นมัสการพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุและพระนอน ชมพระราชวังและพิพิธภัณฑ์ สัมผัสงานศิลปะ ดูงานประเพณีและวิถีชีวิตของผู้คน จึงไม่ค่อยเน้นความสนุกบันเทิง เที่ยวสถานรื่นรมย์ที่มีแสงสีทันสมัย
สิ่งที่ควรระมัดระวังในการท่องเที่ยวประเทศพม่า
1.เครื่องแต่งกาย ศาสนสถานในพม่าทุกแห่ง ห้ามสวมกางเกงขาสั้นหรือกระโปรงสั้นเข้าไป สุภาพสตรีสวมกางเกงขายาวได้ บางแห่งจะมีบริการเช่าผ้าถุงหรือโสร่ง สวมทับกางเกงขาสั้นหรือกระโปรงสั้น รวมทั้งยังต้องถอดหมวก ถอดแว่นดำก่อนที่จะเข้าไปด้วย
2.รองเท้า ทุกคนต้องถอดรองเท้าทุกชนิดก่อนเข้าเขตศาสนสถาน ตั้งแต่รั้วด้านนอก ถุงเท้า ถุงน่องก็ห้ามใส่เข้าไป ต้องเดินเท้าเปล่า และเป็นธรรมเนียมที่เคร่งครัดมากแต่สมัยโบราณ หากฝ่าฝืนชาวพม่าจะเข้ามาตักเตือนด้วยความไม่พอใจครับ
3.การถ่ายรูป วีดีโอ บางแห่งจะต้องเสียค่าธรรมเนียม บางแห่งห้ามถ่าย เช่น พิพิธภัณฑ์ย่างกุ้ง ต้องฝากกล้องเอาไว้กับเจ้าหน้าที่ก่อนจะเข้าไป
4.ศาสนสถานบางแห่งอาจห้ามสุภาพสตรีเข้าไปในเขตหวงห้าม เช่น ห้ามขึ้นไปปิดทองที่องค์พระมหามุนี มัณฑะเลย์ หรือที่องค์พระธาตุอินทร์แขวน(ไจก์ทิโย) หรือที่เขตห้ามเข้าองค์พระมหาเจดีย์ชเวดากองและองค์พระเจดีย์ชเวซิกอง
5.เงินสด โดยทั่วไปจะไม่รับเงินบาทไทย ให้แลกกับไกด์ท้องถิ่นหรือบริษัททัวร์ได้ และถ้าแลกกับธนาคารจะได้อัตราทางการ แพงกว่าที่แลกกับบริษัททัวร์ หรือร้านค้าใหญ่มากหลายเท่าตัว ข้อควรระวัง อย่าแลกเงินกับชาวบ้านที่เข้ามาขอแลก เพราะอาจจะได้รับเงินปลอม เงินที่ยกเลิกไปแล้ว และถูกตำรวจจับอีก
6.เครื่องประดับ ของมีค่าต่างๆควรติดตัวไปให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น เพราะจะเกิดความยุ่งยากในการแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรเวลา เข้าเมือง และต้องแสดงว่าอยู่ครบเวลาจะเดินทางกลับจากพม่า หากอยู่ไม่ครบต้องเสียภาษีทันที เพราะศุลกากรพม่าจะถือว่านำไปขายต่อให้กับคนพม่า นอกจากนี้ยังเป็นภาระในการดูแลรักษา ล่อตาล่อใจมิจฉาชีพอีกด้วย
7.ยารักษาโรค ควรนำไปให้พร้อมและเพียงพอตามระยะเวลาเดินทาง เพราะในพม่า การแพทย์ สุขอนามัย และยารักษาโรค ยังขาดแคลนและไม่ทันสมัย
8.วัตถุโบราณ (Antique) บาง ประเภทเป็นสิ่งต้องห้ามจำหน่ายและนำออกนอกประเทศ ควรตรวจสอบให้ดีก่อนซื้อ และถ้าซื้อต้องมีใบเสร็จและใบอนุญาตนำออกอย่างถูกต้องจากทางร้านค้า รวมทั้งสินค้าอัญมณีบางชนิด
ด้วย หากไม่แน่ใจ ไม่มีความรู้ และความเชี่ยวชาญ ควรงดเว้นการซื้อ
9.ระบบการจราจรในพม่ากำหนดให้ขับรถชิดเลนขวาตรงข้ามกับไทย เพราะฉะนั้นเวลาข้ามถนนต้องดูให้ดีและรอบคอบ
10.หญิงบริการ พม่าเป็นประเทศสังคมนิยมปกครองโดยรัฐบาลทหาร ทั้งยังมั่งคั่งไปด้วยศิลปวัฒนธรรม ประเพณีและวิถีชีวิตของชาวบ้านผู้รักสงบและสันโดษ จึงเป็นการไม่เหมาะที่จะถามหาหญิงบริการ เพราะกฎหมายพม่ารุนแรงจับทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
แหล่งท่องเที่ยวประเทศพม่า
พระมหาเจดีย์นี้ เป็นสิ่งที่เคารพสูงสุดของชาวพม่า ซึ่งได้บรรจุพระเกศาธาตุรวม 8 เส้นของพระพุทธเจ้า มีประวัติเก่าแก่กว่า2000 พันปี เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวพม่า “ชเวดากอง” แปลว่า “เจดีย์ทองแห่งเมืองดากอง” โดยมีที่มาว่า พระมหากษัตริย์ของพม่าและมอญที่จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์ จะต้องถวายทองคำหนักเท่าน้ำหนักของพระองค์เอง เพื่อนำมาห่อหุ้มองค์พระเจดีย์
เป็นพระพุทธรูปสำริด ทรงเครื่องแบบกษัตริย์ ปางมารวิชัย สร้างขึ้นในราวพุทธศักราช 688 เป็นที่ยอมรับกันว่า เป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามที่สุดองค์หนึ่ง มีตำนานเล่ากันว่า พระพุทธเจ้าทรงประทานลมหายใจให้พระมหามัยมุนี เพื่อเป็นตัวแทนสืบทอดพระศาสนา และชาวพม่าก็เชื่อเช่นนั้น จึงต้องมีพิธีล้างพระพักตร์ให้ทุกเช้า
“ไจ้ก์ทิโย” ในภาษามอญหมายถึง “หินรูปหัวฤาษี” พระธาตุอินทร์แขวนนี้ ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงกว่า 1,200 เมตร มีลักษณะเป็นก้อนหินสีทองขนาด 5.5 เมตร มองดูคล้ายก้อนหินตั้งอยู่หมิ่นเหม่ใกล้จะตกลงมาเต็มที่ เป็นที่มาของนิทานพื้นบ้านเรื่องเจ้าจันท์ผมหอม นิราศพระธาตุอินทร์แขวน นอกจากนี้ก็ยังมีความเชื่อกันว่าผู้ที่มากราบไหว้ จะสามารถสั่งสมบารมีไปเกิดร่วมยุคพระศรีอาริยเมตตรัย และยังเป็นพระธาตุประจำปีจออีกด้วย
“ชเวซิกอง” แปลว่า เจดีย์ที่ตั้งอยู่บนพื้นทราย เป็นเจดีย์ศิลปะมอญทรงระฆังคว่ำสีทององค์ใหญ่ ซึ่งภายในบรรจุพระทันตธาตุของพระพุทธเจ้า เริ่มสร้างในปี พ.ศ. 1627 แต่มาสร้างสำเร็จในปี พ.ศ. 1656 พระเจดีย์นี้ ถือเป็นต้นแบบของสถาปัตยกรรมด้านเจดีย์ของพม่าในยุคต่อๆ มา
เป็นเจดีย์ที่ได้อิทธิพลจากศิลปะมอญ เชื่อกันว่ามหาเจดีย์แห่งนี้ เป็นที่บรรจุบรรจุพระเกศาธาตุ 2 เส้นของพระพุทธเจ้า มีอายุกว่า 2000 ปี เป็นที่เคารพสักการะของทั้งกษัตริย์ มอญ พม่า และไทย เช่น พระเจ้าราชาธิราชของมอญ พระเจ้าบุเรงนองของพม่า และสมเด็จพระนเรศวรมหาราชของไทย ภายในบริเวณพระมหาเจดีย์ ยังมีพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็ก จัดแสดงวัตถุโบราณอีกด้วย
เป็นชายหาดที่มีชื่อเสียงที่สุดของพม่า ในเขตปกครองของรัฐยะไข่ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของประเทศ มีหมู่บ้านชาวประมง ซึ่งยังดำรงวิถีชีวิตและการประมงแบบพื้นบ้านอยู่ นอกจากนี้ยังสามารถมองเห็นมหาสมุทรอินเดีย (Indian Ocean) ได้อย่างชัดเจนจากชายหาดฮาปาลีแห่งนี้
(Ngwe Saung Beach, Pathein, Ayeyarwaddy Region)
เป็นชายหาดสีเงินอันมีชื่อเสียง อยู่ห่างจากเมืองปะเต็นไปทางทิศตะวันตกราว 48 กิโลเมตร เป็นแนวชายหาดขาวสะอาด น้ำทะเลสีฟ้าใส ข้อดีของหาดนี้ คือยังเงียบสงบ และไม่จอแจเหมือนหาดฮาปาลี ดังนั้นราคาที่พักจึงถูกกว่า และกิจกรรมยามค่ำคืน ก็น้อยกว่าหาดฮาปาลี ซึ่งเป็นหาดหลักอยู่มาก
(Chaung Tha Beach, Pathein, Ayeyarwaddy Region)
หาดซวงทา หรือ เซาทา เป็นชายหาดที่เพิ่งเปิดตัวไม่นาน อยู่ในเขตหมู่บ้านซวงทา ซึ่งล่าสุดได้ขึ้นชื่อว่า มีรีสอร์ทติดทะเลที่กำลังมาแรงเป็นที่นิยม นอกจากนี้ หาดซวงทายังมีชื่อเสียงเรื่องอาหารทะเลสดและสามารถต่อรองราคาได้ และยังเป็นชายหาดแห่งเดียวในพม่า ที่มีเจดีย์ตั้งอยู่ริมทะเล ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การไปเยือนมากที่สุด คือ ระหว่างเดือนตุลาคมถึงเดือนเมษายน
ทหารหนึ่งพันนายมารอรับพระเกศาธาตุ ที่นี่จึงเป็นที่มาของชื่อ วัดโบตะเตาว์ ริมแม่น้ำย่างกุ้ง ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า ที่นี่มีพระพุทธรูปทองคำนันอูที่งดงามที่นำกลับคืนมาจากอังกฤษ และนัตโบโบยีที่เรียกกันว่าเป็นเทพทันใจ ที่เลื่องลือในความศักดิ์สิทธิ์มาถึงชาวไทยเรา ที่ขอพรใดได้สมปรารถนา
สงครามกับอังกฤษและการล่มสลายของราชอาณาจักรพม่า
เนื่องจากความพยายามของอังกฤษที่ต้องการขยายอำนาจ กองทัพอังกฤษจึงได้ทำสงครามกับพม่าในปี พ.ศ. 2367 สงครามครั้งที่1 (พ.ศ. 2367–2369) ได้ยุติลงโดยทางประเทศอังกฤษเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ ฝ่ายพม่าจำต้องทำสนธิสัญญากับอังกฤษโดยเรียกสัญญานั้นว่าสัญญายันดาโบ (Yandaboo) แล้วในการทำสัญญาในครั้งนี้ทำให้พม่าต้องสูญเสียดินแดนอัสสัม มณีปุระ ยะข่าย และตะนาวศรีไป ซึ่งอังกฤษก็เริ่มต้นตักตวงทรัพยากรต่าง ๆ ของพม่านับแต่นั้น เพื่อเป็นหลักประกันสำหรับวัตถุดิบที่จะป้อนสู่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งได้สร้างความโกรธแค้นให้กับทางพม่าเป็นอย่างมาก กษัตริย์องค์ต่อมาจึงทรงยกเลิกสนธิสัญญายันดาโบ และได้ทำการโจมตีเมืองที่เป็นสนธิสัญญาที่ทางอังกฤษได้ยึดครองอยู่ และผลประโยชน์ของฝ่ายอังกฤษ ทั้งต่อบุคคลและเรือทั้งหมด และได้กลายเป็นต้นเหตุให้เกิดสงครามระหว่างพม่าและอังกฤษขึ้นเป็นครั้งที่สอง ซึ่งผลก็จบลงโดยชัยชนะเป็นของอังกฤษอีกครั้ง และภายหลังสิ้นสุดสงครามครั้งนี้ อังกฤษได้รวมเอาเมืองหงสาวดีและพื้นที่ใกล้เคียงเข้าไว้กับตน โดยได้ตั้งชื่อเรียกดินแดนดังกล่าวใหม่ว่าพม่าตอนใต้ สงครามครั้งนี้ก่อให้เกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ขึ้นในพม่า เริ่มต้นด้วยการเข้ายึดอำนาจโดยพระเจ้ามินดง (Mindon Min ครองราชย์ พ.ศ. 2396–2421) จากพระเจ้าปะกัน (Pagin Min ครองราชย์ พ.ศ. 2389–2396) ซึ่งเป็นพระเชษฐาต่างพระชนนี พระเจ้ามินดงได้เริ่มพัฒนาประเทศพม่าเพื่อที่ต้องการจะต่อต้านการรุกรานของอังกฤษ พระองค์ได้สถาปนากรุงมัณฑะเลย์ ซึ่งยากต่อการรุกรานจากภายนอกขึ้นโดยตั้งให้เป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะหยุดยั้งการรุกรานจากอังกฤษได้อีกเช่นเคย
ต่อมาในรัชสมัยของ พระเจ้าธีบอ (Thibow ครองราชย์ พ.ศ. 2421–2428) ซึ่งเป็นพระโอรสของพระเจ้ามินดง แต่เนื่องจากทรงมีบารมีไม่พอที่จะควบคุมพระราชอาณาจักรได้ จึงทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นไปทั่วบริเวณชายแดน แล้วในที่สุดพระองค์จึงได้ตัดสินพระทัยยกเลิกสนธิสัญญากับอังกฤษที่พระเจ้ามินดงได้ทรงกระทำไว้ และได้ประกาศสงครามกับอังกฤษเป็นครั้งที่สามในปีพ.ศ. 2428 โดยผลของสงครามครั้งนี้ทำให้อังกฤษสามารถเข้าครอบครองดินแดนส่วนที่เหลือของประเทศพม่าเอาไว้ได้ทั้งหมด
พม่าได้ตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษในปี พ.ศ. 2429 และช่วงก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นได้เข้ามามีบทบาทในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยได้มีการติดต่อกับพวกตะขิ่น ซึ่งเป็นกลุ่มนักศึกษาหัวรุนแรงมี ออง ซาน นักชาตินิยม และเป็นผู้นำของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยย่างกุ้งเป็นหัวหน้า พวกตะขิ้นเข้าใจว่าญี่ปุ่นจะสนับสนุนการประกาศอิสรภาพของพม่าจากอังกฤษ แต่เมื่อญี่ปุ่นยึดครองพม่าได้แล้ว กลับพยายามหน่วงเหนี่ยวมิให้พม่าประกาศเอกราช และได้ส่งอองซานและพวกตะขิ่นประมาณ 30 คน เดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อรับคำแนะนำในการดำเนินการเพื่อเรียกร้องอิสรภาพจาก อังกฤษได้
ต่อมาในปีพ.ศ.2485 เมื่อคณะของตะขิ่นได้เดินทางกลับพม่าหัวหน้าคณะอองซานได้ก่อตั้ง องค์การสันนิบาตเสรีภาพแห่งประชาชนต่อต้านฟาสซิสต์ (Anti-Fascist Peoples Freedom League : AFPFL) เพื่อต่อต้านญี่ปุ่นอย่างลับ ๆ องค์การนี้ภายหลังได้กลายเป็นพรรคการเมือง ชื่อ พรรค AFPFL เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว อองซานและพรรค AFPFL ได้ทำการเจรจากับอังกฤษ โดยอังกฤษยืนยันที่จะให้พม่ามีอิสรภาพปกครองตนเองภายใต้เครือจักรภพ และมีข้าหลวงใหญ่อังกฤษประจำพม่าช่วยให้คำปรึกษา แต่อองซานมีอุดมการณ์ที่ต้องการเอกราชอย่างสมบูรณ์ อังกฤษได้พยายามสนันสนุนพรรคการเมืองอื่น ๆ ขึ้นแข่งอำนาจกับพรรค AFPFL ของอองซานแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ ภายหลังจึงยินยอมให้พรรค AFPFL ขึ้นบริหารประเทศโดยมีอองซานเป็นหัวหน้า อองซานมีนโยบายสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และต้องการเจรจากับรัฐบาลอังกฤษโดยสันติวิธี จึงทำให้เกิดความขัดแย้งกับฝ่ายนิยมคอมมิวนิสต์ในพรรค AFPFL อองซานและคณะรัฐมนตรีอีก 6 คน จึงถูกลอบสังหาร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2490 ขณะที่กำลังจะออกจากที่ประชุมสภา ต่อมาตะขิ้นนุหรืออูนุได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทนและได้มีการประกาศใช้รัฐ ธรรมนูญเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2490 โดยอังกฤษได้มอบเอกราชให้แก่พม่าแต่ยังรักษาสิทธิทางการทหารไว้ ในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2491 พม่าได้รับมอบเอกราชอย่างสมบูรณ์จากอังกฤษ
แต่ภายหลังที่พม่าได้รับเอกราชแล้วการเมืองภายในประเทศก็ยังไม่สามารถบริหารได้อย่างเต็มที่มีการแทรกแทรงจากทางทหารอยู่ตลอดเวลา นายกรัฐมนตรี ณ ตอนนั้นคือ นายอูนุได้ถูกบีบให้ลาออกเมื่อพ.ศ. 2501 ผู้นำพม่าคนต่อมาคือนายพลเน วิน ซึ่งได้ทำการปราบจลาจลและพวกนิยมซ้ายจัด หรือพวกที่อยู่กันคนละข้างที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลของตนอย่างเด็ดขาด ในเวลาต่อมาเขาได้จัดให้มีการเลือกตั้งทั่วประเทศใน พ.ศ. 2503 ทำให้นายอูนุได้กลับมาเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลใหม่ เพราะได้รับเสียงข้างมากในสภานั่นเอง
การเมืองการปกครอง
ปกครองด้วยระบบเผด็จการทางทหาร มีการปกครองโดยรัฐบาลทหารภายใต้สภาสันติภาพและการพัฒนาแห่งรัฐ (State Peace and Development Council – SPDC) โดยมีประธาน SPDC เป็นประมุขของประเทศ และมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล ทัวร์พม่า เที่ยวพม่า
ประธาน SPDC คือพลเอกอาวุโส ตาน ฉ่วย (Senior General Than Shwe) (ข้อมูลเดือนเมษายน พ.ศ. 2535)
นายกรัฐมนตรี เต็ง เส่ง (พ.ศ. 2554 – ปัจจุบัน)
ภูมิศาสตร์
ประเทศพม่า ซึ่งมีพื้นที่ทั้งหมด 676,578 ตารางกิโลเมตร เป็นประเทศใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แผ่นดินใหญ่ (หรือคาบสมุทรอินโดจีน) และใหญ่เป็นอันดับที่ 40 ของโลก
ประเทศพม่ามีพรมแดนติดต่อกับบังกลาเทศและอินเดียทางตะวันตกเฉียงเหนือ พรมแดนทางเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือติดต่อกับทิเบตและมณฑลยูนนานของ จีนยาวถึง 2,185 กิโลเมตร ทางตะวันออกเฉียงใต้ติดต่อกับลาวและไทย พม่ามีแนวชายฝั่งต่อเนื่องตามอ่าวเบงกอลและทะเลอันดามันทางตะวันตกเฉียงใต้ และใต้ ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ของพรมแดนทั้งหมด
เศรษฐกิจ และ ประชากร - ทัวร์พม่า
อาชีพหลักของพม่าโดยส่วนมากคือเกษตรกรรม เขตเกษตรกรรมคือบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำอิรวดี แม่น้ำสะโตง แม่น้ำทวาย-มะริด โดยจะเน้นไปที่การปลูกข้าวเจ้า ปอกระเจา อ้อย และพืชเมืองร้อนอื่น ๆ ส่วนเขตฉาน ซึ่งอยู่ติดแม่น้ำโขงเน้นไปทางการปลูกพืชผักจำนวนมาก ทำเหมืองแร่ ภาคกลางตอนบนมีน้ำมันปิโตรเลียม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขุดแร่ หิน สังกะสี และภาคตะวันออกเฉียงใต้ ทำเหมืองดีบุกทางตอนใต้เมืองมะริดมีเพชรและหยกจำนวนมาก การทำป่าไม้ มีการทำป่าไม้สักทางภาคเหนือ ส่งออกขายและล่องมาตามแม่น้ำอิรวดีเข้าสู่ย่างกุ้ง อุตสาหกรรม กำลังพัฒนา อยู่บริเวณตอนล่าง เช่น ย่างกุ้ง และ มะริด และทวาย เป็นอุตสาหกรรมต่อเรือเดินสมุทรที่ใหญ่ที่สุดของพม่า
จำนวนประชากรของพม่ามีประมาณ 56,400,000 คน แบ่งเป็นสัญชาติพม่า 68% ไทใหญ่ 9% กะเหรี่ยง 7% ยะไข่ 3.50% จีน 2.50% มอญ 2% คะฉิ่น 1.50% อินเดีย 1.25% ชิน 1% คะยา 0.75% และอื่นๆ 4.50%
ศาสนา และ วัฒนธรรม - เที่ยวพม่า
ทางด้านวัฒนธรรม
พม่าได้รับอิทธิพลมาทั้งจากมอญ จีน อินเดีย และไทยมาอย่างช้านาน สะท้อนให้เห็นในด้านภาษา ดนตรี และอาหาร ในส่วนของศิลปะของพม่านั้นได้รับอิทธิพลจากวรรณคดีและพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล ในปัจจุบันนี้วัฒนธรรมพม่าได้รับอิทธิพลจากทางตะวันตกมากขึ้น เห็นได้ชัดจากเขตชนบทของประเทศ ด้านการแต่งกาย ชาวพม่าทั้งหญิงและชายนิยมนุ่งโสร่ง เรียกว่า "ลองยี" ส่วนการแต่งกายแบบโบราณเรียกว่า "ลุนตยาอชิก"
ภาษา (Language)
ภาษาพม่าเป็นภาษาราชการพม่ามีภาษาหลักที่ใช้งานในประเทศถึงอีก 18 ภาษา โดยแบ่งตามตระกูลภาษาได้ดังนี้
ตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติก
ได้แก่ ภาษามอญ ภาษาปะหล่อง ภาษาปะลัง (ปลัง) ภาษาประรวก และภาษาว้า
ตระกูลภาษาซิโน-ทิเบตัน
ได้แก่ ภาษาพม่า(ภาษาราชการ) ภาษากะเหรียงภาษาอารากัน(ยะไข่)ภาษาจิงผ่อ (กะฉิ่น) และภาษาอาข่า
ตระกูลภาษาไท-กะได
ได้แก่ ภาษาฉาน (ไทใหญ่) ภาษาไทขึน ภาษาไทลื้อ และภาษาไทคำตี่
ตระกูลภาษาม้ง-เมี่ยน
ได้แก่ ภาษาม้งและภาษาเย้า (เมี่ยน)
ตระกูลภาษาออสโตรนีเชี่ยน
ได้แก่ ภาษามอเกนและภาษาสะลน
ศาสนา
ศาสนาพุทธ (พม่าบัญญัติให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติใน พ.ศ.2517) ร้อยละ 90 ศาสนาคริสต์ร้อยละ 5 ศาสนาอิสลามร้อยละ3.8 ศาสนาฮินดูร้อยละ 0.05
สกุลเงิน: จ๊าด (Kyat : MMK)
อัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 25 จ๊าดต่อ 1 บาท หรือประมาณ 1,300 จ๊าดต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ (มิถุนายน 2549)
ภูมิศาสตร์ประเทศพม่า
ลักษณะภูมิประเทศ
ภาคเหนือ - เทือกเขาปัตไก เป็นพรมแดนระหว่างพม่าและอินเดีย
ภาคตะวันตก – เทือกเขาอระกันโนมากั้นเป็นแนวยาว
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ - เป็นที่ราบสูงชาน
ภาคใต้ - มีทิวเขาตะนาวศรี กั้นระหว่างไทยกับพม่า
ภาคกลาง - เป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำอิรวดี
ลักษณะภูมิอากาศ
มรสุมเมืองร้อน
ด้านหน้าภูเขาอาระกัน โยมา ฝนตกชุกมาก
ภาคกลางตอนบนแห้งแล้งมาก เพราะมีภูเขากั้นกำลับลม
ภาคกลางตอนล่างเป็นดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำขนาดใหญ่ ปลูกข้าวเจ้า ปอ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อากาศค่อนข้างเย็น และค่อนข้างแห้งแล้ง
ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเดินทางมาท่องเที่ยวมากที่สุดคือช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์ อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 21-28 องศาเซลเซียส
เขตการปกครองประเทศพม่า
รัฐ (States)
1.รัฐชิน (Chin) มีเมืองหลวงชื่อ เมืองฮะคา
2.รัฐกะฉิ่น (Kachin) มีเมืองหลวงชื่อ เมืองมิตจีนา
3.รัฐกะเหรี่ยง (Kayin) มีเมืองหลวงชื่อ เมืองปะอาน
4.รัฐกะยา (Kayah) มีเมืองหลวงชื่อ เมืองหลอยก่อ
5.รัฐมอญ (Mon) มีเมืองหลวงชื่อ เมืองมะละแหม่ง
6.รัฐยะไข่ (Rakhine) มีเมืองหลวงชื่อ เมืองซิตตเว
7.รัฐฉานหรือไทใหญ่ (Shan) มีเมืองหลวงชื่อ เมืองตองยี
เขต (Divisions)
1.เขตอิรวดี (Ayeyarwady) มีเมืองเอกชื่อ เมืองพะสิม
2.เขตพะโค (Bago) มีเมืองเอกชื่อ เมืองพะโค
3.เขตมาเกว (Magway) มีเมืองเอกชื่อ เมืองมาเกว
4.เขตมัณฑะเลย์ (Mandalay) มีเมืองเอกชื่อ เมืองมัณฑะเลย์
5.เขตสะกาย (Sagaing) มีเมืองเอกชื่อ เมืองสะกาย
6.เขตตะนาวศรี (Tanintharyi) มีเมืองเอกชื่อ เมืองทวาย
7.เขตย่างกุ้ง (Yangon) มีเมืองเอกชื่อ เมืองย่างกุ้ง
การแต่งกายประเทศพม่า
ผม โดยทั่วไปไว้ผมยาวเกล้าสูง บางทีก็ปล่อยชายห้อยลงมาไว้ทางซ้ายบ้างขวางบ้าง มีดอกไม้แซมผม เครื่องประดับ นิยมหิน และพลอยที่มีค่าเช่น ทับทิม นิล และหยก
ชาย
เครื่องแต่งกาย นุ่งโสร่งเช่นเดียวกับหญิงแต่สีไม่ฉูดฉาด เป็นลายตาราง โตบ้าง เล็กบ้าง หรือเป็นลายทางยาวบ้าง โดยทั่วไปใส่เสื้อขาว เมื่อมีพิธีจะสวมเสื้อคล้ายเสื้อจีนแขนยาว ถึงข้อมือ แบบหนึ่ง เรียกว่า “กุยตั๋ง” เป็นเสื้อชายสั้น ๆ ติดดุมถักแบบจีนป้ายมาข้าง ๆ อีกแบบเรียกว่า “กุยเฮง” ตัวยาวถึงสะโพก และติดกระดุมตั้งแต่คอตรงมาจดชายเสื้อใช้สีสุภาพ เช่น ขาวดำ หรือ นวล ถ้าอากาศหนาวจะสวมเสื้อกัก ทอสักหลาดทับอีกชิ้น หนึ่ง จะสวมรองเท้าหุ้มส้นเมื่อมีพิธี
ผม ตัดผมสั้น ไม่นิยมสวมหมวก หรือโพกศีรษะตามประเพณีเดิม เมื่อมีพิธีจะมีผ้าหรือ แพรโพกศีรษะทำเป็นกระจุกปล่อยชายทิ้งไว้ทางด้านขวา นิยมใช้สีชมพู
ชาวพม่านิยมผลิตผ้าทอมือ แต่จะมีชาวเผ่าหนึ่งคือ พวก Yabeins แปลว่า ผู้ปลูกไหม ได้ ทอผ้าไหมที่มีลวดลายวิจิตรบรรจง เรียกว่า ผ้าตราหมากรุก (Check) นิยมทำกระโปรงแต่งงาน และเครื่องแต่งกายในพิธี ผ้าชนิดนี้จะมีเนื้อแน่น แข็งมาก ก่อนใช้ต้องนำไปแช่น้ำและทุบเสียก่อน เพื่อให้ผ้าเนื้อนิ่ม สีจะสวย ทนทาน นิยมใช้เป็นลองยีของสตรี ชาวพม่าได้เลียนแบบผ้าซิ่นผ้าไหมจากบางกอก เรียกว่า Bangkok lungis จะทอด้วยเส้น ไหมควบ นิยมทำสีอมเทา สีเหลืองอำพัน และสีเขียวทึม ๆ เป็นที่นิยมของสตรีพม่ามาก
อาหารประจำประเทศพม่า
หล่าเพ็ด (Laphet)
เป็นอาหารว่างคล้ายกับยาเมี่ยงของไทย แต่เป็นใบชาหมัก ซึ่งต้องคลุกกินกับเครื่องเคียง เช่น มะพร้าวคั่ว กุ้งแห้ง กระเทียมเจียว และถั่วชนิดต่างๆ
ข้อควรปฏิบัติในการเที่ยวประเทศพม่า
ใน ปี พ.ศ.2535 รัฐบาลพม่าได้เปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการ โดยต้องทำวีซ่าที่สถานทูตพม่าก่อนเข้าประเทศ และประกาศในปี พ.ศ.2539-2540 เป็นปีท่องเที่ยวพม่า (Visit Myanmar Year) โดยแบ่งเป็น 3 เมืองวัฒนธรรม คือ
1.ชั้น ใน ได้แก่ ย่างกุ้ง หงสาวดี สิเรียม พุกาม มัณฑะเลย์ ตองยี ทะเลสาบอินเล สามารถเดินทางไปเที่ยวได้สะดวก มีความพร้อมทั้งในเรื่องที่พัก อาหาร และยานพาหนะ
2.ชั้น นอก ได้แก่ เชียงตุง ปูเตา อาระกัน มะริด มะละแหม่ง พระธาตุอินทร์แขวนไจก์ทิโย เดินทางไปเที่ยวได้ แต่สิ่งอำนวยความสะดวกยังไม่พร้อมเท่าที่ควร
3.ชาย แดน ได้แก่ ท่าขี้เหล็กตรงข้ามแม่สาย จ.เชียงราย เมียวดีตรงข้ามแม่สอด จ.ตาก พญาต่องซูตรงข้ามด่านเจดีย์สามองค์ จ.กาญจนบุรี เกาะสองตรงข้ามท่าเรือ จ.ระนอง มอร์ด่องตรงข้ามด่านสิงขร จ.ประจวบคีรีขันธ์ สามารถเดินทางได้สะดวกจากฝั่งเขตแดนไทย แต่ยังไม่สามารถเดินทางต่อไปยังย่างกุ้งหรือมัณฑะเลย์ได้เพราะถนนยังไม่ดี และความปลอดภัยยังไม่ 100 เปอร์เซ็นต์นัก เพราะยังมีชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่
ลักษณะ ของการท่องเที่ยวในพม่าเป็นการท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรม พาชมวัด นมัสการพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุและพระนอน ชมพระราชวังและพิพิธภัณฑ์ สัมผัสงานศิลปะ ดูงานประเพณีและวิถีชีวิตของผู้คน จึงไม่ค่อยเน้นความสนุกบันเทิง เที่ยวสถานรื่นรมย์ที่มีแสงสีทันสมัย
สิ่งที่ควรระมัดระวังในการท่องเที่ยวประเทศพม่า
1.เครื่องแต่งกาย ศาสนสถานในพม่าทุกแห่ง ห้ามสวมกางเกงขาสั้นหรือกระโปรงสั้นเข้าไป สุภาพสตรีสวมกางเกงขายาวได้ บางแห่งจะมีบริการเช่าผ้าถุงหรือโสร่ง สวมทับกางเกงขาสั้นหรือกระโปรงสั้น รวมทั้งยังต้องถอดหมวก ถอดแว่นดำก่อนที่จะเข้าไปด้วย
2.รองเท้า ทุกคนต้องถอดรองเท้าทุกชนิดก่อนเข้าเขตศาสนสถาน ตั้งแต่รั้วด้านนอก ถุงเท้า ถุงน่องก็ห้ามใส่เข้าไป ต้องเดินเท้าเปล่า และเป็นธรรมเนียมที่เคร่งครัดมากแต่สมัยโบราณ หากฝ่าฝืนชาวพม่าจะเข้ามาตักเตือนด้วยความไม่พอใจครับ
3.การถ่ายรูป วีดีโอ บางแห่งจะต้องเสียค่าธรรมเนียม บางแห่งห้ามถ่าย เช่น พิพิธภัณฑ์ย่างกุ้ง ต้องฝากกล้องเอาไว้กับเจ้าหน้าที่ก่อนจะเข้าไป
4.ศาสนสถานบางแห่งอาจห้ามสุภาพสตรีเข้าไปในเขตหวงห้าม เช่น ห้ามขึ้นไปปิดทองที่องค์พระมหามุนี มัณฑะเลย์ หรือที่องค์พระธาตุอินทร์แขวน(ไจก์ทิโย) หรือที่เขตห้ามเข้าองค์พระมหาเจดีย์ชเวดากองและองค์พระเจดีย์ชเวซิกอง
5.เงินสด โดยทั่วไปจะไม่รับเงินบาทไทย ให้แลกกับไกด์ท้องถิ่นหรือบริษัททัวร์ได้ และถ้าแลกกับธนาคารจะได้อัตราทางการ แพงกว่าที่แลกกับบริษัททัวร์ หรือร้านค้าใหญ่มากหลายเท่าตัว ข้อควรระวัง อย่าแลกเงินกับชาวบ้านที่เข้ามาขอแลก เพราะอาจจะได้รับเงินปลอม เงินที่ยกเลิกไปแล้ว และถูกตำรวจจับอีก
6.เครื่องประดับ ของมีค่าต่างๆควรติดตัวไปให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น เพราะจะเกิดความยุ่งยากในการแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรเวลา เข้าเมือง และต้องแสดงว่าอยู่ครบเวลาจะเดินทางกลับจากพม่า หากอยู่ไม่ครบต้องเสียภาษีทันที เพราะศุลกากรพม่าจะถือว่านำไปขายต่อให้กับคนพม่า นอกจากนี้ยังเป็นภาระในการดูแลรักษา ล่อตาล่อใจมิจฉาชีพอีกด้วย
7.ยารักษาโรค ควรนำไปให้พร้อมและเพียงพอตามระยะเวลาเดินทาง เพราะในพม่า การแพทย์ สุขอนามัย และยารักษาโรค ยังขาดแคลนและไม่ทันสมัย
8.วัตถุโบราณ (Antique) บาง ประเภทเป็นสิ่งต้องห้ามจำหน่ายและนำออกนอกประเทศ ควรตรวจสอบให้ดีก่อนซื้อ และถ้าซื้อต้องมีใบเสร็จและใบอนุญาตนำออกอย่างถูกต้องจากทางร้านค้า รวมทั้งสินค้าอัญมณีบางชนิด
ด้วย หากไม่แน่ใจ ไม่มีความรู้ และความเชี่ยวชาญ ควรงดเว้นการซื้อ
9.ระบบการจราจรในพม่ากำหนดให้ขับรถชิดเลนขวาตรงข้ามกับไทย เพราะฉะนั้นเวลาข้ามถนนต้องดูให้ดีและรอบคอบ
10.หญิงบริการ พม่าเป็นประเทศสังคมนิยมปกครองโดยรัฐบาลทหาร ทั้งยังมั่งคั่งไปด้วยศิลปวัฒนธรรม ประเพณีและวิถีชีวิตของชาวบ้านผู้รักสงบและสันโดษ จึงเป็นการไม่เหมาะที่จะถามหาหญิงบริการ เพราะกฎหมายพม่ารุนแรงจับทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
แหล่งท่องเที่ยวประเทศพม่า
- ตลาดสก๊อต แหล่งช้อปปิ้ง เมืองย่างกุ้ง
- มหาเจดีย์ชเวดากอง กรุงย่างกุ้ง (Shwedagon Pagoda,Yangon)
พระมหาเจดีย์นี้ เป็นสิ่งที่เคารพสูงสุดของชาวพม่า ซึ่งได้บรรจุพระเกศาธาตุรวม 8 เส้นของพระพุทธเจ้า มีประวัติเก่าแก่กว่า2000 พันปี เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวพม่า “ชเวดากอง” แปลว่า “เจดีย์ทองแห่งเมืองดากอง” โดยมีที่มาว่า พระมหากษัตริย์ของพม่าและมอญที่จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์ จะต้องถวายทองคำหนักเท่าน้ำหนักของพระองค์เอง เพื่อนำมาห่อหุ้มองค์พระเจดีย์
- พระมหามัยมุนี แห่งมัณฑะเลย์ (The MahamuniBuddha,Mandalay)
เป็นพระพุทธรูปสำริด ทรงเครื่องแบบกษัตริย์ ปางมารวิชัย สร้างขึ้นในราวพุทธศักราช 688 เป็นที่ยอมรับกันว่า เป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามที่สุดองค์หนึ่ง มีตำนานเล่ากันว่า พระพุทธเจ้าทรงประทานลมหายใจให้พระมหามัยมุนี เพื่อเป็นตัวแทนสืบทอดพระศาสนา และชาวพม่าก็เชื่อเช่นนั้น จึงต้องมีพิธีล้างพระพักตร์ให้ทุกเช้า
- พระธาตุอินทร์แขวน “ไจ้ก์ทิโย” เมืองไจ้ก์โถ่ รัฐมอญ (Golden Rock-Kyaikhtiyo,Kyaikhtiyo,Mon)
“ไจ้ก์ทิโย” ในภาษามอญหมายถึง “หินรูปหัวฤาษี” พระธาตุอินทร์แขวนนี้ ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงกว่า 1,200 เมตร มีลักษณะเป็นก้อนหินสีทองขนาด 5.5 เมตร มองดูคล้ายก้อนหินตั้งอยู่หมิ่นเหม่ใกล้จะตกลงมาเต็มที่ เป็นที่มาของนิทานพื้นบ้านเรื่องเจ้าจันท์ผมหอม นิราศพระธาตุอินทร์แขวน นอกจากนี้ก็ยังมีความเชื่อกันว่าผู้ที่มากราบไหว้ จะสามารถสั่งสมบารมีไปเกิดร่วมยุคพระศรีอาริยเมตตรัย และยังเป็นพระธาตุประจำปีจออีกด้วย
- มหาเจดีย์ชเวซิกอง เมืองพุกาม (ShwezigonPagoda,Bagan)
“ชเวซิกอง” แปลว่า เจดีย์ที่ตั้งอยู่บนพื้นทราย เป็นเจดีย์ศิลปะมอญทรงระฆังคว่ำสีทององค์ใหญ่ ซึ่งภายในบรรจุพระทันตธาตุของพระพุทธเจ้า เริ่มสร้างในปี พ.ศ. 1627 แต่มาสร้างสำเร็จในปี พ.ศ. 1656 พระเจดีย์นี้ ถือเป็นต้นแบบของสถาปัตยกรรมด้านเจดีย์ของพม่าในยุคต่อๆ มา
- เจดีย์ชเวมอร์ดอร์ หรือหรือพระธาตุมุเตา เมืองหงสาวดี (Shwemawdaw Pagoda,Bago)
เป็นเจดีย์ที่ได้อิทธิพลจากศิลปะมอญ เชื่อกันว่ามหาเจดีย์แห่งนี้ เป็นที่บรรจุบรรจุพระเกศาธาตุ 2 เส้นของพระพุทธเจ้า มีอายุกว่า 2000 ปี เป็นที่เคารพสักการะของทั้งกษัตริย์ มอญ พม่า และไทย เช่น พระเจ้าราชาธิราชของมอญ พระเจ้าบุเรงนองของพม่า และสมเด็จพระนเรศวรมหาราชของไทย ภายในบริเวณพระมหาเจดีย์ ยังมีพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็ก จัดแสดงวัตถุโบราณอีกด้วย
- หาดฮาปาลี เมืองตั่งตแว รัฐยะไข่ (Ngapali Beach,thandwe, Rakhaine)
เป็นชายหาดที่มีชื่อเสียงที่สุดของพม่า ในเขตปกครองของรัฐยะไข่ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของประเทศ มีหมู่บ้านชาวประมง ซึ่งยังดำรงวิถีชีวิตและการประมงแบบพื้นบ้านอยู่ นอกจากนี้ยังสามารถมองเห็นมหาสมุทรอินเดีย (Indian Ocean) ได้อย่างชัดเจนจากชายหาดฮาปาลีแห่งนี้
- หาดฮเวซวง เมืองปะเต็น เขตอิระวดี
(Ngwe Saung Beach, Pathein, Ayeyarwaddy Region)
เป็นชายหาดสีเงินอันมีชื่อเสียง อยู่ห่างจากเมืองปะเต็นไปทางทิศตะวันตกราว 48 กิโลเมตร เป็นแนวชายหาดขาวสะอาด น้ำทะเลสีฟ้าใส ข้อดีของหาดนี้ คือยังเงียบสงบ และไม่จอแจเหมือนหาดฮาปาลี ดังนั้นราคาที่พักจึงถูกกว่า และกิจกรรมยามค่ำคืน ก็น้อยกว่าหาดฮาปาลี ซึ่งเป็นหาดหลักอยู่มาก
- หาดซวงทา เมืองประเต็น เขตอิระวดี
(Chaung Tha Beach, Pathein, Ayeyarwaddy Region)
หาดซวงทา หรือ เซาทา เป็นชายหาดที่เพิ่งเปิดตัวไม่นาน อยู่ในเขตหมู่บ้านซวงทา ซึ่งล่าสุดได้ขึ้นชื่อว่า มีรีสอร์ทติดทะเลที่กำลังมาแรงเป็นที่นิยม นอกจากนี้ หาดซวงทายังมีชื่อเสียงเรื่องอาหารทะเลสดและสามารถต่อรองราคาได้ และยังเป็นชายหาดแห่งเดียวในพม่า ที่มีเจดีย์ตั้งอยู่ริมทะเล ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การไปเยือนมากที่สุด คือ ระหว่างเดือนตุลาคมถึงเดือนเมษายน
- เทพทันใจ วัดโบตะเตาว์
ทหารหนึ่งพันนายมารอรับพระเกศาธาตุ ที่นี่จึงเป็นที่มาของชื่อ วัดโบตะเตาว์ ริมแม่น้ำย่างกุ้ง ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า ที่นี่มีพระพุทธรูปทองคำนันอูที่งดงามที่นำกลับคืนมาจากอังกฤษ และนัตโบโบยีที่เรียกกันว่าเป็นเทพทันใจ ที่เลื่องลือในความศักดิ์สิทธิ์มาถึงชาวไทยเรา ที่ขอพรใดได้สมปรารถนา
จิโกคุดานิ (Jigokudani) หรือ นรกวัลเลย์
จิโกคุดานิ (Jigokudani) หรือ นรกวัลเลย์ ซึ่งมีความหมายว่า หุบผานรก หุบผาแห่งนี้เกิดจากภูเขาไฟ ซึ่งยังไม่ดับจึงก่อให้เกิดน้ำพุร้อนและบ่อโคลนเดือดอันเป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติที่ยังคงอยู่
ย่านซาคาเอะ (SAKAE)
ย่านซาคาเอะ (SAKAE) ย่านการค้าที่มีความสำคัญ.ที่สุดของเมืองนาโกย่า เป็นสถานที่ตั้งของห้างสรรพสินค้าชื่อดังและร้านค้าต่างๆมากมาย
นาโกย่า เป็นเมืองใหญ่ที่สุดใน “ภูมิภาคชูบุ”
นาโกย่า เป็นเมืองใหญ่ที่สุดใน “ภูมิภาคชูบุ” ซึ่งอยู่ตรงกลางของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมี แหล่งผลิตสินค้าทางการเกษตรมากมาย
น่าน
น่าน มีพื้นที่ 11,472,076 ตารางกิโลเมตร หรือ ประมาณ 7ล้านไร่เศษอาณาเขตทิศเหนือและทิศตะวันออกจดสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวทิศใต้จดจังหวัดอุตรดิตถ์ ทิศตะวันตกจดจังหวัดแพร่ พะเยา และเชียงราย
ความที่เป็นเมืองชายแดนแห่งล้านนาตะวันออกอันอุดมไปด้วยวัฒนธรรมที่หลอมรวมจากเทือกเขาสูงถึงพื้นราบทำให้เสน่ห์ของเมืองน่านยั่งยืนมาจนถึงทุกวันนี้ประกอบกับลักษณะภูมิประเทศที่เป็นท้องทะเลแห่งขุนเขาอีกทั้งสายลมหนาวและสายหมอกที่พัดผ่าน ทุ่งข้าวสีเขียวฉ่ำฝนหรือเหลืองทองพร้อมจะเก็บเกี่ยวยังทำให้ผู้มาเยือนเก็บความประทับใจกลับไปด้วยป้อมปราการธรรมชาติที่บดบังเมืองน่านจากคนต่างถิ่นก็คือ เทือกเขาผีปันน้ำและ หลวงพระบาง โดยมีแม่น้ำที่เป็นเสมือนเส้นเลือดของชาวน่าน คือแม่น้ำน่าน มีต้นกำเนิดจากดอยขุนน้ำน่าน ตำบลขุนน่าน อำเภอบ่อเกลือ
ความเกี่ยวดองกันด้วยศรัทธาในพุทธศาสนา วัฒนธรรมประเพณีภูมิปัญญาท้องถิ่นและความหวงแหนในทรัพยากรธรรมชาติที่มีร่วมกันทำให้ชาวน่านมีเครือข่ายชุมชนที่เข้มแข็งเรียนรู้ที่จะยู่กับความเปลี่ยนแปลงแต่ยังคงตระหนักถึงความเป็นตัวเองอยู่เสมอ อันจะนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน
น่าน
ประวัติศาสตร์เมืองน่าน
หลักฐานสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่พบในบริเวณจังหวัดน่าน เช่นเครื่องมือหินกลองสัมฤทธิ์ที่ใช้ประกอบพิธีศพสำหรับชาวเอเชียตะวันออกเฉียงไต้เป็นเครื่องยืนยันว่าดินแดนนี้มีมนุษย์มาตั้งถิ่นฐานตั้งแต่ก่อนสมัยประวัติศาสตร์ ในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 18 ขุนน่าน และ ขุนฟองได้นำผู้คนอพยพจากตอนบนของแม่น้ำโขงมาตั้งถิ่นฐานยังที่ราบลุ่มตอนบนของแม่น้ำน่าน ใกล้กับเทือกเขาดอยภูคา และในปี พ.ศ. 1902เจ้าพระยาการเมืองย้ายเมืองไปยังเวียงภูเพียงแช่แห้งฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่านซึ่งไม่ได้ใหญ่กว่าหรืออุดมสมบูรณ์กว่าเมืองปัวแต่ใกล้กับเมืองสุโขทัยมากขึ้น
ในปี พ.ศ. 1911เจ้าพระยาผากองบุตรของเจ้าพระยาการเมืองได้ย้ายเมืองมายังฝั่งตะวันตกของแม่น้ำน่าน ซึ่งเป็นเมืองน่านในปัจจุบัน ตามศิลาจารึกหลักที่ 45 และ 46ในปี พ.ศ. 1935 ปู่พระยา (เจ้าพระยาผากอง) และพระราชนัดดา(พระมหาธรรมราชาที่ 2 แห่งสุโขทัย)ได้ให้คำสาบานที่จะช่วยเหลือกันและกันในยามสงครามความสัมพันธ์ระหว่างน่านและสุโขทัยได้ดำเนินมาจนกระทั่งสุโขทัยผนวกเข้ากับอยุธยา ในปี พ.ศ. 1981
เมืองน่านมีความสัมพันธ์ติดต่อค้าขายกับนครรัฐเล็กๆ รอบบ้านเช่น หลวงพระบาง ล้านช้าง และสิบสองปันนารัฐเหล่านี้มีความร่วมมือทางการเมืองอย่างเข้มแข็งทำการค้าขายกันตามเส้นทางแม่น้ำโขงด้วยคาราวานเกวียน
ก่อนหน้าที่น่านจะถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งชองล้านนาทั้งสองดินแดนมีความสัมพันธ์กันผ่านการค้าวัวต่างและเมื่อเชียงใหม่ตกเป็นประเทศราชของพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองแห่งพม่าในระหว่างปี พ.ศ.2096-2101 เจ้าพระยาพลเทพรือชัยเจ้าเมืองน่านได้หลบหนีไปยังเมืองหลวงพระบางและน่านตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่าจนกระทั่งสิ้นกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ.2310
ระหว่างปีพ.ศ. 2101 - 2317น่านพยายามต่อสู้เพื่ออิสรภาพจากพม่าหลายครั้ง ในปี พ.ศ. 2246ถือว่าเป็นช่วงเวลาทุกข์เข็ญ ผู้คนต้องหลบหนีสงครามเข้าป่าบางคนถูกจับเป็นเชลยในพม่า ทั้งเมืองและวัดถูกเผาทำลายลง ในปี พ.ศ. 2331เจ้าอัตถวรปัญโญ เจ้าหลวงเมืองน่าน หันมาสวามิภักดิ์กรุงเทพฯ(ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 1) เมื่อ พ.ศ.2333 น่านเริ่มนโยบาย "เก็บผักใส่ซ้าเก็บข้าใส่เมือง" มีการอพยพ ชาวไทลื้อจำนวนมากกลับสู่เมืองน่าน
ในสมัยรัชกาลที่ 5กรุงเทพฯถูกคุกคามจากลัทธิล่าอาณานิคมของอังกฤษและฝรั่งเศสได้ก่อให้เกิดการปฏิรูปการปกครองหัวเมืองล้านนา เพื่อรวมศูนย์อำนาจที่ส่วนกลาง ตั้งแต่พ.ศ.2435รัฐบาลกลางกรุงเทพฯได้แต่งตั้งข้าหลวงเข้ามาแทนคณะขุนนางผู้ช่วยเจ้าผู้ครองนครในการบริหารกิจการบ้านเมือง หลังจากเหตุการณ์ร.ศ.112 (พ.ศ.2436)ไทยต้องยอมเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงแก่ฝรั่งเศสเมืองน่านจึงเพิ่มความสำคัญมากขึ้นในฐานะเมืองหน้าด่านติดกับเมืองหลวงพระบางในลาว ซึ่งเป็นของฝรั่งเศสความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าเมืองน่านกับกรุงเทพฯดำเนินไปด้วยดี รัชกาลที่ 5โปรดเกล้าฯให้แต่งตั้งเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชเป็นพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชเพื่อตอบแทนคุณงามความดีที่น่านช่วยกรุงเทพฯในสงครามปราบกบฏที่เชียงตุง
นครเมืองน่านกลายเป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยอย่างสมบูรณ์ในสมัยรัชกาลที่7 หลังจากเจ้ามหาพรหมสุรธาดาเจ้าเมืองน่านองค์สุดท้ายถึงแก่กรรมในปีพ.ศ.2474 จึงยกเลิกระบบการปกครองโดยเจ้าผู้ครองนครนับแต่นั้นเป็นต้นมา
สัญลักษณ์ประจำจังหวัด
ตราประจำจังหวัด : รูปพระธาตุแช่แห้งอยู่บนหลังโคอุศุภราช
ดอกไม้ประจำจังหวัด : ดอกเสี้ยวดอกขาว (ชื่อวิทยาศาสตร์: Bauhinia variegata)
ต้นไม้ประจำจังหวัด : เสี้ยวดอกขาว (ชื่อวิทยาศาสตร์: Bauhinia variegata)
คำขวัญประจำจังหวัด : แข่งเรือลือเลื่อง เมืองงาช้างดำ จิตรกรรมวัดภูมินทร์ แดนดินส้มสีทอง เรืองรองพระธาตุแช่แห้ง
น่าน
นอกจากนี้ "น่าน" ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมาย ได้แก่...
สถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริ ภูพยัคฆ์
ภูพยัคฆ์ เดิมชื่อ ภูผายักษ์ บนยอดภูเป็นหินผาสวยงามมีสภาพเป็นป่าดิบและเป็นดงเสือ จึงได้ชื่อว่า ภูพยัคฆ์อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,500 เมตรเคยเป็นที่ปลูกฝิ่นของราษฎรชาวไทยภูเขา ก่อนปี 2523 เคยเป็นสมรภูมิรบระหว่างทหารไทยกับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ปัจจุบัน ภูพยัคฆ์ได้เปลี่ยนจากสมรภูมิรบ แหล่งวางกับดักระเบิดเป็นสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริพัฒนาให้ราษฎรชายไทยภูเขามีจิตสำนึกและมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูพัฒนาอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เป็นแหล่งต้นน้ำลำธารที่มีคุณภาพเป็นป่าที่สมบูรณ์ พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์สร้างงานสร้างรายได้ให้ราษฎรในพื้นที่เป็นสถานีตัวอย่างในการขยายผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะพืชเมืองหนาว
การเดินทาง มี 2 เส้นทางคือ เส้นทางแรกจากจังหวัดน่านไปทางอำเภอเฉลิมพระเกียรติ ถึงภูพยัคฆ์ ระยะทางประมาณ 180กิโลเมตร เส้นทางที่สอง จากจังหวัดน่าน ไปทางอำเภอบ่อเกลือถึงภูพยัคฆ์ระยะทางประมาณ 230 กิโลเมตร ภูพยัคฆ์ มีบ้านพักรับรองพร้อมอุปกรณ์เครื่องนอน สำหรับนักท่องเที่ยว จำนวน 2 หลังสามารถรับนักท่องเที่ยวได้ 24 คน และมีสถานที่กางเต็นท์ และเต็นท์นอน 2 คนบริการนักท่องเที่ยว จำนวน 20 หลังมีอาหารบริการแต่จะต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูง ตามพระราชดำริ ภูพยัคฆ์ โทร. 0 5473 0330, 05473 0331 และสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูง ตามพระราชดำริ ภูพยัคฆ์ โทร. 085868 8548 (คุณวิทยา ไพศาลศักดิ์) 0 5474 1639, 05471 0054, 08 3073 0557
ล่องแก่งลำน้ำว้า
ล่องแก่งลำน้ำว้า ที่บ้านน้ำปุ๊ ตำบลน้ำพางห่างจากตัวเมืองน่านประมาณ 59 กิโลเมตร น้ำว้าเป็นลำน้ำขนาดใหญ่น้ำใสไหลตลอดปีมีทัศนียภาพสวยงาม สองฝั่งเขียวชอุ่มไปด้วยป่าไม้ โขดหินเกาะแก่งที่สวยงามและแก่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือแก่งหลวงมีหาดทรายขาวเหมาะสำหรับตั้งแคมป์มีบริการนั่งช้างชมธรรมชาติ
เส้นทางล่องแก่งลำน้ำว้าเดิมเป็นเส้นทางล่องไม้สักที่ถูกลักลอบตัดจากผืนป่าในเขตอำเภอแม่จริมและอำเภอเวียงสาตลอดลำน้ำว้าไหลผ่านหุบเขา สองฝั่งเป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อนผ่านแก่งต่าง ๆกว่า 22 แก่ง ซึ่งมีระดับความยากง่ายอยู่ที่ระดับ 3-5 (ระดับ 3เป็นระดับปานกลาง ระดับ 4 เป็นระดับยาก ระดับ 5 เป็นระดับยากมาก)แก่งที่ใหญ่ที่สุดและยากที่สุด คือ แก่งหลวงบางจุดของลำน้ำเป็นหาดทรายที่สามารถจอดแพเพื่อให้ลงเล่นน้ำบางแห่งเป็นจุดปางช้างสำหรับขึ้นช้างต่อไปที่บ้านหาดไร่ช่วงเวลาที่ปริมาณน้ำขึ้นสูงสุดคือ เดือนสิงหาคมและช่วงที่ปริมาณน้ำน้อยที่สุดคือ เดือนเมษายนช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการล่องแก่งน้ำว้าคือระหว่างเดือนพฤศจิกายน-มกราคม
เส้นทางล่องน้ำว้ามี 2 เส้นทาง คือ ...
เส้นทางล่องเรือยาง เริ่มจากบ้านน้ำปุ๊ ตำบลน้ำพาง อำเภอแม่จริมสิ้นสุดที่บ้านหาดไร่ ตำบลส้านนาหนอง อำเภอเวียงสา รวมระยะทาง 19.2กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง หากเริ่มลงแพที่หน้าที่ทำการอุทยานฯจะเหลือระยะทาง 15 กิโลเมตร
เส้นทางล่องแพไม้ไผ่ เริ่มจากบ้านน้ำว้าขึ้นที่บ้านน้ำปุ๊ระยะทาง 4 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง
ต้นดิกเดียม
ต้นดิกเดียม วัดปรางค์
ต้นดิกเดียม ต้นไม้อะไรใครรู้ดูประหลาดผิดธรรมชาติพันธุ์พฤกษาน่าฉงน แค่เห็นเป็นต้นไม้หันหลังให้แดดหันหน้าเข้าวัดก็แปลกเหลือหลายอยู่แล้วแต่ใครจะเชื่อว่าต้นไม้ประหลาดต้นนี้เป็นต้นอารมณ์ขันใบไม้จะไหวสั่นทุกครั้ง ที่ถูกคนสัมผัส โดยสามารถไปชมได้ทุกวันแต่ไม่ควรไปลูบคลำ เนื่องจากในประเทศไทยมีอยู่ต้นเดียวเจ้าอาวาสที่วัดท่านจะลูบให้ดู
การเดินทาง จากจังหวัดน่านเดินทางด้วยทางหลวงหมายเลข 1080 และ1256 สู่อำเภอปัว ก่อนถึงตัวอำเภอเล็กน้อยมีทางแยกซ้ายเข้าสู่วัดปรางซึ่งเป็นที่ตั้งของต้นดิกเดียม สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานททท. ภาคเหนือ เขต 2 โทร. 0-5371-7433, 0-5374-4674-5
น่าน
น่าน
อุทยานแห่งชาติดอยภูคา
อุทยานแห่งชาติดอยภูคา ได้รับการกล่าวขานว่าเป็น ป่าต้นน้ำป่าดึกดำบรรพ์ปลายทางหิมาลัย ขุนเขาใต้ทะเล อุทยานแห่งชาติดอยภูคามีพื้นที่ประมาณ 1,680 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่หลายอำเภอ ได้แก่ท่าวังผา ปัว เชียงกลาง ทุ่งช้าง บ่อเกลือ สันติสุข และแม่จริมเทือกเขาดอยภูคาประกอบด้วยแนวภูเขาสูงสลับซับซ้อนซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของปลายเทือกเขาหิมาลัยโดยมียอดภูคาเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของจังหวัดน่าน สูงถึง 1,980 เมตร
ดอยภูคา เป็นต้นแม่น้ำสำคัญหลายสาย เช่น แม่น้ำน่าน ลำน้ำปัวบริเวณนี้เดิมเคยเป็นทะเลมาก่อนก่อนจะเกิดการเคลื่อนตัวของแผ่นดินสองผืนใต้ทะเลเข้าหากันทำให้แผ่นดินโก่งตัวขึ้น น้ำทะเลใต้ดินระเหยไปเหลือเพียงสินแร่เกลือดังที่พบในเขตอำเภอบ่อเกลือ และการค้นพบสุสานหอยทะเลอายุประมาณ 200 ล้านปีบนดอยภูแวที่บ้านค้างฮ่อ ตำบลสะกาด อำเภอปัว มีลักษณะเป็นหอยแครงสองฝามีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า พาลีโอคาร์ดิต้า สปีชี่ (Paleocardita Species)อายุ 195-205 ล้านปี จัดว่าอยู่ในยุคไทรแอสซิก (Triassic) ตอนปลาย
สถานที่น่าสนใจในอุทยานฯ ได้แก่ ถ้ำผาแดง, ถ้ำผาผึ้งเป็นถ้ำที่มีความสวยงามและยาวมากที่สุดในอุทยานแห่งชาติดอยภูคา(บ้านมณีพฤกษ์) อ.ทุ่งช้าง ภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อยที่สวยงามและยังมีน้ำตกและลำธารขนาดใหญ่ภายในถ้ำอีกด้วย, ถ้ำผาฆ้องเป็นถ้ำขนาดกลางบริเวณปากถ้ำจะมีขนาดเล็ก ภายในถ้ำจะมีหินงอกหินย้อยและลำธารไหลผ่าน แต่ช่วงฤดูฝนไม่สามารถเข้าชมได้เนื่องจากอาจมีน้ำท่วมในถ้ำ อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 7 กิโลเมตรและต้องเดินเท้าเข้าไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร
น่าน
น้ำตกต้นตอง เป็นน้ำตกหินปูนมี 3 ชั้นอยู่ในอุทยานแห่งชาติดอยภูคา บนโตรกผามีพืชชุ่มน้ำ, น้ำตกศิลาเพชรน้ำตกลงมาจากหน้าผาหลายชั้นลดหลั่นกันไป เหมาะกับการเล่นน้ำ, น้ำตกภูฟ้า,น้ำตกตาดหลวง เป็นแหล่งอนุรักษ์พันธุ์ปลาพลวง, ล่องแก่งน้ำว้าตอนกลางในอุทยานแห่งชาติดอยภูคา เป็นเส้นทางล่องแก่งระดับ 3-5 ประมาณ 20 กว่าแก่งเป็นสุดยอดแห่งความตื่นเต้นสนุกสนาน, ยอดดอยภูแวเป็นยอดดอยที่มีวามสูงจากระดับน้ำทะเล 1,837 เมตรมีลักษณะโดดเด่นเป็นทุ่งหญ้าบนดอยอีกทั้งยังมีลานหินและหน้าผาสูงชันอีกด้วย, สุสานหอย อายุประมาณ 218ล้านปี และเส้นทางศึกษาธรรมชาติชมพูภูคาซึ่งนับเป็นบ้านแห่งสุดท้ายของต้นชมพูภูคาพันธุ์ไม้หิมาลัยและเป็นไม้หายากใกล้สูญพันธุ์ชนิดหนึ่งในโลกจุดชมต้นชมพูภูคาที่เข้าถึงง่ายที่สุดจะอยู่ริมถนนห่างจากที่ทำการไป 5กิโลเมตร
ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการท่องเที่ยว คือ ช่วงฤดูหนาวตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ อุณหภูมิ 15-27 องสาเซลเซียสและฤดูร้อนระหว่างเดือนมีนาคมถึงเมษายนซึ่งมีอากาศเย็นสบายสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่อุทยานแห่งชาติดอยภูคา โทร. 0 1224 0789,0 5470 1000 ตู้ปณ. 8 ตำบลภูคา อำเภอปัว จังหวัดน่าน 55120
การเดินทาง จากจังหวัดน่าน โดยทางรถยนต์ไปตามทางหลวงหมายเลข1080 ถึงอำเภอปัว ระยะทาง 60 กิโลเมตรแยกไปตามทางหลวงหมายเลข 1256(ปัว-บ่อเกลือ) ถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยภูคา ระยะทาง 25 กิโลเมตรผู้ที่เดินทางโดยรถโดยสารประจำทางสามารถใช้บริการรถสองแถวสีน้ำเงินสายปัว-บ่อเกลือ ซึ่งผ่านหน้าอุทยานฯวิ่งบริการระหว่างเวลา 07.30-14.00 น. ท่ารถอยู่บริเวณสามแยกปัว-บ่อเกลือ
วัดพระธาตุเบ็งสกัด
วัดพระธาตุเบ็งสกัด ไปตามเส้นทาง 1256 ทางเข้าตรงข้ามโรงเรียนวรนคร เข้าไปประมาณ 200 เมตร และแยกซ้ายอีก 200 เมตรตั้งอยู่บริเวณที่สันนิษฐานว่าพระยาภูคาได้สร้างเมืองปัวโบราณหรือเมืองวรนครเพื่อให้เจ้าขุนฟอง พระราชบุตรธรรมมาปกครองซึ่งปัจจุบันเป็นที่ว่าการอำเภอปัว
องค์พระธาตุและพระวิหารสร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 1826ภายในองค์พระเจดีย์ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุซึ่งถือเป็นศูนย์รวมศรัทธาของชุมชน วัดตั้งอยู่บนเนินสูงมองเห็นหมู่บ้านอยู่เบื้องล่างโดยรอบเป็นป่าละเมาะ ด้านหลังเป็นเนินเขานับเป็นการเลือกสรรชัยภูมิที่ส่งให้วัดดูโดดเด่นเป็นสง่า และจากบนเนินเขาหากมาช่วงฤดูฝนจะมองเห็นนาข้าวเขียวขจีอยู่ที่หมู่บ้านเบื้องล่าง
ลักษณะทางสถาปัตยกรรมของวิหารเป็นทรงตะคุ่มแบบพื้นบ้านไทลื้อหรือที่เรียกว่า “ทรงเตี้ยแจ้” พื้นเมืองมีซุ้มประตูเป็นศิลปะล้านช้างบูรณะในสมัยพระยาอนันตยศและโปรดให้นำพระแก้วซึ่งมีเกศาเป็นทองคำบรรจุในองค์พระธาตุองค์พระประธานเป็นศิลปะแบบพื้นบ้านบนฐานชุกชีและด้านหลังองค์พระประธานติดกระจกเงาตามความเชื่อของชาวไทลื้อบานประตูไม้จำหลักเป็นศิลปะพื้นเมืองน่าน
วัดต้นแหลง
ตั้งอยู่ในตัวเมืองปัว จากอำเภอเมืองไปตามทางหลวงหมายเลข 1080เมื่อเริ่มเข้าเขตตัวเมืองปัวให้สังเกตธนาคารกสิกรไทย สาขาอำเภอปัวแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าซอยก่อนถึงธนาคารขับตรงเข้าไปจนถึงวงเวียนให้เลี้ยวขวาอีกประมาณ 2 กิโลเมตรสันนิษฐานว่าสร้างประมาณปี พ.ศ. 2127 วิหารทรงตะคุ่มหลังคาลาดต่ำ ซ้อนกัน3 ชั้น ลักษณะเดียวกับบ้านเรือนแบบเดิมของชาวไทลื้อแถบสิบสองปันนาผนังเจาะช่องหน้าต่างเล็ก ๆ เพื่อป้องกันอากาศหนาวเย็นประตูทางเข้าตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเพื่อให้แสงแรกของวันสาดส่องมาต้ององค์พระประธานและเพื่อให้พุทธศาสนิกชนที่เข้ามาในวิหารมุ่งความสนใจไปที่องค์พระประธานทั้งยังก่อให้เกิดบรรยากาศสลัวสงบนิ่ง เหมาะกับการน้อมจิตสู่สมาธิ
น่าน
น่าน
บ่อเกลือสินเธาว์
พื้นที่บนยอดเขาสูงเสียดเมฆอย่างอำเภอบ่อเกลือไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นแหล่งเกลือที่มีความสำคัญมาแต่โบราณเมืองน่านเป็นแหล่งเกลือขนาดใหญ่ ส่งเป็นสินค้าออกในภาคเหนือ โดยบ่อเกลือสินเธาว์ อยู่ห่างจากตัวเมืองน่าน 80 กิโลเมตรชาวอำเภอบ่อเกลือนอกจากจะมีอาชีพทำนาทำไร่แล้วยังมีอาชีพทำเกลือสินเธาว์อีกด้วย โดยมีแหล่งเกลือสินเธาว์อยู่บนภูเขา(บ่อเกลือจะปิดช่วงเข้าพรรษาเพราะเป็นช่วงฤดูฝน)
บ่อเกลือสำคัญในน่านมี 2 แห่ง คือบริเวณต้นน้ำว้าซึ่งมีบ่อเกลือใหญ่ 2 บ่อ อีกแห่งคือบริเวณต้นน้ำน่าน มีบ่อใหญ่ 5บ่อและมีบ่อเล็กบ่อน้อยอีกจำนวนมากปัจจุบันชาวบ้านยังคงต้มแกลือด้วยวิธีแบบดั้งเดิมจะตักน้ำเกลือจากบ่อส่งผ่านมาตามลำไม้ไผ่สู่บ่อพักก่อนจะนำน้ำเกลือมาต้มในกะทะใบบัวขนาดใหญ่เคี่ยวจนน้ำงวดแห้งใส่ถุงวางขายกันหน้าบ้านเกลือเมืองน่านไม่มีไอโอดีนเหมือนเกลือทะเลจึงต้องมีการเติมสารไอโอดีนก่อนถึงมือผู้บริโภค
บ่อเกลือสินเธาว์ อยู่ห่างจากตัวเมืองน่าน 80 กิโลเมตรชาวอำเภอบ่อเกลือนอกจากจะมีอาชีพทำนาทำไร่แล้วยังมีอาชีพทำเกลือสินเธาว์อีกด้วย โดยมีแหล่งเกลือสินเธาว์อยู่บนภูเขา(บ่อเกลือจะปิดช่วงเข้าพรรษาเพราะเป็นช่วงฤดูฝน)
อุทยานแห่งชาติขุนน่าน
อุทยานแห่งชาติขุนน่าน หมายถึง ขุนเขา ลำน้ำอันเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำน่าน อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติดอยภูคาและป่าผาแดง บริเวณท้องที่ต.ดงพญา ต.บ่อเกลือใต้ และต.ภูฟ้า อ.บ่อเกลือจ.น่าน มีเนื้อที่ประมาณ 248.6 ตร.กม. หรือประมาณ 155,375 ไร่มีสภาพป่าอันอุดมสมบูรณ์ มีน้ำตกหลายแห่ง และมีจุดเด่นที่สวยงามที่สำคัญพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็ฯแหล่งต้นกำเนิดของแม่น้ำน่านมียอดดอยผีปันน้ำในเทือกเขาผีปันน้ำ ในต.ดงพญา เป็นดอยที่สูงที่สุดมีอาณาเขตด้านทิศตะวันออกติดต่อสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวสภาพภูมิอากาศโดยเฉลี่ยวอยู่ที่ 1-7 ํc ในฤดูหนาวส่วนฤดูร้อนมีอุณหภูมิระหว่าง 22-28 ํc และฤดูฝนมีอุณหภูมิเฉลี่ยว 20-25 ํc
จุดเด่นและแหล่งท่องเที่ยว ได้แก่ น้ำตกสะปัน, น้ำตกห้วยตี๋,น้ำตกบ้านเด่น, น้ำตกห้วยห้า มีน้ำไหลตลอดทั้งปีเป็นน้ำตกที่มีความงามตามธรรมชาติอย่างยิ่ง
การเดินทาง รถยนต์ส่วนตัวจากตัวเมืองน่าน ใช้เสันทางหลวงหมายเลข1080 (น่าน-ทุ่งช้าง) ประมาณ 59 กิโลเมตร ถึงอ.ปัวแยกขวาไปตามทางหลวงหมายเลข 1256 (ปัว-ดอยภูคา-บ่อเกลือ) ประมาณ 46กิโลเมตร ถึงทางแยกที่ อ.บ่อเกลือ เลี้ยวซ้ายไปตามเส้นทาง(บ่อเกลือ-เฉลิมพระเกียรติ) เป็นระยะทาง ประมาณ 6 กิโลเมตรมีทางแยกขวามือเป็นทางลูกรังเข้าที่ทำการชั่วคราว อุทยานแห่งชาติขุนน่านระยะทางประมาณ 500 เมตร ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาทีรถประจำทาง จาก อ.เมืองน่าน นั่งรถสายน่าน-ปัว แล้วต่อรถสายปัว-บ่อเกลือลงที่อ.บ่อเกลือ แล้วต่อรถสายบ่อเกลือ-เฉลิมพระเกียรติรถผ่านหน้าอุทยานแล้วเดินเท้าเข้าไปอีก 500 เมตร
สอบถามรายละเอียดได้ที่ อุทยานแห่งชาติขุนน่าน หมู่ 5 ต.ผาสิงห์อ.เมือง จ.น่าน 55000 โทร. 0 1960 5507 หมายเหตุอุทยานแห่งชาติขุนน่านปิดการท่องเที่ยวและพักแรมในเขตอุทยานแห่งชาติระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม -30กันยายน ของทุกปี
น่าน
เสาดินนาน้อย(ฮ่อมจ๊อม) และคอกเสือ
เสาดินนาน้อย(ฮ่อมจ๊อม) และคอกเสือ อยู่ที่ตำบลเชียงของห่างจากตัวเมืองน่าน 60 กิโลเมตรจากอำเภอนาน้อยมีทางแยกไปตามเส้นทางหมายเลข 1083 ประมาณ 6 กิโลเมตรเป็นเสาดินที่มีลักษณะแปลกตาคล้าย "แพะเมืองผี" ที่จังหวัดแพร่จากหลักฐานทางธรณีวิทยาพบว่าเสาดินนาน้อยเกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกในยุคเทอร์เชียรีตอนปลาย(late tertian) ประกอบกับการกัดเซาะของน้ำและลมตามธรรมชาตินักธรณีวิทยาสันนิษฐานว่ามีอายุประมาณ 30,000-10,000 ปีมาแล้วเคยเป็นก้นทะเลมาก่อน และจากหลักฐานการค้นพบกำไลหินและขวานโบราณที่นี่(ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน)แสดงให้เห็นว่าบริเวณนี้อาจเคยเป็นแหล่งอาศัยของมนุษย์ยุคหินเก่า
น่าน
น่าน
น่าน
วัดหนองบัว
วัดหนองบัว ตั้งอยู่ในหมู่บ้านหนองบัว ตำบลป่าคา ไปตามเส้นทาง1080 เลี้ยวซ้ายที่ กม.40 ข้ามสะพานแล้วเข้าไปอีก 3 กิโลเมตรวัดหนองบัวเป็นวัดเก่าแก่ของหมู่บ้านจากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านทำให้สันนิษฐานได้ว่าวัดไทลื้อแห่งนี้สร้างราว พ.ศ.2405 (ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 4)
ภาพจิตรกรรมฝาผนังในโบสถ์เล่าเรื่องหนึ่งในปัญญาสชาดกซึ่งเป็นพระชาติหนึ่งของพระพุทธเจ้า สันนิษฐานว่าเขียนโดย "ทิดบัวผัน"ช่างเขียนลาวพวนที่บิดาของครูบาหลวงสุ ชื่อนายเทพซึ่งเป็นทหารของเจ้าอนันตยศ (เจ้าเมืองน่านระหว่างปี พ.ศ. 2395-2434)ได้นำมาจากเมืองพวน ในแคว้นหลวงพระบางนอกจากนั้นยังมีนายเทพและพระแสนพิจิตรเป็นผู้ช่วยเขียนจนเสร็จและยังมีภาพของเรือกลไฟและดาบปลายปืนซึ่งเริ่มเข้ามาในประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่ 4 ถึงรัชกาลที่ 5ภาพจิตรกรรมที่วัดหนองบัวแห่งนี้ได้สะท้อนให้เห็นสภาพความเป็นอยู่ของผู้คนในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะการแต่งกายของผู้หญิงที่นุ่งผ้าซิ่นลายน้ำไหลหรือผ้าซิ่นตีนจกที่สวยงามนับว่ามีคุณค่าทางศิลปะและความสมบูรณ์ของภาพใกล้เคียงกับภาพจิตรกรรมฝาผนังของวัดภูมินทร์ในเมืองน่านนอกจากภาพจิตรกรรมแล้วที่ฐานพระประธานยังประดิษฐานพระพุทธรูปล้านนาองค์เล็กอยู่หลายองค์ และยังมีบุษบกสมัยล้านนาอยู่ด้วย
น่าน
วัดพระธาตุแช่แห้ง
วัดพระธาตุแช่แห้งเป็นปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่บนเนินทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่านบริเวณที่เป็นศูนย์กลางเมืองน่านเดิม หลังจากที่ย้ายมาจากเมืองปัววัดพระบรมธาตุแช่แห้ง สร้างในสมัยเจ้าพระยาการเมือง(เจ้าผู้ครองนครน่านระหว่าง พ.ศ.1869-1902)เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระมหาชินธาตุเจ้า 7 พระองค์พระพิมพ์เงินและพระพิมพ์ทอง ที่ได้รับพระราชทานจากพระมหาธรรมราชาลิไทเมื่อครั้งที่เจ้าพระยาการเมืองเสด็จไปช่วยสร้างวัดหลวงอภัย (วัดป่ามะม่วงจังหวัดสุโขทัยในปัจจุบัน) ในปีพ.ศ. 1897
องค์พระธาตุเป็นเจดีย์ทรงระฆังรูปแบบของพระธาตุแช่แห้งสันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลจากเจดีย์พระธาตุหริภุญไชย โดยรอบองค์บุด้วยทองจังโก (ทองดอกบวบ ทองเหลืองผสมทองแดง)ทางขึ้นสู่องค์พระธาตุเป็นตัวพญานาคหน้าบันเหนือประตูทางเข้าพระวิหารเป็นปูนปั้นลายนาคเกี้ยวซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของศิลปกรรมเมืองน่าน
พระธาตุแช่แห้งเป็นพระธาตุประจำปีเถาะ ชาวล้านนาเชื่อว่าหากได้เดินทางไป "ชุธาตุ"หรือนมัสการพระธาตุประจำปีเกิดจะได้รับอานิสงส์อย่างยิ่งนักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมวัดพระธาตุแช่แห้งได้ทุกวัน ระหว่างเวลา06.00-18.00 น.
การเดินทาง : วัดพระบรมธาตุแช่แห้ง ตั้งอยู่ที่ตำบลม่วงตึ๊ดจากตัวเมืองข้ามสะพานแม่น้ำน่าน ไปตามเส้นทางสายน่าน-แม่จริมหรือทางหลวงหมายเลข 1168 ประมาณ 3 กิโลเมตร
น่าน
วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร
วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ถนนสุริยพงษ์ตรงข้ามสำนักงานเทศบาลเมืองน่าน เดิมเรียก "วัดหลวง" หรือ"วัดหลวงกลางเวียง" สร้างขึ้นในสมัยเจ้าปู่แข็ง พ.ศ. 1949เป็นวัดหลวงในเขตนครน่านสำหรับเจ้าผู้ครองนครใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีสำคัญทางพุทธศาสนาและพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ตามศิลาจารึกหลักที่ 74 ซึ่งถูกค้นพบภายในวัดกล่าวว่าพญาพลเทพฤาชัย เจ้าเมืองน่านได้ปฏิสังขรณ์บูรณะวิหารหลวงเมื่อ พ.ศ. 2091
ลักษณะสถาปัตยกรรมของวัดพระธาตุช้างค้ำนี้สะท้อนให้เห็นอิทธิพลของศิลปะสุโขทัย อาทิ เจดีย์ทรงลังกา (ทรงระฆัง)รอบฐานองค์พระเจดีย์ก่ออิฐถือปูนและปั้นเป็นรูปช้างครึ่งตัว ด้านละ 5เชือก และที่มุมทั้งสี่อีก 4 เชือก ดูคล้ายจะเอาหลังหนุน หรือ "ค้ำ"องค์เจดีย์ไว้ ลักษณะคล้ายวัดช้างล้อม จังหวัดสุโขทัยและภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปสำริดยืนปางประทานอภัยอายุราวครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ 19 ตรงกับสมัยสุโขทัยตอนปลายมีลักษณะคล้ายพระพุทธรูปปางประทานอภัยที่วัดราชธานี จังหวัดสุโขทัยพระประธานเป็นปูนปั้นขนาดใหญ่ศิลปะเชียงแสนฝีมือสกุลช่างน่านที่มีพุทธลักษณะงดงามยิ่งของเมืองน่าน
น่าน
น่าน
วัดภูมินทร์
เป็นวัดหลวงตั้งอยู่ในเขตพระนครดังปรากฏชื่อตำบลในเวียงในปัจจุบันอยู่ใกล้กับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดน่าน ตามพงศาวดารของเมืองน่านพระเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ เจ้าผู้ครองนครน่านได้สร้างวัดภูมินทร์ขึ้นหลังจากที่ครองนครน่านได้ 6 ปี เมื่อ พ.ศ.2139มีปรากฏในคัมภีร์เมืองเหนือว่าเดิมชื่อ "วัดพรหมมินทร์"แต่ตอนหลังชื่อวัดได้เพี้ยนไปจากเดิมเป็น "วัดภูมินทร์"
จุดเด่นของวัดนี้คือเป็นวัดที่สร้างทรงจตุรมุขหนึ่งเดียวในประเทศไทยที่ดูคล้ายตั้งอยู่บนหลังพญานาค 2 ตัว อาคารนี้เป็นทั้งพระอุโบสถ พระวิหารและพระเจดีย์ประธาน โดยใช้อาคารในแนวตะวันออก-ตะวันตกเป็นพระวิหารและอาคารแนวเหนือ-ใต้ เป็นพระอุโบสถรัฐบาลไทยเคยพิมพ์รูปวัดภูมินทร์ในธนบัตรใบละ 1 บาทในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และเมืองโบราณ จังหวัดสมุทรปราการได้จำลองพระวิหารหลังนี้ไว้ด้วย
สามร้อยปีต่อมา วัดภูมินทร์ได้รับการบูรณะครั้งใหญ่สมัยเจ้าอนันตวรฤทธิเดช เมื่อ พ.ศ.2410(ปลายสมัยรัชกาลที่ 4) ใช้เวลาซ่อมนานถึง 7 ปีจิตรกรรมฝาผนังในวิหารหลวงก็เขียนขึ้นในช่วงนี้ ภาพจิตรกรรมหรือ "ฮูบแต้ม"ในวัดภูมินทร์เป็นชาดกในพุทธศาสนาแต่ถ้าพิจารณารายละเอียดของวิถีชีวิตของคนเมืองในสมัยนั้นมีภาพที่น่าสนใจอยู่หลายภาพ เช่น ภาพธรรมเนียมการอยู่ข่วง ของชาวไทลื้อพ่อแม่จะอนุญาตให้หนุ่มสาวพบปะกันที่ชานบ้านในเวลาค่ำขณะหญิงสาวกำลังปั่นฝ้าย หรือ "อยู่ข่วง"หากสาวเจ้าตกลงปลงใจด้วยก็จะจัดพิธีแต่งงาน หรือที่เรียกว่า "เอาคำไปป่องกั๋น" หรือเป็นทองแผ่นเดียวกัน การค้าขายแลกเปลี่ยนในชุมชนภาพชาวพื้นเมือง ซึ่งอาจเป็นชาวเขา "เป๊อะ" ของป่าบนศรีษะเพื่อนำมาแลกเปลี่ยนกับคนเมือง ภาพปู่ม่าน ย่าม่านภาพนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นภาพที่งามเป็นเยี่ยมของวัดภูมินทร์มีการใช้สีแดง ฟ้าดำ น้ำตาลเข้มเป็นปื้นใหญ่ ๆ คล้ายภาพสมัยใหม่
ชีวิตความเป็นอยู่ของคนเมืองน่านหญิงสาวกำลังทอผ้าด้วยกี่พื้นเมือง นอกชานมีเรือนเล็ก ๆตั้งหม้อน้ำดินเผาที่เรียกว่า "ร้านน้ำ"ส่วนชายหนุ่มไว้ผมทรงหลักแจวหรือทรงมหาดไทยแสดงให้เห็นอิทธิพลตะวันตกที่เข้ามาผสมผสานในวิถีพื้นเมืองน่านภาพชาวต่างประเทศ ที่เข้ามาเมืองน่านช่วงรัชกาลที่ 5 ทรงผมและเครื่องแต่งกายของผู้หญิงเป็นรูปแบบเดียวกับที่กำลังเป็นที่นิยมในยุโรปขณะนั้น
วัดพญาวัด
ตั้งอยู่ที่บ้านพญาวัด ตำบลดู่ใต้ ตามเส้นทางหลวงหมายเลข 101ก่อนข้ามสะพานเข้าเมืองน่าน มีทางแยกซ้ายมือเข้าทางหลวงหมายเลข 1025เข้าไปประมาณ 300เมตรแต่เดิมบริเวณที่ตั้งวัดเป็นเขตศูนย์กลางเมืองน่านในสมัยที่ย้ายเมืองจากพระบรมธาตุแช่แห้งมาตั้งอยู่ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำน่านสถูปเจดีย์สร้างด้วยศิลาแลงในสมัยพระนางจามเทวี มีลักษณะคล้ายเจดีย์กู่กุดจังหวัดลำพูน เป็นทรงซุ้มสี่เหลี่ยมซ้อนกัน 5 ชั้นแต่ละชั้นประดิษฐานพระพุทธรูปยืนซึ่งได้รับอิทธิพลจากศิลปะสุโขทัยดังพบที่สถูปเจดีย์วัดมหาธาตุจังหวัดสุโขทัยยอดซุ้มก่ออิฐวงโค้งเป็นรูปแบบการก่อสร้างสมัยพระเจ้าติโลกราชแห่งนครเชียงใหม่ แสดงให้เห็นว่ามีการบูรณะในสมัยนั้นซึ่งเป็นสมัยที่อิทธิพลของศิลปะเชียงใหม่ได้เข้ามาแทนที่ศิลปะสุโขทัยแล้วในพระอุโบสถประดิษฐาน "พระเจ้าฝนแสนห่า"ซึ่งชาวเมืองน่านเคยนำมาแห่ขอฝนให้ตกต้องตามฤดูกาล นอกจากนั้นยังมีธรรมาสน์แกะสลัก ฝีมือช่างพื้นเมืองน่านที่เก่าที่สุดเท่าที่เคยพบสันนิษฐานว่าสร้างในสมัยเจ้าอัตถวรปัญโญ ราวครึ่งแรกของพุทธศตวรรษที่ 24
วัดสวนตาล
ตั้งอยู่ที่ถนนมหายศ สร้างขึ้นโดยพระนางปทุมมาวดี เมื่อพ.ศ.1770 เจดีย์มีสัณฐานงดงาม ชั้นล่างมีซุ้มประตูทั้งสี่ทิศจากภาพถ่ายในหอจดหมายเหตุแห่งชาติรูปเจดีย์วัดสวนตาลก่อนการบูรณะในสมัยพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ(ตรงกับรัชกาลที่ 5)เป็นเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมองค์พระเจดีย์เป็นทรงดอกบัวตูมหรือทรงพุ่มข้าวบิณฑ์สะท้อนให้เห็นอิทธิพลศิลปะสมัยสุโขทัยภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปที่สำคัญคือ พระเจ้าทองทิพย์ ซึ่งพระเจ้าติโลกราชแห่งนครเชียงใหม่ โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นในปี พ.ศ.1992 เป็นพระพุทธรูปทองสำริดองค์ใหญ่ปางมารวิชัยหน้าตักกว้าง 10 ฟุต สูง 14 ฟุต 4 นิ้วมีงานนมัสการและสรงน้ำเป็นประจำทุกปีในช่วงเทศกาลสงกรานต์และมีการเฉลิมฉลองทั้งกลางวันและกลางคืน
อนุสาวรีย์วีรกรรม พลเรือน ตำรวจ ทหาร และพิพิธภัณฑ์ทหารทุ่งช้าง
อนุสาวรีย์วีรกรรม พลเรือน ตำรวจ ทหารและพิพิธภัณฑ์ทหารทุ่งช้าง สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงวีรชนผู้พลีชีพเพื่อปกป้องแผ่นดินไทยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถฯ เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีเปิดและวางพวงมาลาเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2519 จึงถือเอาวันที่ 10 กุมภาพันธ์ของทุกปีเป็นวันวางพวงมาลา และบำเพ็ญกุศลแก่วีรชน สืบเนื่องมาถึงปัจจุบันตั้งอยู่ริมทางหลวงหมายเลข 1080 สายน่าน-ทุ่งช้าง หลักกิโลเมตรที่ 84 และพิพิธภัณฑ์ทหารทุ่งช้าง จัดแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ของทหารให้ศึกษาหาความรู้
หมู่บ้านไทยลื้อหนองบัว
หมู่บ้านไทยลื้อหนองบัวอยู่ที่บ้านหนองบัว ตำบลป่าคาจากตัวเมืองน่านใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 1080 ระยะทาง 41 กิโลเมตรก่อนถึงอำเภอท่าวังผามีทางแยกซ้ายไปอีก 3 กิโลเมตรหมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านที่มีฝีมือในการทอผ้าพื้นเมืองที่สวยงามเรียกว่า "ผ้าลายน้ำไหล" ซึ่งเป็นแหล่งใหญ่ที่สุดในจังหวัดน่านนับเป็นหัตถกรรมที่ตกทอดมาหลายยุคหลายสมัย
วัดหนองแดง
วัดหนองแดง อำเภอเชียงกลาง สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2330โดยชาวไทลื้อร่วมกับไทพวน องค์พระประธานสร้างโดยครูบาสิทธิการพระวิหารบูรณะครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2492 และบูรณะต่อมาในปี พ.ศ. 2538แล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2539 ภายในวัดมีลานกว้างร่มรื่นช่อฟ้าพระอุโบสถสลักรูปนกหัสดีลิงค์ (ศีรษะเป็นช้าง ตัวเป็นหงส์)ซึ่งชาวไทลื้อเชื่อว่าเป็นสัตว์ชั้นสูงจากสวรรค์เชิงชายประดับไม้ฉลุลายน้ำหยาด ซึ่งเป็นลวดลายเฉพาะของชาวไทลื้อองค์พระประดิษฐานบนฐานชุกชี เรียกว่า "นาคบัลลังก์"จากความเชื่อที่ว่านาคเป็นเครื่องหมายแห่งความสง่างาม ความดีและเป็นอารักษ์แห่งพุทธศาสนา
การเดินทาง จากตัวเมืองไปตามเส้นทางหลวงหมายเลข 1080ถึงที่ว่าการอำเภอเชียงกลาง เลยที่ว่าการอำเภอฯไป 2กิโลเมตรจนถึงสี่แยกรัชดา และเห็นป้อมตำรวจบ้านรัชดาให้เลี้ยวซ้ายไป 1กิโลเมตร
น่าน
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน อยู่ที่ถนนผากองตรงข้ามกับวัดพระธาตุช้างค้ำ ใกล้กับวัดภูมินทร์เป็นอาคารแบบยุโรปซึ่งเข้ามาในสมัยรัชกาลที่ 5ผสมผสานกับสถาปัตยกรรมท้องถิ่นเมืองน่าน เดิมเป็น “หอคำ”ซึ่งเป็นที่ประทับและที่ว่าราชการของพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯเจ้าผู้ครองนครน่าน สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2475ใช้เป็นที่ตั้งศาลากลางจังหวัดแห่งแรกของจังหวัดน่าน ต่อมาในปี พ.ศ. 2517อาคารแห่งนี้ได้รับการปรับปรุงอีกครั้งให้เป็นสถานที่ตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน
ภายในพิพิธภัณฑ์แบ่งเป็น 2 ชั้นชั้นล่างจัดแสดงชีวิตความเป็นอยู่ของชนเผ่าต่าง ๆ ในจังหวัดน่านรวมทั้งเทศกาลงานประเพณีที่สำคัญของจังหวัด เช่น การสืบชะตา การแข่งเรือส่วนชั้นบนจัดแสดงโบราณวัตถุสมัยต่าง ๆ ที่พบในจังหวัดน่านตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ จนถึงยุคเจ้าผู้ครองนครน่าน ชิ้นที่สำคัญได้แก่ งาช้างดำ วัตถุมงคลคู่บ้านคู่เมืองน่านได้มาในสมัยพระยาการเมืองเจ้าผู้ครองนครน่านองค์ที่ 5เครื่องปั้นดินเผาเคลือบ อายุราวพุทธศตวรรษที่ 21 พระพุทธรูปปางมารวิชัยศิลปะล้านนา อิทธิพลศิลปะพม่า พุทธศตวรรษที่ 25 พานพระศรีเครื่องเงินลงยาซึ่งเป็นเครื่องประกอบอิสริยยศของเจ้าผู้ครองนครน่านองค์สุดท้าย
พิพิธภัณฑ์เปิดทุกวัน เวลา 09.00-16.00 น. ค่าเข้าชม ชาวไทย 10บาท ชาวต่างประเทศ 30 บาท รายละเอียดติดต่อ โทร 0 5471 0561, 0 5477 2777
น่าน
หอศิลป์ริมน่าน
หอศิลป์ริมน่าน ก่อตั้งและดำเนินการโดยศิลปินชาวน่าน วินัยปราบริปู ตั้งอยู่ที่ 122 หมู่ 2 ต.บ่อ ถนนสายน่าน-ท่าวังผา (กิโลเมตร 20)ด้านทิศเหนือและทิศตะวันออกติดแม่น้ำน่าน ในพื้นที่ประกอบด้วยสตูดิโอบ้านพักรับรอง และอาคารหอศิลป์ ซึ่งเป็นอาคาร 2 ชั้น รวมพื้นที่ 13 ไร่ผู้ก่อตั้งมีจุดมุ่งหมายที่จะรวบรวมผลงานศิลปะของศิลปินไทยร่วมสมัยที่มีผลงานการสร้างสรรค์และรูปแบบที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเป็นที่ยอมรับกันโดยจัดนิทรรศการประจำปีในรูปแบบกึ่งถาวรขณะนี้มีผลงานงานจิตรกรรมและประติมากรรมของผู้ก่อตั้ง ประมาณ 200 ชิ้น
เปิดบริการ เวลา 09.00 น.- 17.00 น. ทุกวันพุธ-อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ปิดวันจันทร์-อังคาร รายละเอียดสอบถาม โทร.0 54798046 (เวลาปกติ), 0 1322 2912 หรือ www.nanartgallery.com
ตลาดชายแดนบ้านห้วยโก๋น
ตลาดชายแดนบ้านห้วยโก๋น อยู่บริเวณด่านผ่านแดนบ้านห้วยโก๋นด่านตรงข้ามคือเมืองน้ำเงิน แขวงไชยะบุรี สาธารณรัประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว) อยู่ห่างจากเมืองน่าน 138 กิโลเมตร ตลาดจะมีทุกวันเสาร์เริ่มตั้งแต่เช้าถึงประมาณใกล้เที่ยงสินค้าที่เข้ามาจำหน่ายส่วนใหญ่เป็นผ้าทอลายน้ำไหล ฝีมือชาวไทลื้อจากบ้านเมืองเงิน หงสา ของ สปป.ลาว นอกจากนั้น ยังมีสินค้าอุปโภคบริโภคเช่น ของป่า ลูกต๋าว เป็นต้น อนุญาตให้ประชาชนไทย-ลาวเข้าออกด่านนี้ทุกวัน ระหว่างเวลา 08.00-17.00 น.ศึกษาขั้นตอนการผ่านแดนไทย-ลาว ในรายละเอียด
วัดมิ่งเมือง
ตั้งอยู่ที่ถนนสุริยพงศ์ สร้างเมื่อ พ.ศ. 2400 ลักษณะเด่นคือลายปูนปั้นที่ผนังด้านนอกของพระอุโบสถ เป็นฝีมือตระกูลช่างเชียงแสนมีความวิจิตรงดงามมากภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังแสดงให้เห็นวิถีชีวิตของชาวเมืองน่านฝีมือช่างท้องถิ่นยุคปัจจุบัน และในบริเวณวัดยังเป็นที่ประดิษฐานเสาหลักเมือง ซึ่งยู่ในศาลาจตุรมุขด้านหน้าพระอุโบสถเสาหลักเมืองสูงประมาณ 3 เมตร ฐานประดับด้วยไม้แกะลวดลายลงรักปิดทองยอดเสาแกะสลักเป็นรูปพรหมพักตร์มีชื่อ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
อนุสรณ์สถานยุทธภูมิบ้านห้วยโก๋นเก่า
อนุสรณ์สถานยุทธภูมิบ้านห้วยโก๋นเก่าเดิมเคยเป็นฐานปฏิบัติการของกองพันทหารราบที่ 3ในบริเวณฐานปฏิบัติการยังคงรักษาสภาพเดิมไว้เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษามีสนามเพลาะ แนวกับระเบิด คลังอาวุธจุดที่ทหารไทยเสียชีวิตในบริเวณเดียวกับยุทธภูมิยังมีฐานสู้รบเหล่าผู้กล้า ฐานทหารเก่าที่บ้านห้วยโก๋น ตำบลห้วยโก๋นเป็นสมรภูมิการสู้รบในอดีต เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2518 ผกค.ได้เข้าโจมตีทำให้ทหารในสังกัดทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ ที่ปฏิบัติหน้าที่ ณฐานแห่งนี้ 69 นาย เสียชีวิต 17 นาย ฝ่าย ผกค. บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากฝ่ายทหารสามารถรักษาฐานปฏิบัติการแห่งนี้ไว้ได้ปัจจุบันได้ปรับปรุงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวมีอนุสรณ์สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์การต่อสู้ของลัทธิการปกครองที่แตกต่างกันภายในฐานยังมีบริการบ้านพักแก่นักท่องเที่ยวติดต่อได้ที่กองพันทหารราบที่15 หรือ หน่วยเฉพาะกิจทหารพรานจู่โจม ค่ายสุริยะพงษ์ โทร. 0 5471 0321, 05471 3324
อุทยานแห่งชาติแม่จริม (ล่องแก่งลำน้ำว้า)
อุทยานแห่งชาติแม่จริม (ล่องแก่งลำน้ำว้า)อยู่ในเขตอำเภอแม่จริม ห่างจากตัวเมืองน่าน ประมาณ 60 กิโลเมตรไปตามทางหลวงหมายเลข 1168 และ 1243 มีพื้นที่ 270,000 ไร่ หรือ 432ตารางกิโลเมตร ลักษณะภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อนเป็นแหล่งกำเนิดของต้นน้ำที่ไหลไปลงแม่น้ำน่านที่อำเภอเวียงสาเนื่องจากองค์ประกอบของพื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่จริมมีลักษณะเป็นภูเขาสูงชัน มีสภาพป่าที่ยังคงสมบูรณ์และมีน้ำว้าไหลผ่านทางทิศตะวันตกของพื้นที่เป็นระยะทางถึง 7.5 กิโลเมตรทำให้มีจุดเด่นทางธรรมชาติ ทั้งที่เป็นป่าไม้ วัฒนธรรม และลำน้ำ
เหมาะสำหรับกิจกรรมท่องเที่ยวต่าง ๆ อาทิ ล่องแก่งลำน้ำว้าโดยใช้แพยาง มีจุดเริ่มต้นบริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติแม่จริมถึงจุดสิ้นสุด (ปางช้าง) ระยะทางประมาณ 12 กิโลเมตร ใช้เวลา 2 ชั่วโมงหรือสิ้นสุดที่บ้านหาดไร่ ระยะทางประมาณ 15 กิโลเมตร ใช้เวลา 3 ชั่วโมงตลอดเส้นทางมีแก่งต่าง ๆ ให้ผจญภัยและเล่นน้ำ กว่า 10 แก่ง,ขับรถชมวิวเส้นทางบ้านน้ำพาง-บ้านร่มเกล้า ตามเส้นทางหลวงจังหวัดหมายเลข1259 (บ้านน้ำพาง-บ้านร่มเกล้า) ระยะทาง 25 กิโลเมตรตัดตามสันเขาผ่านสภาพป่าอันอุดมสมบูรณ์ตลอดเส้นทางสามารถจอดรถชมทิวทัศน์หุบเขาและหมู่บ้านทะเลหมอกยามเช้าตลอดจนทิวทัศน์พระอาทิตย์ตกดินได้หลายจุด
เดินป่าตามลำน้ำแปง ระยะทางประมาณ 12 กิโลเมตรเดินทางเลียบตามริมลำน้ำแปง, เดินป่าบ้านน้ำพาง-บ้านร่มเกล้าเป็นเส้นทางเดินสัญจรในอดีตของชาวบ้านร่มเกล้า ระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตรตามสันเขาผ่านสภาพป่าดงดิบเขาอันอุดมสมบูรณ์, เดินป่า ปีนผาหน่อ ซึ่ง"ผาหน่อ" เป็นภูเขาหินปูน รูปแท่งเข็ม หรือหน่อไม้ มีความสูง 824 เมตรจากระดับน้ำทะเล สันนิษฐานว่าเกิดจากการยุบตัวของพื้นดินเชิงเขาบริเวณรอบๆ เป็นหน้าผาชันเกือบ 90 องศาเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบการเดินป่าและปีนเขาหากขึ้นถึงยอดเขาจุสามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามได้รอบด้านในผาหน่อพบถ้ำที่เป็นที่อยู่ของ ค้างคาว และเลียงผาบริเวณหน้าผาพบภาพเขียนโบราณเป็นรูปเลขาคณิตและรูปคล้ายผู้หญิงตั้งครรภ์ปรากฎอยู่ ระยะทางไป-กลับ ประมาณ 8 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง ประมาณ 6ชั่วโมง
เส้นทางศึกษาธรรมชาติ "ชบาป่า" สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี เสด็จพระดำเนินศึกษาธรรมชาติในเส้นทางนี้ เมื่อวันที่ 29พฤศจิกายน 2542 ทรงพบดอกไม้ป่าสกุลเดียวกับชบา ดอกสีชมพูอมม่วงขนาด 2-3เซ็นติเมตร พระราชทานนามว่า "ชบาป่า" (Urena lobata)ทางเดินมีระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร มีจุดชมวิวทิวทัศน์ของลำน้ำว้าและขุนเขาหลายจุด ใช้เวลาเดินประมาณ 1.5 ชั่วโมง
อุทยานแห่งชาติแม่จริม มีบริการที่พัก ร้านอาหารเต็นท์บริการสำหรับผู้ที่ต้องการค้างแรม สามารถติดต่อได้ที่อุทยานแห่งชาติแม่จริม 35 หมู่ 5 บ้านห้วยทรายมูล ต.น้ำปาย อ.แม่จริม จ.น่าน 55170 โทรศัพท์ 0 5473 0040-1
อุทยานแห่งชาตินันทบุรี
อุทยานแห่งชาตินันทบุรีครอบคลุมพื้นที่อำเภอเมืองและอำเภอบ้านหลวง รวมทั้งพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าน้ำยาว-น้ำสวก และป่าสงวนแห่งชาติถ้ำพุเตย มีอุณหภูมิเฉลี่ย 8.4องศาเซลเซียส สูงสุด 40.8 องศาเซลเซียส เป็นป่าผสมผลัดใบ ดิบแล้ง ดิบเขามีไม้ประเภท สัก ประดู่ ตะแบก ฯลฯ และในเขตอุทยานฯนี้ยังเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชนเผ่ามลาบรี หรือผีตองเหลืองสถานที่น่าสนใจในอุทยานฯ ได้แก่ ดอยผาจิ ดอยวาว น้ำตกสันติสุขน้ำตกสองแคว น้ำตกห้วยพริก น้ำตกตาดฟ้าร้อง น้ำตกดอยหมอก และน้ำพุร้อน
หมู่บ้านประมงปากนาย
ปากนาย เดิมเป็นหมู่บ้านริมแม่น้ำน่านหลังการสร้างเขื่อนสิริกิติ์ หมู่บ้านปากนายได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนซึ่งมีลักษณะเหมือนทะเลสาบขนาดใหญ่ โอบล้อมด้วยทิวเขาเขียวขจีชาวบ้านปากนายประกอบอาชีพประมง มีแพร้านอาหารให้เลือกชิมปลาจากเขื่อน เช่นปลากด ปลาบู่ ปลาคัง ปลาแรด ปลาทับทิม เป็นต้นและบางแห่งทำเป็นห้องพักไว้บริการนักท่องเที่ยวจากบ้านปากนายสามารถเช่าเรือล่องไปตามลำน้ำน่านสู่อ่างเก็บน้ำสิริกิติ์มีทิวทัศน์เป็นป่าเขาสวยงาม เกาะแก่ง เรือนแพ ชาวประมง ในช่วงนอกฤดูฝนจะมีแพลากไปวัดปากนาย สามารถนั่งรับประทานอาหารบนเรือได้ ใช้เวลาประมาณ 2ชั่วโมง และมีแพขานยนต์ข้ามฟากไปยัง อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์
การเดินทาง อยู่ที่ตำบลนาทะนุง ห่างจากตัวจังหวัด 96 กิโลเมตรใช้เส้นทางน่าน-เวียงสา-นาน้อย จากอำเภอนาน้อยจะมีทางแยกไปถึงอำเภอนาหมื่นราว 20 กิโลเมตรจากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 1339จะเป็นทางลาดยางคดเคี้ยวไปตามไหล่เขาอีกประมาณ 25 กิโลเมตรจึงถึงบ้านปากนาย
ผาชู้ หรือ ผาเชิดชู
ผาชู้ หรือ ผาเชิดชูบริเวณเชิงผาชู้เป็นจุดที่ตั้งที่ทำการอุทยานแห่งชาติศรีน่านในช่วงฤดูหนาวจะสามารถมองเห็นทะเลหมอกได้จากยอดผาชู้และเมื่อหมอกจางจะมองเห็นลำน้ำน่านทอดตัวคดเคี้ยวอยู่ที่ปลายผืนป่าหากจะขึ้นไปชมต้องขึ้นแต่เช้ามืดก่อนพระอาทิตย์ขึ้นระยะทางประมาณ 2กิโลเมตร ช่วงใกล้ขึ้นถึงยอดจะเป็นหินแหลมคมจึงต้องเตรียมรองเท้าผ้าใบที่ใส่กระชับไปด้วยเพื่อความสะดวกในการปีนป่ายใช้เวลาในการเดินประมาณ 1 ชั่วโมงผู้ที่ประสงค์จะเดินขึ้นยอดผาชู้ต้องติดต่อเจ้าหน้าที่นำทางที่อุทยานแห่งชาติศรีน่าน ตู้ ปณ.14 อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน 55150
ตามตำนานที่เล่ากันมาเกี่ยวกับผาชู้กล่าวว่า เจ้าเอื้องผึ้งซึ่งเป็นคู่รักกับ เจ้าจันทน์ผา จำใจต้องแต่งงานกับ เจ้าจ๋วงเจ้าเอื้องผึ้งเสียใจที่ไม่ได้แต่งงานกับคนที่ตัวเองรักจึงตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดจากหน้าผา เจ้าจันทน์ผา ตามมาพบว่า เจ้าเอื้องผึ้งได้กระโดดหน้าผาไปแล้ว จึงกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตายตามคนรักตกไปอยู่ใกล้กันและ เจ้าจ๋วง ได้เห็นหญิงที่ตนรักกระโดดหน้าผาไปจึงรู้สึกเสียใจและตัดสินใจกระโดดหน้าผาตามลงไปด้วย แต่กระเด็นห่างออกไปด้วยความรักแท้ระหว่าง เจ้าเอื้องผึ้ง และ เจ้าจันทน์ผา ในชาติต่อมาเจ้าเอื้องผึ้ง จึงเกิดเป็นดอกกล้วยไม้เกาะอยู่ใต้ต้นจันทน์ผา และเจ้าจ๋วง ก็เกิดเป็นต้นสน ณ จุดที่ตกไปนั้นเอง ("จ๋วง"เป็นภาษาเหนือแปลว่าต้นสน "เอื้องผึ้ง" แปลว่ากล้วยไม้)หน้าผาแห่งนี้จึงได้ชื่อว่า "ผาชู้" นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
น่าน
อุทยานแห่งชาติศรีน่าน
อุทยานแห่งชาติศรีน่าน มีพื้นที่ประมาณ 583,750 ไร่ หรือ 934ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่อำเภอต่างๆ ในจังหวัดน่าน ได้แก่ เวียงสานาน้อย และนาหมื่น เทือกเขาสลับซับซ้อนที่วางตัวในแนวเหนือ-ใต้ขนานกันทั้งทางทิศตะวันตกและตะวันออกแบ่งพื้นที่ออกเป็นฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออก สองฝั่งแม่น้ำเป็นป่าเบญจพรรณและป่าเต็งรังซึ่งในพื้นที่อุทยานแห่งชาติศรีน่านพบสัตว์ป่าหายากอยู่หลายชนิด เช่นนกยูง ซึ่งมีอยู่หลายฝูง เสือดาว เสือดำ หมีกวาง หมาป่า และหมาในมีสัตว์ป่าหลายชนิดที่สำคัญ คือ ช้างป่า, วัวแดง, และกระทิงซึ่งจะอพยพไปมาระหว่าง เขตติดต่อไทย-ลาว
สถานที่น่าสนใจในอุทยาน ได้แก่ แก่งหลวงน้ำน่านเกิดจากแนวหินน้อยใหญ่ที่กระจัดกระจายอยู่ในแม่น้ำน่านรวมทั้งโขดหินและหน้าผา ยามหน้าน้ำจะมีเสียงน้ำไหลกระทบโขดหินดังกึกก้องยามหน้าแล้งจะมองเห็นแนวหิน โขดหินที่มีรูปร่างทรงหลากหลายอย่างสวยงามจุดเด่นที่น่าสนใจ แนวหินน้อยใหญ่ที่กระจัดกระจายอยู่ในแม่น้ำน่านยามหน้าน้ำจะมีเสียงน้ำไหลกระทบโขดหินดังกึกก้องยามหน้าแล้งจะมองเห็นแนวหินโขดหินที่มีรูปร่างทรงหลากหลายอย่างสวยงามและหาดทรายที่ขาวสะอาดเป็นบริเวณกว้าง เหมาะสำหรับการมาท่องเที่ยวพักผ่อนและเล่นน้ำแก่งหลวงอยู่ริมทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1083ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติประมาณ 14 กิโลเมตร
ดอยผาชู้ เป็นที่ตั้งของที่ทำการอุทยานแห่งชาติศรีน่านมีลักษณะเป็นโขดหินและหน้าผาขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางขุนเขาที่เขียวขจีหลายแสนไร่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์และสายน้ำของแม่น้ำน่านทอดตัวไหลคดเคี้ยวสู่ทิศใต้ยาวหลายสิบกิโลเมตรยามหน้าหนาวจะมีทะเลหมอกสีขาวตัดกับความเขียวขจีของป่าและแสงสีทองของดวงอาทิตย์ขึ้นยามเช้าอย่างสวยงามมากและเป็นสถานที่เกิดตำนานรักสามเส้าที่ตัดสินความรักด้วยความตายจุดเด่นที่น่าสนใจ ได้แก่ ยอดผาชู้เป็นสถานที่ตั้งสายธงชาติที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ต้องร้องเพลงชาติ 12 จบกว่าจะเชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา มีความยาวของสายธงชาติประมาณ 200 เมตรจากพื้นถึงยอดผาชู้ จุดชมวิว เป็นบริเวณกว้างอยู่ด้านหน้าของผาชู้สามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกในยามเช้ามองเห็นแม่น้ำน่านที่ไหลทอดตัวผ่านใจกลางอุทยานแห่งชาติ เป็นระยะทางกว่า20 กิโลเมตร สวนหิน ที่เกิดจากธรรมชาติที่มีการจัดวางตัวอย่างสวยงาม
น่าน
ดอยเสมอดาว บริเวณจุดชมวิวอีกจุดหนึ่งของอุทยานแห่งชาติศรีน่านมีพื้นที่เป็นลานกว้างตามสันเขา เหมาะสำหรับการพักผ่อน ดูดาวดูพระอาทิตย์ขึ้นและตกดินในบริเวณเดียวกัน จุดนี้มีชื่อว่า "ดอยเสมอดาว"ผาหัวสิงห์ เป็นหน้าผามีรูปร่างเหมือนสิงโตนอนหมอบหันหน้าไปทางทิศตะวันออกสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้ 360 องศาและเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามอีกจุดหนึ่ง
ทิวทัศน์ทั้งสองฝั่งแม่น้ำน่านแม่น้ำทอดตัวผ่านกลางพื้นที่อุทยานฯ ตั้งแต่เหนือสุดถึงใต้สุดยาวกว่า 60กิโลเมตร สามารถล่องเรือ ล่องแพ ชมธรรมชาติสองฝั่งแม่น้ำน่านจะเห็นทิวทัศน์ เกาะแก่ง โขดหิน หาดทราย หน้าผาสภาพป่าที่เขียวขจีและสัตว์ป่านานาชนิดต่าง ๆ มากมาย มีจุดเด่นที่น่าสนใจผาง่าม เป็นหน้าผาขนาดใหญ่ ตั้งโดดเด่นอยู่กลางป่าเขาที่เขียวขจี ผาขวางเป็นหน้าผาขนาดใหญ่ ตั้งขวางอยู่กลางแม่น้ำน่าน สภาพป่าที่อุดมสมบูรณ์สองฝั่งแม่น้ำน่าน ที่เหมาะสมสำหรับการศึกษาเกี่ยวกับระบบธรรมชาติวิทยา
ปากนาย ตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลนาทะนุง อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่านห่างจากตัวอำเภอ 27 กิโลเมตร ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติ ประมาณ 63กิโลเมตร เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของจังหวัดน่านมีเส้นทางข้ามไปจังหวัดอุตรดิตถ์ได้จึงมีนักท่องเที่ยวเดินทางผ่านเพื่อแวะ ชมและพักค้างคืนเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากต่างจังหวัดและจังหวัดใกล้เคียง
เสาดินนาน้อยเกิดจากการกัดเซาะพังทะลายของดินเป็นบริเวณกว้างกว่า 20 ไร่ลักษณะคล้ายแพะเมืองผีของจังหวัดแพร่ แต่มีความสวยกว่าและจะมีการพังทลายของดินเปลี่ยนแปลงรูปไปทุก ๆ ปี ผลกระทบต่อระบบนิเวศ คือตะกอนดินจะไหลลงสู่แม่น้ำลำธาร ทำให้เกิดการตื้นเขินได้
คอกเสือ อยู่ห่างจากเสาดินนาน้อยประมาณ 300 เมตรมีลักษณะเป็นหลุมลึก ในสมัยก่อนชาวบ้านเล่าว่าในบริเวณนี้มีเสืออาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และจะมาขโมยเอาวัว ควายและหมูของชาวบ้านที่เลี้ยงไว้กินเป็นอาหารชาวบ้านจึงรวมกำลังไล่ต้อนเสือให้ตกลงไปในบ่อดินดังกล่าวแล้วใช้ก้อนหินและไม้แหลมขว้างและทิ่มแทงเสือจนตายเขาจึงเรียกบริเวณนี้ว่า "คอกเสือ"
การเดินทางจากกรุงเทพฯ ผ่านนครสวรรค์ พิษณุโลกถึงแพร่จากแพร่ตามถนนยันตรกิจโกศล ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 101 ไปถึงอำเภอเวียงสาเลี้ยวขวาไปตามถนนเจ้าฟ้า ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1026 จากอำเภอเวียงสาไปอำเภอนาน้อย ระยะทางประมาณ 35 กม.แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าตามถนนสายนาน้อย -ปางไฮ ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1083ไปอีกประมาณ 5 กิโลเมตร จะถึงเสาดิน และถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติศรีน่าน ตู้ ปณ.14 อ.นาน้อยจ.น่าน 55150 โทร. 0 5470 1106 กรุงเทพฯ โทร. 0 2562 0760
โครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคง (พมพ.) บ้านมณีพฤกษ์
เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางเกษตรมีโครงการทดลองปลูกผลไม้เมืองหนาวสามารถไปแวะชมได้นอกจากนั้นยังมีดอกเสี้ยวขาวซึ่งเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดต้นนางพญาเสือโคร่ง บริเวณโครงการเป็นหมู่บ้านชาวเขาเผ่าม้ง และ เผ่าลั๊วะสิ่งที่น่าสนใจคือโครงการนี้ตั้งอยู่บนเทือกดอยภูคาจึงพบต้นชมพูภูคาอยู่หลายกลุ่มแต่ต้นที่สมบูรณ์และนักท่องเที่ยวเข้าไปชมได้อยู่ห่างจากศูนย์ฯ บริการนักท่องเที่ยว 3-4กิโลเมตร รถเข้าถึงปากทาง จากนั้นต้องเดินเข้าไปอีกประมาณ 30 เมตร
วนอุทยานถ้ำผาตูบ
วนอุทยานถ้ำผาตูบ อยู่ที่ตำบลผาสิงห์ ห่างจากตัวจังหวัด 12กิโลเมตร บนเส้นทางหลวงหมายเลข 1080 น่าน-ปัว-ทุ่งช้าง ตรงหลักกิโลเมตรที่9-10 สามารถเข้าถึงได้ทุกฤดูกาลเส้นทางศึกษาธรรมชาติมีพรรณไม้ที่ควรศึกษาและหาดูได้ยาก เช่น ต้นจันทร์ผา และเอื้องผึ้งซึ่งจะผลิดอกประมาณช่วงปลายฝนทางเดินศึกษาธรรมชาติมีอยู่หลายเส้นทางด้วยกันคือจะเริ่มจากเส้นทางเดินเท้าถึงถ้ำบ่อน้ำทิพย์ เส้นทางจากหน้าที่ทำการฯถึงจุดชมวิว และเส้นทางเดินรอบที่ทำการสถานที่น่าสนใจในวนอุทยานถ้ำผาตูบได้แก่ ถ้ำพระ ถ้ำบ่อน้ำทิพย์ ถ้ำขอน และถ้ำเจดีย์แก้ว
น่าน
วัดพระธาตุเขาน้อย
วัดพระธาตุเขาน้อย องค์พระธาตุตั้งอยู่บนยอดดอยเขาน้อยซึ่งอยู่ด้านตะวันตกของตัวเมืองน่าน อยู่ในเส้นทางเดียวกันกับวัดพญาวัดตรงหลักกิโลเมตรที่ 2ร้างในสมัยเจ้าปู่แข็ง เมื่อปี พ.ศ.2030องค์พระธาตุเป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูนทั้งองค์ เป็นศิลปะพม่าผสมล้านนาภายในบรรจุพระเกศาธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในสมัยพระเจ้าสุริยพงศ์ผริตเดชฯ ระหว่างปี พ.ศ.2449-2454 โดยช่างชาวพม่าและวิหารสร้างในสมัยนี้เช่นกันจากวัดพระธาตุเขาน้อยสามารถมองเห็นทิวทัศน์โดยรอบของตัวเมืองน่านปัจจุบันบริเวณลานชมทิวทัศน์ประดิษฐานพระพุทธมหาอุดมมงคลนันทบุรีศรีน่านซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางประทานพร บนฐานดอกบัวสูง 9 เมตรบนยอดพระเกศาทำจากทองคำหนัก 27 บาทสร้างขึ้นเนื่องในมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ฯ ทรงเจริญพระชนมพรรษา6 รอบ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2542
แหล่งเตาเผาและเครื่องเคลือบบ้านบ่อสวก
บริเวณบ้านบ่อสวกนี้ในอดีตเคยเป็นแหล่งผลิตเครื่องเคลือบภาชนะดินเผาที่สำคัญแห่งหนึ่งของเมืองน่านมีรูปแบบและกรรมวิธีการผลิตเครื่องเคลือบภาชนะดินเผาเป็นลักษณะเฉพาะของตัวเองคาดว่าเครื่องเคลือบภาชนะดินเผาจากบ้านบ่อสวกคงจะเคยได้รับความนิยมอย่างสูงเพราะได้ขุดพบตามแหล่งฝังศพของคนในสมัยก่อนโดยเฉพาะแถบเทือกเขาในเขตอำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ต่อเนื่องไปจนถึงจังหวัดตาก และกำแพงเพชรสันนิษฐานว่าการผลิตเครื่องเคลือบที่บ้านบ่อสวกเริ่มขึ้นและพัฒนาในสมัยเจ้าพระยาพลเทพฤาชัย (พ.ศ.2071-2102)ซึ่งเป็นยุคสมัยแห่งความรุ่งเรืองของเมืองน่านวิทยาการเตาเผาและเครื่องเคลือบเมืองน่านได้รับจากล้านนา เช่นจากกลุ่มสันกำแพง กลุ่มกาหลง ซึ่งเป็นกลุ่มเตาใกล้นครเชียงใหม่
เตาเผาแห่งนี้ได้รับการสำรวจและศึกษาเบื้องต้น โดยกองโบราณคดีกรมศิลปากร มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527เป็นแหล่งโบราณคดีชุมชนอยู่ที่บ้านบ่อสวกพัฒนา หมู่ 10 ตำบลบ่อสวกห่างจากตัวเมือง 17 กิโลเมตร แหล่งที่มีการค้นพบเตาเผาเมื่อเดือนตุลาคมพ.ศ. 2542 ตั้งอยู่ในเขตบ้านพักของ จ.ส.ต.มนัส และคุณสุนัน ติคำบริเวณที่พบเตาอยู่ริมแม่น้ำลักษณะของเตาหันหน้าเข้าหาแม่น้ำเพื่อสะดวกในการขนส่งภายในเป็นโพรงใหญ่เพื่อให้คนเข้าไปข้างในได้เตามีความลาดเอียงและมีปล่องระบายอากาศอยู่ด้านบน เตาโบราณจำนวน 2เตาได้รับการบูรณะ และก่อสร้างอาคารถาวรคลุม ส่วนบริเวณใต้ถุนบ้านจ่ามนัสจัดเป็นนิทรรศการแสดงโบราณวัตถุจากแหล่งเตาเผา
การขุดค้นศึกษาแหล่งเตาเมืองน่านบ้านบ่อสวกถือเป็นการเปิดมิติใหม่ในการทำงานวิจัยทาง "โบราณคดีชุมชน" โดยการร่วมมือระหว่างชาวบ้าน องค์กรเอกชน ส่วนราชการในท้องถิ่นและนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเพื่อให้เกิดความงอกงามทางความรู้และความเข้มแข็งของชุมชนไปพร้อมกันในอนาคตจะมีการจัดตั้งกองทุนโบราณคดีชุมชนบ้านบ่อสวกและนำเงินจากกองทุนเพื่อจัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาชุมชนเช่น การฟื้นฟูอาชีพเครื่องปั้นดินเผา การจัดตั้งพิพิธภัณฑ์หมู่บ้านและการอบรมมัคคุเทศก์ชุมชน
น่าน
ข้อมูลการเดินทางของ "น่าน"
รถยนต์
จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 32 มาจนถึงจังหวัดนครสวรรค์จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 117 มาจนถึงจังหวัดพิษณุโลกและใช้ทางหลวงหมายเลข11 โดยจะผ่านจังหวัดอุตรดิตถ์ และอำเภอเด่นชัย (จังหวัดแพร่)จากเด่นชัยใช้ทางหลวงหมายเลข 101 ผ่านจังหวัดแพร่ไปจนถึงตัวจังหวัดน่านรวมระยะทางประมาณ 668 กิโลเมตร
รถไฟ
จากสถานีรถไฟกรุงเทพฯ (หัวลำโพง) ไปลงที่อำเภอเด่นชัยจังหวัดแพร่ แล้วจึงต่อรถโดยสารประจำทางมาที่จังหวัดน่าน ระยะทาง 142กิโลเมตร รายละเอียดติดต่อหน่วยบริการเดินทาง การรถไฟแห่งประเทศไทย โทร. 02223 7010, 0 2223 7020, 1690 www.railway.co.th
รถโดยสารประจำทาง
สถานีขนส่งสายเหนือ ถนนกำแพงเพชร 2 (หมอชิต 2)มีรถโดยสารประจำทางทั้งรถโดยสารธรรมดาและรถโดยสารปรับอากาศไปจังหวัดน่านทุกวัน ติดต่อ บริษัท ขนส่ง จำกัด โทร.0 2936 2852-66 หรือ www.transport.co.th และมีบริษัทเอกชนหลายแห่งที่บริการเดินรถไปจังหวัดน่าน ติดต่อ แพร่ทัวร์โทร. 0 2245 2369, 0 2245 1697 และ 0 2936 3720 สมบัติทัวร์ โทร. 0 29362495-6 และ 0 5471 0122 เชิดชัยทัวร์ โทร. 0 5471 0362, 0 2936 0199
ความที่เป็นเมืองชายแดนแห่งล้านนาตะวันออกอันอุดมไปด้วยวัฒนธรรมที่หลอมรวมจากเทือกเขาสูงถึงพื้นราบทำให้เสน่ห์ของเมืองน่านยั่งยืนมาจนถึงทุกวันนี้ประกอบกับลักษณะภูมิประเทศที่เป็นท้องทะเลแห่งขุนเขาอีกทั้งสายลมหนาวและสายหมอกที่พัดผ่าน ทุ่งข้าวสีเขียวฉ่ำฝนหรือเหลืองทองพร้อมจะเก็บเกี่ยวยังทำให้ผู้มาเยือนเก็บความประทับใจกลับไปด้วยป้อมปราการธรรมชาติที่บดบังเมืองน่านจากคนต่างถิ่นก็คือ เทือกเขาผีปันน้ำและ หลวงพระบาง โดยมีแม่น้ำที่เป็นเสมือนเส้นเลือดของชาวน่าน คือแม่น้ำน่าน มีต้นกำเนิดจากดอยขุนน้ำน่าน ตำบลขุนน่าน อำเภอบ่อเกลือ
ความเกี่ยวดองกันด้วยศรัทธาในพุทธศาสนา วัฒนธรรมประเพณีภูมิปัญญาท้องถิ่นและความหวงแหนในทรัพยากรธรรมชาติที่มีร่วมกันทำให้ชาวน่านมีเครือข่ายชุมชนที่เข้มแข็งเรียนรู้ที่จะยู่กับความเปลี่ยนแปลงแต่ยังคงตระหนักถึงความเป็นตัวเองอยู่เสมอ อันจะนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน
น่าน
ประวัติศาสตร์เมืองน่าน
หลักฐานสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่พบในบริเวณจังหวัดน่าน เช่นเครื่องมือหินกลองสัมฤทธิ์ที่ใช้ประกอบพิธีศพสำหรับชาวเอเชียตะวันออกเฉียงไต้เป็นเครื่องยืนยันว่าดินแดนนี้มีมนุษย์มาตั้งถิ่นฐานตั้งแต่ก่อนสมัยประวัติศาสตร์ ในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 18 ขุนน่าน และ ขุนฟองได้นำผู้คนอพยพจากตอนบนของแม่น้ำโขงมาตั้งถิ่นฐานยังที่ราบลุ่มตอนบนของแม่น้ำน่าน ใกล้กับเทือกเขาดอยภูคา และในปี พ.ศ. 1902เจ้าพระยาการเมืองย้ายเมืองไปยังเวียงภูเพียงแช่แห้งฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่านซึ่งไม่ได้ใหญ่กว่าหรืออุดมสมบูรณ์กว่าเมืองปัวแต่ใกล้กับเมืองสุโขทัยมากขึ้น
ในปี พ.ศ. 1911เจ้าพระยาผากองบุตรของเจ้าพระยาการเมืองได้ย้ายเมืองมายังฝั่งตะวันตกของแม่น้ำน่าน ซึ่งเป็นเมืองน่านในปัจจุบัน ตามศิลาจารึกหลักที่ 45 และ 46ในปี พ.ศ. 1935 ปู่พระยา (เจ้าพระยาผากอง) และพระราชนัดดา(พระมหาธรรมราชาที่ 2 แห่งสุโขทัย)ได้ให้คำสาบานที่จะช่วยเหลือกันและกันในยามสงครามความสัมพันธ์ระหว่างน่านและสุโขทัยได้ดำเนินมาจนกระทั่งสุโขทัยผนวกเข้ากับอยุธยา ในปี พ.ศ. 1981
เมืองน่านมีความสัมพันธ์ติดต่อค้าขายกับนครรัฐเล็กๆ รอบบ้านเช่น หลวงพระบาง ล้านช้าง และสิบสองปันนารัฐเหล่านี้มีความร่วมมือทางการเมืองอย่างเข้มแข็งทำการค้าขายกันตามเส้นทางแม่น้ำโขงด้วยคาราวานเกวียน
ก่อนหน้าที่น่านจะถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งชองล้านนาทั้งสองดินแดนมีความสัมพันธ์กันผ่านการค้าวัวต่างและเมื่อเชียงใหม่ตกเป็นประเทศราชของพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองแห่งพม่าในระหว่างปี พ.ศ.2096-2101 เจ้าพระยาพลเทพรือชัยเจ้าเมืองน่านได้หลบหนีไปยังเมืองหลวงพระบางและน่านตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่าจนกระทั่งสิ้นกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ.2310
ระหว่างปีพ.ศ. 2101 - 2317น่านพยายามต่อสู้เพื่ออิสรภาพจากพม่าหลายครั้ง ในปี พ.ศ. 2246ถือว่าเป็นช่วงเวลาทุกข์เข็ญ ผู้คนต้องหลบหนีสงครามเข้าป่าบางคนถูกจับเป็นเชลยในพม่า ทั้งเมืองและวัดถูกเผาทำลายลง ในปี พ.ศ. 2331เจ้าอัตถวรปัญโญ เจ้าหลวงเมืองน่าน หันมาสวามิภักดิ์กรุงเทพฯ(ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 1) เมื่อ พ.ศ.2333 น่านเริ่มนโยบาย "เก็บผักใส่ซ้าเก็บข้าใส่เมือง" มีการอพยพ ชาวไทลื้อจำนวนมากกลับสู่เมืองน่าน
ในสมัยรัชกาลที่ 5กรุงเทพฯถูกคุกคามจากลัทธิล่าอาณานิคมของอังกฤษและฝรั่งเศสได้ก่อให้เกิดการปฏิรูปการปกครองหัวเมืองล้านนา เพื่อรวมศูนย์อำนาจที่ส่วนกลาง ตั้งแต่พ.ศ.2435รัฐบาลกลางกรุงเทพฯได้แต่งตั้งข้าหลวงเข้ามาแทนคณะขุนนางผู้ช่วยเจ้าผู้ครองนครในการบริหารกิจการบ้านเมือง หลังจากเหตุการณ์ร.ศ.112 (พ.ศ.2436)ไทยต้องยอมเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงแก่ฝรั่งเศสเมืองน่านจึงเพิ่มความสำคัญมากขึ้นในฐานะเมืองหน้าด่านติดกับเมืองหลวงพระบางในลาว ซึ่งเป็นของฝรั่งเศสความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าเมืองน่านกับกรุงเทพฯดำเนินไปด้วยดี รัชกาลที่ 5โปรดเกล้าฯให้แต่งตั้งเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชเป็นพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชเพื่อตอบแทนคุณงามความดีที่น่านช่วยกรุงเทพฯในสงครามปราบกบฏที่เชียงตุง
นครเมืองน่านกลายเป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยอย่างสมบูรณ์ในสมัยรัชกาลที่7 หลังจากเจ้ามหาพรหมสุรธาดาเจ้าเมืองน่านองค์สุดท้ายถึงแก่กรรมในปีพ.ศ.2474 จึงยกเลิกระบบการปกครองโดยเจ้าผู้ครองนครนับแต่นั้นเป็นต้นมา
สัญลักษณ์ประจำจังหวัด
ตราประจำจังหวัด : รูปพระธาตุแช่แห้งอยู่บนหลังโคอุศุภราช
ดอกไม้ประจำจังหวัด : ดอกเสี้ยวดอกขาว (ชื่อวิทยาศาสตร์: Bauhinia variegata)
ต้นไม้ประจำจังหวัด : เสี้ยวดอกขาว (ชื่อวิทยาศาสตร์: Bauhinia variegata)
คำขวัญประจำจังหวัด : แข่งเรือลือเลื่อง เมืองงาช้างดำ จิตรกรรมวัดภูมินทร์ แดนดินส้มสีทอง เรืองรองพระธาตุแช่แห้ง
น่าน
นอกจากนี้ "น่าน" ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมาย ได้แก่...
สถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริ ภูพยัคฆ์
ภูพยัคฆ์ เดิมชื่อ ภูผายักษ์ บนยอดภูเป็นหินผาสวยงามมีสภาพเป็นป่าดิบและเป็นดงเสือ จึงได้ชื่อว่า ภูพยัคฆ์อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,500 เมตรเคยเป็นที่ปลูกฝิ่นของราษฎรชาวไทยภูเขา ก่อนปี 2523 เคยเป็นสมรภูมิรบระหว่างทหารไทยกับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ปัจจุบัน ภูพยัคฆ์ได้เปลี่ยนจากสมรภูมิรบ แหล่งวางกับดักระเบิดเป็นสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริพัฒนาให้ราษฎรชายไทยภูเขามีจิตสำนึกและมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูพัฒนาอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เป็นแหล่งต้นน้ำลำธารที่มีคุณภาพเป็นป่าที่สมบูรณ์ พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์สร้างงานสร้างรายได้ให้ราษฎรในพื้นที่เป็นสถานีตัวอย่างในการขยายผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะพืชเมืองหนาว
การเดินทาง มี 2 เส้นทางคือ เส้นทางแรกจากจังหวัดน่านไปทางอำเภอเฉลิมพระเกียรติ ถึงภูพยัคฆ์ ระยะทางประมาณ 180กิโลเมตร เส้นทางที่สอง จากจังหวัดน่าน ไปทางอำเภอบ่อเกลือถึงภูพยัคฆ์ระยะทางประมาณ 230 กิโลเมตร ภูพยัคฆ์ มีบ้านพักรับรองพร้อมอุปกรณ์เครื่องนอน สำหรับนักท่องเที่ยว จำนวน 2 หลังสามารถรับนักท่องเที่ยวได้ 24 คน และมีสถานที่กางเต็นท์ และเต็นท์นอน 2 คนบริการนักท่องเที่ยว จำนวน 20 หลังมีอาหารบริการแต่จะต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูง ตามพระราชดำริ ภูพยัคฆ์ โทร. 0 5473 0330, 05473 0331 และสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูง ตามพระราชดำริ ภูพยัคฆ์ โทร. 085868 8548 (คุณวิทยา ไพศาลศักดิ์) 0 5474 1639, 05471 0054, 08 3073 0557
ล่องแก่งลำน้ำว้า
ล่องแก่งลำน้ำว้า ที่บ้านน้ำปุ๊ ตำบลน้ำพางห่างจากตัวเมืองน่านประมาณ 59 กิโลเมตร น้ำว้าเป็นลำน้ำขนาดใหญ่น้ำใสไหลตลอดปีมีทัศนียภาพสวยงาม สองฝั่งเขียวชอุ่มไปด้วยป่าไม้ โขดหินเกาะแก่งที่สวยงามและแก่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือแก่งหลวงมีหาดทรายขาวเหมาะสำหรับตั้งแคมป์มีบริการนั่งช้างชมธรรมชาติ
เส้นทางล่องแก่งลำน้ำว้าเดิมเป็นเส้นทางล่องไม้สักที่ถูกลักลอบตัดจากผืนป่าในเขตอำเภอแม่จริมและอำเภอเวียงสาตลอดลำน้ำว้าไหลผ่านหุบเขา สองฝั่งเป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อนผ่านแก่งต่าง ๆกว่า 22 แก่ง ซึ่งมีระดับความยากง่ายอยู่ที่ระดับ 3-5 (ระดับ 3เป็นระดับปานกลาง ระดับ 4 เป็นระดับยาก ระดับ 5 เป็นระดับยากมาก)แก่งที่ใหญ่ที่สุดและยากที่สุด คือ แก่งหลวงบางจุดของลำน้ำเป็นหาดทรายที่สามารถจอดแพเพื่อให้ลงเล่นน้ำบางแห่งเป็นจุดปางช้างสำหรับขึ้นช้างต่อไปที่บ้านหาดไร่ช่วงเวลาที่ปริมาณน้ำขึ้นสูงสุดคือ เดือนสิงหาคมและช่วงที่ปริมาณน้ำน้อยที่สุดคือ เดือนเมษายนช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการล่องแก่งน้ำว้าคือระหว่างเดือนพฤศจิกายน-มกราคม
เส้นทางล่องน้ำว้ามี 2 เส้นทาง คือ ...
เส้นทางล่องเรือยาง เริ่มจากบ้านน้ำปุ๊ ตำบลน้ำพาง อำเภอแม่จริมสิ้นสุดที่บ้านหาดไร่ ตำบลส้านนาหนอง อำเภอเวียงสา รวมระยะทาง 19.2กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง หากเริ่มลงแพที่หน้าที่ทำการอุทยานฯจะเหลือระยะทาง 15 กิโลเมตร
เส้นทางล่องแพไม้ไผ่ เริ่มจากบ้านน้ำว้าขึ้นที่บ้านน้ำปุ๊ระยะทาง 4 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง
ต้นดิกเดียม
ต้นดิกเดียม วัดปรางค์
ต้นดิกเดียม ต้นไม้อะไรใครรู้ดูประหลาดผิดธรรมชาติพันธุ์พฤกษาน่าฉงน แค่เห็นเป็นต้นไม้หันหลังให้แดดหันหน้าเข้าวัดก็แปลกเหลือหลายอยู่แล้วแต่ใครจะเชื่อว่าต้นไม้ประหลาดต้นนี้เป็นต้นอารมณ์ขันใบไม้จะไหวสั่นทุกครั้ง ที่ถูกคนสัมผัส โดยสามารถไปชมได้ทุกวันแต่ไม่ควรไปลูบคลำ เนื่องจากในประเทศไทยมีอยู่ต้นเดียวเจ้าอาวาสที่วัดท่านจะลูบให้ดู
การเดินทาง จากจังหวัดน่านเดินทางด้วยทางหลวงหมายเลข 1080 และ1256 สู่อำเภอปัว ก่อนถึงตัวอำเภอเล็กน้อยมีทางแยกซ้ายเข้าสู่วัดปรางซึ่งเป็นที่ตั้งของต้นดิกเดียม สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานททท. ภาคเหนือ เขต 2 โทร. 0-5371-7433, 0-5374-4674-5
น่าน
น่าน
อุทยานแห่งชาติดอยภูคา
อุทยานแห่งชาติดอยภูคา ได้รับการกล่าวขานว่าเป็น ป่าต้นน้ำป่าดึกดำบรรพ์ปลายทางหิมาลัย ขุนเขาใต้ทะเล อุทยานแห่งชาติดอยภูคามีพื้นที่ประมาณ 1,680 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่หลายอำเภอ ได้แก่ท่าวังผา ปัว เชียงกลาง ทุ่งช้าง บ่อเกลือ สันติสุข และแม่จริมเทือกเขาดอยภูคาประกอบด้วยแนวภูเขาสูงสลับซับซ้อนซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของปลายเทือกเขาหิมาลัยโดยมียอดภูคาเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของจังหวัดน่าน สูงถึง 1,980 เมตร
ดอยภูคา เป็นต้นแม่น้ำสำคัญหลายสาย เช่น แม่น้ำน่าน ลำน้ำปัวบริเวณนี้เดิมเคยเป็นทะเลมาก่อนก่อนจะเกิดการเคลื่อนตัวของแผ่นดินสองผืนใต้ทะเลเข้าหากันทำให้แผ่นดินโก่งตัวขึ้น น้ำทะเลใต้ดินระเหยไปเหลือเพียงสินแร่เกลือดังที่พบในเขตอำเภอบ่อเกลือ และการค้นพบสุสานหอยทะเลอายุประมาณ 200 ล้านปีบนดอยภูแวที่บ้านค้างฮ่อ ตำบลสะกาด อำเภอปัว มีลักษณะเป็นหอยแครงสองฝามีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า พาลีโอคาร์ดิต้า สปีชี่ (Paleocardita Species)อายุ 195-205 ล้านปี จัดว่าอยู่ในยุคไทรแอสซิก (Triassic) ตอนปลาย
สถานที่น่าสนใจในอุทยานฯ ได้แก่ ถ้ำผาแดง, ถ้ำผาผึ้งเป็นถ้ำที่มีความสวยงามและยาวมากที่สุดในอุทยานแห่งชาติดอยภูคา(บ้านมณีพฤกษ์) อ.ทุ่งช้าง ภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อยที่สวยงามและยังมีน้ำตกและลำธารขนาดใหญ่ภายในถ้ำอีกด้วย, ถ้ำผาฆ้องเป็นถ้ำขนาดกลางบริเวณปากถ้ำจะมีขนาดเล็ก ภายในถ้ำจะมีหินงอกหินย้อยและลำธารไหลผ่าน แต่ช่วงฤดูฝนไม่สามารถเข้าชมได้เนื่องจากอาจมีน้ำท่วมในถ้ำ อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 7 กิโลเมตรและต้องเดินเท้าเข้าไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร
น่าน
น้ำตกต้นตอง เป็นน้ำตกหินปูนมี 3 ชั้นอยู่ในอุทยานแห่งชาติดอยภูคา บนโตรกผามีพืชชุ่มน้ำ, น้ำตกศิลาเพชรน้ำตกลงมาจากหน้าผาหลายชั้นลดหลั่นกันไป เหมาะกับการเล่นน้ำ, น้ำตกภูฟ้า,น้ำตกตาดหลวง เป็นแหล่งอนุรักษ์พันธุ์ปลาพลวง, ล่องแก่งน้ำว้าตอนกลางในอุทยานแห่งชาติดอยภูคา เป็นเส้นทางล่องแก่งระดับ 3-5 ประมาณ 20 กว่าแก่งเป็นสุดยอดแห่งความตื่นเต้นสนุกสนาน, ยอดดอยภูแวเป็นยอดดอยที่มีวามสูงจากระดับน้ำทะเล 1,837 เมตรมีลักษณะโดดเด่นเป็นทุ่งหญ้าบนดอยอีกทั้งยังมีลานหินและหน้าผาสูงชันอีกด้วย, สุสานหอย อายุประมาณ 218ล้านปี และเส้นทางศึกษาธรรมชาติชมพูภูคาซึ่งนับเป็นบ้านแห่งสุดท้ายของต้นชมพูภูคาพันธุ์ไม้หิมาลัยและเป็นไม้หายากใกล้สูญพันธุ์ชนิดหนึ่งในโลกจุดชมต้นชมพูภูคาที่เข้าถึงง่ายที่สุดจะอยู่ริมถนนห่างจากที่ทำการไป 5กิโลเมตร
ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการท่องเที่ยว คือ ช่วงฤดูหนาวตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ อุณหภูมิ 15-27 องสาเซลเซียสและฤดูร้อนระหว่างเดือนมีนาคมถึงเมษายนซึ่งมีอากาศเย็นสบายสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่อุทยานแห่งชาติดอยภูคา โทร. 0 1224 0789,0 5470 1000 ตู้ปณ. 8 ตำบลภูคา อำเภอปัว จังหวัดน่าน 55120
การเดินทาง จากจังหวัดน่าน โดยทางรถยนต์ไปตามทางหลวงหมายเลข1080 ถึงอำเภอปัว ระยะทาง 60 กิโลเมตรแยกไปตามทางหลวงหมายเลข 1256(ปัว-บ่อเกลือ) ถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยภูคา ระยะทาง 25 กิโลเมตรผู้ที่เดินทางโดยรถโดยสารประจำทางสามารถใช้บริการรถสองแถวสีน้ำเงินสายปัว-บ่อเกลือ ซึ่งผ่านหน้าอุทยานฯวิ่งบริการระหว่างเวลา 07.30-14.00 น. ท่ารถอยู่บริเวณสามแยกปัว-บ่อเกลือ
วัดพระธาตุเบ็งสกัด
วัดพระธาตุเบ็งสกัด ไปตามเส้นทาง 1256 ทางเข้าตรงข้ามโรงเรียนวรนคร เข้าไปประมาณ 200 เมตร และแยกซ้ายอีก 200 เมตรตั้งอยู่บริเวณที่สันนิษฐานว่าพระยาภูคาได้สร้างเมืองปัวโบราณหรือเมืองวรนครเพื่อให้เจ้าขุนฟอง พระราชบุตรธรรมมาปกครองซึ่งปัจจุบันเป็นที่ว่าการอำเภอปัว
องค์พระธาตุและพระวิหารสร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 1826ภายในองค์พระเจดีย์ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุซึ่งถือเป็นศูนย์รวมศรัทธาของชุมชน วัดตั้งอยู่บนเนินสูงมองเห็นหมู่บ้านอยู่เบื้องล่างโดยรอบเป็นป่าละเมาะ ด้านหลังเป็นเนินเขานับเป็นการเลือกสรรชัยภูมิที่ส่งให้วัดดูโดดเด่นเป็นสง่า และจากบนเนินเขาหากมาช่วงฤดูฝนจะมองเห็นนาข้าวเขียวขจีอยู่ที่หมู่บ้านเบื้องล่าง
ลักษณะทางสถาปัตยกรรมของวิหารเป็นทรงตะคุ่มแบบพื้นบ้านไทลื้อหรือที่เรียกว่า “ทรงเตี้ยแจ้” พื้นเมืองมีซุ้มประตูเป็นศิลปะล้านช้างบูรณะในสมัยพระยาอนันตยศและโปรดให้นำพระแก้วซึ่งมีเกศาเป็นทองคำบรรจุในองค์พระธาตุองค์พระประธานเป็นศิลปะแบบพื้นบ้านบนฐานชุกชีและด้านหลังองค์พระประธานติดกระจกเงาตามความเชื่อของชาวไทลื้อบานประตูไม้จำหลักเป็นศิลปะพื้นเมืองน่าน
วัดต้นแหลง
ตั้งอยู่ในตัวเมืองปัว จากอำเภอเมืองไปตามทางหลวงหมายเลข 1080เมื่อเริ่มเข้าเขตตัวเมืองปัวให้สังเกตธนาคารกสิกรไทย สาขาอำเภอปัวแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าซอยก่อนถึงธนาคารขับตรงเข้าไปจนถึงวงเวียนให้เลี้ยวขวาอีกประมาณ 2 กิโลเมตรสันนิษฐานว่าสร้างประมาณปี พ.ศ. 2127 วิหารทรงตะคุ่มหลังคาลาดต่ำ ซ้อนกัน3 ชั้น ลักษณะเดียวกับบ้านเรือนแบบเดิมของชาวไทลื้อแถบสิบสองปันนาผนังเจาะช่องหน้าต่างเล็ก ๆ เพื่อป้องกันอากาศหนาวเย็นประตูทางเข้าตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเพื่อให้แสงแรกของวันสาดส่องมาต้ององค์พระประธานและเพื่อให้พุทธศาสนิกชนที่เข้ามาในวิหารมุ่งความสนใจไปที่องค์พระประธานทั้งยังก่อให้เกิดบรรยากาศสลัวสงบนิ่ง เหมาะกับการน้อมจิตสู่สมาธิ
น่าน
น่าน
บ่อเกลือสินเธาว์
พื้นที่บนยอดเขาสูงเสียดเมฆอย่างอำเภอบ่อเกลือไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นแหล่งเกลือที่มีความสำคัญมาแต่โบราณเมืองน่านเป็นแหล่งเกลือขนาดใหญ่ ส่งเป็นสินค้าออกในภาคเหนือ โดยบ่อเกลือสินเธาว์ อยู่ห่างจากตัวเมืองน่าน 80 กิโลเมตรชาวอำเภอบ่อเกลือนอกจากจะมีอาชีพทำนาทำไร่แล้วยังมีอาชีพทำเกลือสินเธาว์อีกด้วย โดยมีแหล่งเกลือสินเธาว์อยู่บนภูเขา(บ่อเกลือจะปิดช่วงเข้าพรรษาเพราะเป็นช่วงฤดูฝน)
บ่อเกลือสำคัญในน่านมี 2 แห่ง คือบริเวณต้นน้ำว้าซึ่งมีบ่อเกลือใหญ่ 2 บ่อ อีกแห่งคือบริเวณต้นน้ำน่าน มีบ่อใหญ่ 5บ่อและมีบ่อเล็กบ่อน้อยอีกจำนวนมากปัจจุบันชาวบ้านยังคงต้มแกลือด้วยวิธีแบบดั้งเดิมจะตักน้ำเกลือจากบ่อส่งผ่านมาตามลำไม้ไผ่สู่บ่อพักก่อนจะนำน้ำเกลือมาต้มในกะทะใบบัวขนาดใหญ่เคี่ยวจนน้ำงวดแห้งใส่ถุงวางขายกันหน้าบ้านเกลือเมืองน่านไม่มีไอโอดีนเหมือนเกลือทะเลจึงต้องมีการเติมสารไอโอดีนก่อนถึงมือผู้บริโภค
บ่อเกลือสินเธาว์ อยู่ห่างจากตัวเมืองน่าน 80 กิโลเมตรชาวอำเภอบ่อเกลือนอกจากจะมีอาชีพทำนาทำไร่แล้วยังมีอาชีพทำเกลือสินเธาว์อีกด้วย โดยมีแหล่งเกลือสินเธาว์อยู่บนภูเขา(บ่อเกลือจะปิดช่วงเข้าพรรษาเพราะเป็นช่วงฤดูฝน)
อุทยานแห่งชาติขุนน่าน
อุทยานแห่งชาติขุนน่าน หมายถึง ขุนเขา ลำน้ำอันเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำน่าน อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติดอยภูคาและป่าผาแดง บริเวณท้องที่ต.ดงพญา ต.บ่อเกลือใต้ และต.ภูฟ้า อ.บ่อเกลือจ.น่าน มีเนื้อที่ประมาณ 248.6 ตร.กม. หรือประมาณ 155,375 ไร่มีสภาพป่าอันอุดมสมบูรณ์ มีน้ำตกหลายแห่ง และมีจุดเด่นที่สวยงามที่สำคัญพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็ฯแหล่งต้นกำเนิดของแม่น้ำน่านมียอดดอยผีปันน้ำในเทือกเขาผีปันน้ำ ในต.ดงพญา เป็นดอยที่สูงที่สุดมีอาณาเขตด้านทิศตะวันออกติดต่อสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวสภาพภูมิอากาศโดยเฉลี่ยวอยู่ที่ 1-7 ํc ในฤดูหนาวส่วนฤดูร้อนมีอุณหภูมิระหว่าง 22-28 ํc และฤดูฝนมีอุณหภูมิเฉลี่ยว 20-25 ํc
จุดเด่นและแหล่งท่องเที่ยว ได้แก่ น้ำตกสะปัน, น้ำตกห้วยตี๋,น้ำตกบ้านเด่น, น้ำตกห้วยห้า มีน้ำไหลตลอดทั้งปีเป็นน้ำตกที่มีความงามตามธรรมชาติอย่างยิ่ง
การเดินทาง รถยนต์ส่วนตัวจากตัวเมืองน่าน ใช้เสันทางหลวงหมายเลข1080 (น่าน-ทุ่งช้าง) ประมาณ 59 กิโลเมตร ถึงอ.ปัวแยกขวาไปตามทางหลวงหมายเลข 1256 (ปัว-ดอยภูคา-บ่อเกลือ) ประมาณ 46กิโลเมตร ถึงทางแยกที่ อ.บ่อเกลือ เลี้ยวซ้ายไปตามเส้นทาง(บ่อเกลือ-เฉลิมพระเกียรติ) เป็นระยะทาง ประมาณ 6 กิโลเมตรมีทางแยกขวามือเป็นทางลูกรังเข้าที่ทำการชั่วคราว อุทยานแห่งชาติขุนน่านระยะทางประมาณ 500 เมตร ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาทีรถประจำทาง จาก อ.เมืองน่าน นั่งรถสายน่าน-ปัว แล้วต่อรถสายปัว-บ่อเกลือลงที่อ.บ่อเกลือ แล้วต่อรถสายบ่อเกลือ-เฉลิมพระเกียรติรถผ่านหน้าอุทยานแล้วเดินเท้าเข้าไปอีก 500 เมตร
สอบถามรายละเอียดได้ที่ อุทยานแห่งชาติขุนน่าน หมู่ 5 ต.ผาสิงห์อ.เมือง จ.น่าน 55000 โทร. 0 1960 5507 หมายเหตุอุทยานแห่งชาติขุนน่านปิดการท่องเที่ยวและพักแรมในเขตอุทยานแห่งชาติระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม -30กันยายน ของทุกปี
น่าน
เสาดินนาน้อย(ฮ่อมจ๊อม) และคอกเสือ
เสาดินนาน้อย(ฮ่อมจ๊อม) และคอกเสือ อยู่ที่ตำบลเชียงของห่างจากตัวเมืองน่าน 60 กิโลเมตรจากอำเภอนาน้อยมีทางแยกไปตามเส้นทางหมายเลข 1083 ประมาณ 6 กิโลเมตรเป็นเสาดินที่มีลักษณะแปลกตาคล้าย "แพะเมืองผี" ที่จังหวัดแพร่จากหลักฐานทางธรณีวิทยาพบว่าเสาดินนาน้อยเกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกในยุคเทอร์เชียรีตอนปลาย(late tertian) ประกอบกับการกัดเซาะของน้ำและลมตามธรรมชาตินักธรณีวิทยาสันนิษฐานว่ามีอายุประมาณ 30,000-10,000 ปีมาแล้วเคยเป็นก้นทะเลมาก่อน และจากหลักฐานการค้นพบกำไลหินและขวานโบราณที่นี่(ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน)แสดงให้เห็นว่าบริเวณนี้อาจเคยเป็นแหล่งอาศัยของมนุษย์ยุคหินเก่า
น่าน
น่าน
น่าน
วัดหนองบัว
วัดหนองบัว ตั้งอยู่ในหมู่บ้านหนองบัว ตำบลป่าคา ไปตามเส้นทาง1080 เลี้ยวซ้ายที่ กม.40 ข้ามสะพานแล้วเข้าไปอีก 3 กิโลเมตรวัดหนองบัวเป็นวัดเก่าแก่ของหมู่บ้านจากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านทำให้สันนิษฐานได้ว่าวัดไทลื้อแห่งนี้สร้างราว พ.ศ.2405 (ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 4)
ภาพจิตรกรรมฝาผนังในโบสถ์เล่าเรื่องหนึ่งในปัญญาสชาดกซึ่งเป็นพระชาติหนึ่งของพระพุทธเจ้า สันนิษฐานว่าเขียนโดย "ทิดบัวผัน"ช่างเขียนลาวพวนที่บิดาของครูบาหลวงสุ ชื่อนายเทพซึ่งเป็นทหารของเจ้าอนันตยศ (เจ้าเมืองน่านระหว่างปี พ.ศ. 2395-2434)ได้นำมาจากเมืองพวน ในแคว้นหลวงพระบางนอกจากนั้นยังมีนายเทพและพระแสนพิจิตรเป็นผู้ช่วยเขียนจนเสร็จและยังมีภาพของเรือกลไฟและดาบปลายปืนซึ่งเริ่มเข้ามาในประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่ 4 ถึงรัชกาลที่ 5ภาพจิตรกรรมที่วัดหนองบัวแห่งนี้ได้สะท้อนให้เห็นสภาพความเป็นอยู่ของผู้คนในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะการแต่งกายของผู้หญิงที่นุ่งผ้าซิ่นลายน้ำไหลหรือผ้าซิ่นตีนจกที่สวยงามนับว่ามีคุณค่าทางศิลปะและความสมบูรณ์ของภาพใกล้เคียงกับภาพจิตรกรรมฝาผนังของวัดภูมินทร์ในเมืองน่านนอกจากภาพจิตรกรรมแล้วที่ฐานพระประธานยังประดิษฐานพระพุทธรูปล้านนาองค์เล็กอยู่หลายองค์ และยังมีบุษบกสมัยล้านนาอยู่ด้วย
น่าน
วัดพระธาตุแช่แห้ง
วัดพระธาตุแช่แห้งเป็นปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่บนเนินทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่านบริเวณที่เป็นศูนย์กลางเมืองน่านเดิม หลังจากที่ย้ายมาจากเมืองปัววัดพระบรมธาตุแช่แห้ง สร้างในสมัยเจ้าพระยาการเมือง(เจ้าผู้ครองนครน่านระหว่าง พ.ศ.1869-1902)เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระมหาชินธาตุเจ้า 7 พระองค์พระพิมพ์เงินและพระพิมพ์ทอง ที่ได้รับพระราชทานจากพระมหาธรรมราชาลิไทเมื่อครั้งที่เจ้าพระยาการเมืองเสด็จไปช่วยสร้างวัดหลวงอภัย (วัดป่ามะม่วงจังหวัดสุโขทัยในปัจจุบัน) ในปีพ.ศ. 1897
องค์พระธาตุเป็นเจดีย์ทรงระฆังรูปแบบของพระธาตุแช่แห้งสันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลจากเจดีย์พระธาตุหริภุญไชย โดยรอบองค์บุด้วยทองจังโก (ทองดอกบวบ ทองเหลืองผสมทองแดง)ทางขึ้นสู่องค์พระธาตุเป็นตัวพญานาคหน้าบันเหนือประตูทางเข้าพระวิหารเป็นปูนปั้นลายนาคเกี้ยวซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของศิลปกรรมเมืองน่าน
พระธาตุแช่แห้งเป็นพระธาตุประจำปีเถาะ ชาวล้านนาเชื่อว่าหากได้เดินทางไป "ชุธาตุ"หรือนมัสการพระธาตุประจำปีเกิดจะได้รับอานิสงส์อย่างยิ่งนักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมวัดพระธาตุแช่แห้งได้ทุกวัน ระหว่างเวลา06.00-18.00 น.
การเดินทาง : วัดพระบรมธาตุแช่แห้ง ตั้งอยู่ที่ตำบลม่วงตึ๊ดจากตัวเมืองข้ามสะพานแม่น้ำน่าน ไปตามเส้นทางสายน่าน-แม่จริมหรือทางหลวงหมายเลข 1168 ประมาณ 3 กิโลเมตร
น่าน
วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร
วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ถนนสุริยพงษ์ตรงข้ามสำนักงานเทศบาลเมืองน่าน เดิมเรียก "วัดหลวง" หรือ"วัดหลวงกลางเวียง" สร้างขึ้นในสมัยเจ้าปู่แข็ง พ.ศ. 1949เป็นวัดหลวงในเขตนครน่านสำหรับเจ้าผู้ครองนครใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีสำคัญทางพุทธศาสนาและพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ตามศิลาจารึกหลักที่ 74 ซึ่งถูกค้นพบภายในวัดกล่าวว่าพญาพลเทพฤาชัย เจ้าเมืองน่านได้ปฏิสังขรณ์บูรณะวิหารหลวงเมื่อ พ.ศ. 2091
ลักษณะสถาปัตยกรรมของวัดพระธาตุช้างค้ำนี้สะท้อนให้เห็นอิทธิพลของศิลปะสุโขทัย อาทิ เจดีย์ทรงลังกา (ทรงระฆัง)รอบฐานองค์พระเจดีย์ก่ออิฐถือปูนและปั้นเป็นรูปช้างครึ่งตัว ด้านละ 5เชือก และที่มุมทั้งสี่อีก 4 เชือก ดูคล้ายจะเอาหลังหนุน หรือ "ค้ำ"องค์เจดีย์ไว้ ลักษณะคล้ายวัดช้างล้อม จังหวัดสุโขทัยและภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปสำริดยืนปางประทานอภัยอายุราวครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ 19 ตรงกับสมัยสุโขทัยตอนปลายมีลักษณะคล้ายพระพุทธรูปปางประทานอภัยที่วัดราชธานี จังหวัดสุโขทัยพระประธานเป็นปูนปั้นขนาดใหญ่ศิลปะเชียงแสนฝีมือสกุลช่างน่านที่มีพุทธลักษณะงดงามยิ่งของเมืองน่าน
น่าน
น่าน
วัดภูมินทร์
เป็นวัดหลวงตั้งอยู่ในเขตพระนครดังปรากฏชื่อตำบลในเวียงในปัจจุบันอยู่ใกล้กับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดน่าน ตามพงศาวดารของเมืองน่านพระเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ เจ้าผู้ครองนครน่านได้สร้างวัดภูมินทร์ขึ้นหลังจากที่ครองนครน่านได้ 6 ปี เมื่อ พ.ศ.2139มีปรากฏในคัมภีร์เมืองเหนือว่าเดิมชื่อ "วัดพรหมมินทร์"แต่ตอนหลังชื่อวัดได้เพี้ยนไปจากเดิมเป็น "วัดภูมินทร์"
จุดเด่นของวัดนี้คือเป็นวัดที่สร้างทรงจตุรมุขหนึ่งเดียวในประเทศไทยที่ดูคล้ายตั้งอยู่บนหลังพญานาค 2 ตัว อาคารนี้เป็นทั้งพระอุโบสถ พระวิหารและพระเจดีย์ประธาน โดยใช้อาคารในแนวตะวันออก-ตะวันตกเป็นพระวิหารและอาคารแนวเหนือ-ใต้ เป็นพระอุโบสถรัฐบาลไทยเคยพิมพ์รูปวัดภูมินทร์ในธนบัตรใบละ 1 บาทในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และเมืองโบราณ จังหวัดสมุทรปราการได้จำลองพระวิหารหลังนี้ไว้ด้วย
สามร้อยปีต่อมา วัดภูมินทร์ได้รับการบูรณะครั้งใหญ่สมัยเจ้าอนันตวรฤทธิเดช เมื่อ พ.ศ.2410(ปลายสมัยรัชกาลที่ 4) ใช้เวลาซ่อมนานถึง 7 ปีจิตรกรรมฝาผนังในวิหารหลวงก็เขียนขึ้นในช่วงนี้ ภาพจิตรกรรมหรือ "ฮูบแต้ม"ในวัดภูมินทร์เป็นชาดกในพุทธศาสนาแต่ถ้าพิจารณารายละเอียดของวิถีชีวิตของคนเมืองในสมัยนั้นมีภาพที่น่าสนใจอยู่หลายภาพ เช่น ภาพธรรมเนียมการอยู่ข่วง ของชาวไทลื้อพ่อแม่จะอนุญาตให้หนุ่มสาวพบปะกันที่ชานบ้านในเวลาค่ำขณะหญิงสาวกำลังปั่นฝ้าย หรือ "อยู่ข่วง"หากสาวเจ้าตกลงปลงใจด้วยก็จะจัดพิธีแต่งงาน หรือที่เรียกว่า "เอาคำไปป่องกั๋น" หรือเป็นทองแผ่นเดียวกัน การค้าขายแลกเปลี่ยนในชุมชนภาพชาวพื้นเมือง ซึ่งอาจเป็นชาวเขา "เป๊อะ" ของป่าบนศรีษะเพื่อนำมาแลกเปลี่ยนกับคนเมือง ภาพปู่ม่าน ย่าม่านภาพนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นภาพที่งามเป็นเยี่ยมของวัดภูมินทร์มีการใช้สีแดง ฟ้าดำ น้ำตาลเข้มเป็นปื้นใหญ่ ๆ คล้ายภาพสมัยใหม่
ชีวิตความเป็นอยู่ของคนเมืองน่านหญิงสาวกำลังทอผ้าด้วยกี่พื้นเมือง นอกชานมีเรือนเล็ก ๆตั้งหม้อน้ำดินเผาที่เรียกว่า "ร้านน้ำ"ส่วนชายหนุ่มไว้ผมทรงหลักแจวหรือทรงมหาดไทยแสดงให้เห็นอิทธิพลตะวันตกที่เข้ามาผสมผสานในวิถีพื้นเมืองน่านภาพชาวต่างประเทศ ที่เข้ามาเมืองน่านช่วงรัชกาลที่ 5 ทรงผมและเครื่องแต่งกายของผู้หญิงเป็นรูปแบบเดียวกับที่กำลังเป็นที่นิยมในยุโรปขณะนั้น
วัดพญาวัด
ตั้งอยู่ที่บ้านพญาวัด ตำบลดู่ใต้ ตามเส้นทางหลวงหมายเลข 101ก่อนข้ามสะพานเข้าเมืองน่าน มีทางแยกซ้ายมือเข้าทางหลวงหมายเลข 1025เข้าไปประมาณ 300เมตรแต่เดิมบริเวณที่ตั้งวัดเป็นเขตศูนย์กลางเมืองน่านในสมัยที่ย้ายเมืองจากพระบรมธาตุแช่แห้งมาตั้งอยู่ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำน่านสถูปเจดีย์สร้างด้วยศิลาแลงในสมัยพระนางจามเทวี มีลักษณะคล้ายเจดีย์กู่กุดจังหวัดลำพูน เป็นทรงซุ้มสี่เหลี่ยมซ้อนกัน 5 ชั้นแต่ละชั้นประดิษฐานพระพุทธรูปยืนซึ่งได้รับอิทธิพลจากศิลปะสุโขทัยดังพบที่สถูปเจดีย์วัดมหาธาตุจังหวัดสุโขทัยยอดซุ้มก่ออิฐวงโค้งเป็นรูปแบบการก่อสร้างสมัยพระเจ้าติโลกราชแห่งนครเชียงใหม่ แสดงให้เห็นว่ามีการบูรณะในสมัยนั้นซึ่งเป็นสมัยที่อิทธิพลของศิลปะเชียงใหม่ได้เข้ามาแทนที่ศิลปะสุโขทัยแล้วในพระอุโบสถประดิษฐาน "พระเจ้าฝนแสนห่า"ซึ่งชาวเมืองน่านเคยนำมาแห่ขอฝนให้ตกต้องตามฤดูกาล นอกจากนั้นยังมีธรรมาสน์แกะสลัก ฝีมือช่างพื้นเมืองน่านที่เก่าที่สุดเท่าที่เคยพบสันนิษฐานว่าสร้างในสมัยเจ้าอัตถวรปัญโญ ราวครึ่งแรกของพุทธศตวรรษที่ 24
วัดสวนตาล
ตั้งอยู่ที่ถนนมหายศ สร้างขึ้นโดยพระนางปทุมมาวดี เมื่อพ.ศ.1770 เจดีย์มีสัณฐานงดงาม ชั้นล่างมีซุ้มประตูทั้งสี่ทิศจากภาพถ่ายในหอจดหมายเหตุแห่งชาติรูปเจดีย์วัดสวนตาลก่อนการบูรณะในสมัยพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ(ตรงกับรัชกาลที่ 5)เป็นเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมองค์พระเจดีย์เป็นทรงดอกบัวตูมหรือทรงพุ่มข้าวบิณฑ์สะท้อนให้เห็นอิทธิพลศิลปะสมัยสุโขทัยภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปที่สำคัญคือ พระเจ้าทองทิพย์ ซึ่งพระเจ้าติโลกราชแห่งนครเชียงใหม่ โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นในปี พ.ศ.1992 เป็นพระพุทธรูปทองสำริดองค์ใหญ่ปางมารวิชัยหน้าตักกว้าง 10 ฟุต สูง 14 ฟุต 4 นิ้วมีงานนมัสการและสรงน้ำเป็นประจำทุกปีในช่วงเทศกาลสงกรานต์และมีการเฉลิมฉลองทั้งกลางวันและกลางคืน
อนุสาวรีย์วีรกรรม พลเรือน ตำรวจ ทหาร และพิพิธภัณฑ์ทหารทุ่งช้าง
อนุสาวรีย์วีรกรรม พลเรือน ตำรวจ ทหารและพิพิธภัณฑ์ทหารทุ่งช้าง สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงวีรชนผู้พลีชีพเพื่อปกป้องแผ่นดินไทยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถฯ เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีเปิดและวางพวงมาลาเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2519 จึงถือเอาวันที่ 10 กุมภาพันธ์ของทุกปีเป็นวันวางพวงมาลา และบำเพ็ญกุศลแก่วีรชน สืบเนื่องมาถึงปัจจุบันตั้งอยู่ริมทางหลวงหมายเลข 1080 สายน่าน-ทุ่งช้าง หลักกิโลเมตรที่ 84 และพิพิธภัณฑ์ทหารทุ่งช้าง จัดแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ของทหารให้ศึกษาหาความรู้
หมู่บ้านไทยลื้อหนองบัว
หมู่บ้านไทยลื้อหนองบัวอยู่ที่บ้านหนองบัว ตำบลป่าคาจากตัวเมืองน่านใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 1080 ระยะทาง 41 กิโลเมตรก่อนถึงอำเภอท่าวังผามีทางแยกซ้ายไปอีก 3 กิโลเมตรหมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านที่มีฝีมือในการทอผ้าพื้นเมืองที่สวยงามเรียกว่า "ผ้าลายน้ำไหล" ซึ่งเป็นแหล่งใหญ่ที่สุดในจังหวัดน่านนับเป็นหัตถกรรมที่ตกทอดมาหลายยุคหลายสมัย
วัดหนองแดง
วัดหนองแดง อำเภอเชียงกลาง สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2330โดยชาวไทลื้อร่วมกับไทพวน องค์พระประธานสร้างโดยครูบาสิทธิการพระวิหารบูรณะครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2492 และบูรณะต่อมาในปี พ.ศ. 2538แล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2539 ภายในวัดมีลานกว้างร่มรื่นช่อฟ้าพระอุโบสถสลักรูปนกหัสดีลิงค์ (ศีรษะเป็นช้าง ตัวเป็นหงส์)ซึ่งชาวไทลื้อเชื่อว่าเป็นสัตว์ชั้นสูงจากสวรรค์เชิงชายประดับไม้ฉลุลายน้ำหยาด ซึ่งเป็นลวดลายเฉพาะของชาวไทลื้อองค์พระประดิษฐานบนฐานชุกชี เรียกว่า "นาคบัลลังก์"จากความเชื่อที่ว่านาคเป็นเครื่องหมายแห่งความสง่างาม ความดีและเป็นอารักษ์แห่งพุทธศาสนา
การเดินทาง จากตัวเมืองไปตามเส้นทางหลวงหมายเลข 1080ถึงที่ว่าการอำเภอเชียงกลาง เลยที่ว่าการอำเภอฯไป 2กิโลเมตรจนถึงสี่แยกรัชดา และเห็นป้อมตำรวจบ้านรัชดาให้เลี้ยวซ้ายไป 1กิโลเมตร
น่าน
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน อยู่ที่ถนนผากองตรงข้ามกับวัดพระธาตุช้างค้ำ ใกล้กับวัดภูมินทร์เป็นอาคารแบบยุโรปซึ่งเข้ามาในสมัยรัชกาลที่ 5ผสมผสานกับสถาปัตยกรรมท้องถิ่นเมืองน่าน เดิมเป็น “หอคำ”ซึ่งเป็นที่ประทับและที่ว่าราชการของพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯเจ้าผู้ครองนครน่าน สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2475ใช้เป็นที่ตั้งศาลากลางจังหวัดแห่งแรกของจังหวัดน่าน ต่อมาในปี พ.ศ. 2517อาคารแห่งนี้ได้รับการปรับปรุงอีกครั้งให้เป็นสถานที่ตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน
ภายในพิพิธภัณฑ์แบ่งเป็น 2 ชั้นชั้นล่างจัดแสดงชีวิตความเป็นอยู่ของชนเผ่าต่าง ๆ ในจังหวัดน่านรวมทั้งเทศกาลงานประเพณีที่สำคัญของจังหวัด เช่น การสืบชะตา การแข่งเรือส่วนชั้นบนจัดแสดงโบราณวัตถุสมัยต่าง ๆ ที่พบในจังหวัดน่านตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ จนถึงยุคเจ้าผู้ครองนครน่าน ชิ้นที่สำคัญได้แก่ งาช้างดำ วัตถุมงคลคู่บ้านคู่เมืองน่านได้มาในสมัยพระยาการเมืองเจ้าผู้ครองนครน่านองค์ที่ 5เครื่องปั้นดินเผาเคลือบ อายุราวพุทธศตวรรษที่ 21 พระพุทธรูปปางมารวิชัยศิลปะล้านนา อิทธิพลศิลปะพม่า พุทธศตวรรษที่ 25 พานพระศรีเครื่องเงินลงยาซึ่งเป็นเครื่องประกอบอิสริยยศของเจ้าผู้ครองนครน่านองค์สุดท้าย
พิพิธภัณฑ์เปิดทุกวัน เวลา 09.00-16.00 น. ค่าเข้าชม ชาวไทย 10บาท ชาวต่างประเทศ 30 บาท รายละเอียดติดต่อ โทร 0 5471 0561, 0 5477 2777
น่าน
หอศิลป์ริมน่าน
หอศิลป์ริมน่าน ก่อตั้งและดำเนินการโดยศิลปินชาวน่าน วินัยปราบริปู ตั้งอยู่ที่ 122 หมู่ 2 ต.บ่อ ถนนสายน่าน-ท่าวังผา (กิโลเมตร 20)ด้านทิศเหนือและทิศตะวันออกติดแม่น้ำน่าน ในพื้นที่ประกอบด้วยสตูดิโอบ้านพักรับรอง และอาคารหอศิลป์ ซึ่งเป็นอาคาร 2 ชั้น รวมพื้นที่ 13 ไร่ผู้ก่อตั้งมีจุดมุ่งหมายที่จะรวบรวมผลงานศิลปะของศิลปินไทยร่วมสมัยที่มีผลงานการสร้างสรรค์และรูปแบบที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเป็นที่ยอมรับกันโดยจัดนิทรรศการประจำปีในรูปแบบกึ่งถาวรขณะนี้มีผลงานงานจิตรกรรมและประติมากรรมของผู้ก่อตั้ง ประมาณ 200 ชิ้น
เปิดบริการ เวลา 09.00 น.- 17.00 น. ทุกวันพุธ-อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ปิดวันจันทร์-อังคาร รายละเอียดสอบถาม โทร.0 54798046 (เวลาปกติ), 0 1322 2912 หรือ www.nanartgallery.com
ตลาดชายแดนบ้านห้วยโก๋น
ตลาดชายแดนบ้านห้วยโก๋น อยู่บริเวณด่านผ่านแดนบ้านห้วยโก๋นด่านตรงข้ามคือเมืองน้ำเงิน แขวงไชยะบุรี สาธารณรัประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว) อยู่ห่างจากเมืองน่าน 138 กิโลเมตร ตลาดจะมีทุกวันเสาร์เริ่มตั้งแต่เช้าถึงประมาณใกล้เที่ยงสินค้าที่เข้ามาจำหน่ายส่วนใหญ่เป็นผ้าทอลายน้ำไหล ฝีมือชาวไทลื้อจากบ้านเมืองเงิน หงสา ของ สปป.ลาว นอกจากนั้น ยังมีสินค้าอุปโภคบริโภคเช่น ของป่า ลูกต๋าว เป็นต้น อนุญาตให้ประชาชนไทย-ลาวเข้าออกด่านนี้ทุกวัน ระหว่างเวลา 08.00-17.00 น.ศึกษาขั้นตอนการผ่านแดนไทย-ลาว ในรายละเอียด
วัดมิ่งเมือง
ตั้งอยู่ที่ถนนสุริยพงศ์ สร้างเมื่อ พ.ศ. 2400 ลักษณะเด่นคือลายปูนปั้นที่ผนังด้านนอกของพระอุโบสถ เป็นฝีมือตระกูลช่างเชียงแสนมีความวิจิตรงดงามมากภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังแสดงให้เห็นวิถีชีวิตของชาวเมืองน่านฝีมือช่างท้องถิ่นยุคปัจจุบัน และในบริเวณวัดยังเป็นที่ประดิษฐานเสาหลักเมือง ซึ่งยู่ในศาลาจตุรมุขด้านหน้าพระอุโบสถเสาหลักเมืองสูงประมาณ 3 เมตร ฐานประดับด้วยไม้แกะลวดลายลงรักปิดทองยอดเสาแกะสลักเป็นรูปพรหมพักตร์มีชื่อ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
อนุสรณ์สถานยุทธภูมิบ้านห้วยโก๋นเก่า
อนุสรณ์สถานยุทธภูมิบ้านห้วยโก๋นเก่าเดิมเคยเป็นฐานปฏิบัติการของกองพันทหารราบที่ 3ในบริเวณฐานปฏิบัติการยังคงรักษาสภาพเดิมไว้เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษามีสนามเพลาะ แนวกับระเบิด คลังอาวุธจุดที่ทหารไทยเสียชีวิตในบริเวณเดียวกับยุทธภูมิยังมีฐานสู้รบเหล่าผู้กล้า ฐานทหารเก่าที่บ้านห้วยโก๋น ตำบลห้วยโก๋นเป็นสมรภูมิการสู้รบในอดีต เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2518 ผกค.ได้เข้าโจมตีทำให้ทหารในสังกัดทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ ที่ปฏิบัติหน้าที่ ณฐานแห่งนี้ 69 นาย เสียชีวิต 17 นาย ฝ่าย ผกค. บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากฝ่ายทหารสามารถรักษาฐานปฏิบัติการแห่งนี้ไว้ได้ปัจจุบันได้ปรับปรุงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวมีอนุสรณ์สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์การต่อสู้ของลัทธิการปกครองที่แตกต่างกันภายในฐานยังมีบริการบ้านพักแก่นักท่องเที่ยวติดต่อได้ที่กองพันทหารราบที่15 หรือ หน่วยเฉพาะกิจทหารพรานจู่โจม ค่ายสุริยะพงษ์ โทร. 0 5471 0321, 05471 3324
อุทยานแห่งชาติแม่จริม (ล่องแก่งลำน้ำว้า)
อุทยานแห่งชาติแม่จริม (ล่องแก่งลำน้ำว้า)อยู่ในเขตอำเภอแม่จริม ห่างจากตัวเมืองน่าน ประมาณ 60 กิโลเมตรไปตามทางหลวงหมายเลข 1168 และ 1243 มีพื้นที่ 270,000 ไร่ หรือ 432ตารางกิโลเมตร ลักษณะภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อนเป็นแหล่งกำเนิดของต้นน้ำที่ไหลไปลงแม่น้ำน่านที่อำเภอเวียงสาเนื่องจากองค์ประกอบของพื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่จริมมีลักษณะเป็นภูเขาสูงชัน มีสภาพป่าที่ยังคงสมบูรณ์และมีน้ำว้าไหลผ่านทางทิศตะวันตกของพื้นที่เป็นระยะทางถึง 7.5 กิโลเมตรทำให้มีจุดเด่นทางธรรมชาติ ทั้งที่เป็นป่าไม้ วัฒนธรรม และลำน้ำ
เหมาะสำหรับกิจกรรมท่องเที่ยวต่าง ๆ อาทิ ล่องแก่งลำน้ำว้าโดยใช้แพยาง มีจุดเริ่มต้นบริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติแม่จริมถึงจุดสิ้นสุด (ปางช้าง) ระยะทางประมาณ 12 กิโลเมตร ใช้เวลา 2 ชั่วโมงหรือสิ้นสุดที่บ้านหาดไร่ ระยะทางประมาณ 15 กิโลเมตร ใช้เวลา 3 ชั่วโมงตลอดเส้นทางมีแก่งต่าง ๆ ให้ผจญภัยและเล่นน้ำ กว่า 10 แก่ง,ขับรถชมวิวเส้นทางบ้านน้ำพาง-บ้านร่มเกล้า ตามเส้นทางหลวงจังหวัดหมายเลข1259 (บ้านน้ำพาง-บ้านร่มเกล้า) ระยะทาง 25 กิโลเมตรตัดตามสันเขาผ่านสภาพป่าอันอุดมสมบูรณ์ตลอดเส้นทางสามารถจอดรถชมทิวทัศน์หุบเขาและหมู่บ้านทะเลหมอกยามเช้าตลอดจนทิวทัศน์พระอาทิตย์ตกดินได้หลายจุด
เดินป่าตามลำน้ำแปง ระยะทางประมาณ 12 กิโลเมตรเดินทางเลียบตามริมลำน้ำแปง, เดินป่าบ้านน้ำพาง-บ้านร่มเกล้าเป็นเส้นทางเดินสัญจรในอดีตของชาวบ้านร่มเกล้า ระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตรตามสันเขาผ่านสภาพป่าดงดิบเขาอันอุดมสมบูรณ์, เดินป่า ปีนผาหน่อ ซึ่ง"ผาหน่อ" เป็นภูเขาหินปูน รูปแท่งเข็ม หรือหน่อไม้ มีความสูง 824 เมตรจากระดับน้ำทะเล สันนิษฐานว่าเกิดจากการยุบตัวของพื้นดินเชิงเขาบริเวณรอบๆ เป็นหน้าผาชันเกือบ 90 องศาเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบการเดินป่าและปีนเขาหากขึ้นถึงยอดเขาจุสามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามได้รอบด้านในผาหน่อพบถ้ำที่เป็นที่อยู่ของ ค้างคาว และเลียงผาบริเวณหน้าผาพบภาพเขียนโบราณเป็นรูปเลขาคณิตและรูปคล้ายผู้หญิงตั้งครรภ์ปรากฎอยู่ ระยะทางไป-กลับ ประมาณ 8 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง ประมาณ 6ชั่วโมง
เส้นทางศึกษาธรรมชาติ "ชบาป่า" สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี เสด็จพระดำเนินศึกษาธรรมชาติในเส้นทางนี้ เมื่อวันที่ 29พฤศจิกายน 2542 ทรงพบดอกไม้ป่าสกุลเดียวกับชบา ดอกสีชมพูอมม่วงขนาด 2-3เซ็นติเมตร พระราชทานนามว่า "ชบาป่า" (Urena lobata)ทางเดินมีระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร มีจุดชมวิวทิวทัศน์ของลำน้ำว้าและขุนเขาหลายจุด ใช้เวลาเดินประมาณ 1.5 ชั่วโมง
อุทยานแห่งชาติแม่จริม มีบริการที่พัก ร้านอาหารเต็นท์บริการสำหรับผู้ที่ต้องการค้างแรม สามารถติดต่อได้ที่อุทยานแห่งชาติแม่จริม 35 หมู่ 5 บ้านห้วยทรายมูล ต.น้ำปาย อ.แม่จริม จ.น่าน 55170 โทรศัพท์ 0 5473 0040-1
อุทยานแห่งชาตินันทบุรี
อุทยานแห่งชาตินันทบุรีครอบคลุมพื้นที่อำเภอเมืองและอำเภอบ้านหลวง รวมทั้งพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าน้ำยาว-น้ำสวก และป่าสงวนแห่งชาติถ้ำพุเตย มีอุณหภูมิเฉลี่ย 8.4องศาเซลเซียส สูงสุด 40.8 องศาเซลเซียส เป็นป่าผสมผลัดใบ ดิบแล้ง ดิบเขามีไม้ประเภท สัก ประดู่ ตะแบก ฯลฯ และในเขตอุทยานฯนี้ยังเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชนเผ่ามลาบรี หรือผีตองเหลืองสถานที่น่าสนใจในอุทยานฯ ได้แก่ ดอยผาจิ ดอยวาว น้ำตกสันติสุขน้ำตกสองแคว น้ำตกห้วยพริก น้ำตกตาดฟ้าร้อง น้ำตกดอยหมอก และน้ำพุร้อน
หมู่บ้านประมงปากนาย
ปากนาย เดิมเป็นหมู่บ้านริมแม่น้ำน่านหลังการสร้างเขื่อนสิริกิติ์ หมู่บ้านปากนายได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนซึ่งมีลักษณะเหมือนทะเลสาบขนาดใหญ่ โอบล้อมด้วยทิวเขาเขียวขจีชาวบ้านปากนายประกอบอาชีพประมง มีแพร้านอาหารให้เลือกชิมปลาจากเขื่อน เช่นปลากด ปลาบู่ ปลาคัง ปลาแรด ปลาทับทิม เป็นต้นและบางแห่งทำเป็นห้องพักไว้บริการนักท่องเที่ยวจากบ้านปากนายสามารถเช่าเรือล่องไปตามลำน้ำน่านสู่อ่างเก็บน้ำสิริกิติ์มีทิวทัศน์เป็นป่าเขาสวยงาม เกาะแก่ง เรือนแพ ชาวประมง ในช่วงนอกฤดูฝนจะมีแพลากไปวัดปากนาย สามารถนั่งรับประทานอาหารบนเรือได้ ใช้เวลาประมาณ 2ชั่วโมง และมีแพขานยนต์ข้ามฟากไปยัง อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์
การเดินทาง อยู่ที่ตำบลนาทะนุง ห่างจากตัวจังหวัด 96 กิโลเมตรใช้เส้นทางน่าน-เวียงสา-นาน้อย จากอำเภอนาน้อยจะมีทางแยกไปถึงอำเภอนาหมื่นราว 20 กิโลเมตรจากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 1339จะเป็นทางลาดยางคดเคี้ยวไปตามไหล่เขาอีกประมาณ 25 กิโลเมตรจึงถึงบ้านปากนาย
ผาชู้ หรือ ผาเชิดชู
ผาชู้ หรือ ผาเชิดชูบริเวณเชิงผาชู้เป็นจุดที่ตั้งที่ทำการอุทยานแห่งชาติศรีน่านในช่วงฤดูหนาวจะสามารถมองเห็นทะเลหมอกได้จากยอดผาชู้และเมื่อหมอกจางจะมองเห็นลำน้ำน่านทอดตัวคดเคี้ยวอยู่ที่ปลายผืนป่าหากจะขึ้นไปชมต้องขึ้นแต่เช้ามืดก่อนพระอาทิตย์ขึ้นระยะทางประมาณ 2กิโลเมตร ช่วงใกล้ขึ้นถึงยอดจะเป็นหินแหลมคมจึงต้องเตรียมรองเท้าผ้าใบที่ใส่กระชับไปด้วยเพื่อความสะดวกในการปีนป่ายใช้เวลาในการเดินประมาณ 1 ชั่วโมงผู้ที่ประสงค์จะเดินขึ้นยอดผาชู้ต้องติดต่อเจ้าหน้าที่นำทางที่อุทยานแห่งชาติศรีน่าน ตู้ ปณ.14 อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน 55150
ตามตำนานที่เล่ากันมาเกี่ยวกับผาชู้กล่าวว่า เจ้าเอื้องผึ้งซึ่งเป็นคู่รักกับ เจ้าจันทน์ผา จำใจต้องแต่งงานกับ เจ้าจ๋วงเจ้าเอื้องผึ้งเสียใจที่ไม่ได้แต่งงานกับคนที่ตัวเองรักจึงตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดจากหน้าผา เจ้าจันทน์ผา ตามมาพบว่า เจ้าเอื้องผึ้งได้กระโดดหน้าผาไปแล้ว จึงกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตายตามคนรักตกไปอยู่ใกล้กันและ เจ้าจ๋วง ได้เห็นหญิงที่ตนรักกระโดดหน้าผาไปจึงรู้สึกเสียใจและตัดสินใจกระโดดหน้าผาตามลงไปด้วย แต่กระเด็นห่างออกไปด้วยความรักแท้ระหว่าง เจ้าเอื้องผึ้ง และ เจ้าจันทน์ผา ในชาติต่อมาเจ้าเอื้องผึ้ง จึงเกิดเป็นดอกกล้วยไม้เกาะอยู่ใต้ต้นจันทน์ผา และเจ้าจ๋วง ก็เกิดเป็นต้นสน ณ จุดที่ตกไปนั้นเอง ("จ๋วง"เป็นภาษาเหนือแปลว่าต้นสน "เอื้องผึ้ง" แปลว่ากล้วยไม้)หน้าผาแห่งนี้จึงได้ชื่อว่า "ผาชู้" นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
น่าน
อุทยานแห่งชาติศรีน่าน
อุทยานแห่งชาติศรีน่าน มีพื้นที่ประมาณ 583,750 ไร่ หรือ 934ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่อำเภอต่างๆ ในจังหวัดน่าน ได้แก่ เวียงสานาน้อย และนาหมื่น เทือกเขาสลับซับซ้อนที่วางตัวในแนวเหนือ-ใต้ขนานกันทั้งทางทิศตะวันตกและตะวันออกแบ่งพื้นที่ออกเป็นฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออก สองฝั่งแม่น้ำเป็นป่าเบญจพรรณและป่าเต็งรังซึ่งในพื้นที่อุทยานแห่งชาติศรีน่านพบสัตว์ป่าหายากอยู่หลายชนิด เช่นนกยูง ซึ่งมีอยู่หลายฝูง เสือดาว เสือดำ หมีกวาง หมาป่า และหมาในมีสัตว์ป่าหลายชนิดที่สำคัญ คือ ช้างป่า, วัวแดง, และกระทิงซึ่งจะอพยพไปมาระหว่าง เขตติดต่อไทย-ลาว
สถานที่น่าสนใจในอุทยาน ได้แก่ แก่งหลวงน้ำน่านเกิดจากแนวหินน้อยใหญ่ที่กระจัดกระจายอยู่ในแม่น้ำน่านรวมทั้งโขดหินและหน้าผา ยามหน้าน้ำจะมีเสียงน้ำไหลกระทบโขดหินดังกึกก้องยามหน้าแล้งจะมองเห็นแนวหิน โขดหินที่มีรูปร่างทรงหลากหลายอย่างสวยงามจุดเด่นที่น่าสนใจ แนวหินน้อยใหญ่ที่กระจัดกระจายอยู่ในแม่น้ำน่านยามหน้าน้ำจะมีเสียงน้ำไหลกระทบโขดหินดังกึกก้องยามหน้าแล้งจะมองเห็นแนวหินโขดหินที่มีรูปร่างทรงหลากหลายอย่างสวยงามและหาดทรายที่ขาวสะอาดเป็นบริเวณกว้าง เหมาะสำหรับการมาท่องเที่ยวพักผ่อนและเล่นน้ำแก่งหลวงอยู่ริมทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1083ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติประมาณ 14 กิโลเมตร
ดอยผาชู้ เป็นที่ตั้งของที่ทำการอุทยานแห่งชาติศรีน่านมีลักษณะเป็นโขดหินและหน้าผาขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางขุนเขาที่เขียวขจีหลายแสนไร่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์และสายน้ำของแม่น้ำน่านทอดตัวไหลคดเคี้ยวสู่ทิศใต้ยาวหลายสิบกิโลเมตรยามหน้าหนาวจะมีทะเลหมอกสีขาวตัดกับความเขียวขจีของป่าและแสงสีทองของดวงอาทิตย์ขึ้นยามเช้าอย่างสวยงามมากและเป็นสถานที่เกิดตำนานรักสามเส้าที่ตัดสินความรักด้วยความตายจุดเด่นที่น่าสนใจ ได้แก่ ยอดผาชู้เป็นสถานที่ตั้งสายธงชาติที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ต้องร้องเพลงชาติ 12 จบกว่าจะเชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา มีความยาวของสายธงชาติประมาณ 200 เมตรจากพื้นถึงยอดผาชู้ จุดชมวิว เป็นบริเวณกว้างอยู่ด้านหน้าของผาชู้สามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกในยามเช้ามองเห็นแม่น้ำน่านที่ไหลทอดตัวผ่านใจกลางอุทยานแห่งชาติ เป็นระยะทางกว่า20 กิโลเมตร สวนหิน ที่เกิดจากธรรมชาติที่มีการจัดวางตัวอย่างสวยงาม
น่าน
ดอยเสมอดาว บริเวณจุดชมวิวอีกจุดหนึ่งของอุทยานแห่งชาติศรีน่านมีพื้นที่เป็นลานกว้างตามสันเขา เหมาะสำหรับการพักผ่อน ดูดาวดูพระอาทิตย์ขึ้นและตกดินในบริเวณเดียวกัน จุดนี้มีชื่อว่า "ดอยเสมอดาว"ผาหัวสิงห์ เป็นหน้าผามีรูปร่างเหมือนสิงโตนอนหมอบหันหน้าไปทางทิศตะวันออกสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้ 360 องศาและเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามอีกจุดหนึ่ง
ทิวทัศน์ทั้งสองฝั่งแม่น้ำน่านแม่น้ำทอดตัวผ่านกลางพื้นที่อุทยานฯ ตั้งแต่เหนือสุดถึงใต้สุดยาวกว่า 60กิโลเมตร สามารถล่องเรือ ล่องแพ ชมธรรมชาติสองฝั่งแม่น้ำน่านจะเห็นทิวทัศน์ เกาะแก่ง โขดหิน หาดทราย หน้าผาสภาพป่าที่เขียวขจีและสัตว์ป่านานาชนิดต่าง ๆ มากมาย มีจุดเด่นที่น่าสนใจผาง่าม เป็นหน้าผาขนาดใหญ่ ตั้งโดดเด่นอยู่กลางป่าเขาที่เขียวขจี ผาขวางเป็นหน้าผาขนาดใหญ่ ตั้งขวางอยู่กลางแม่น้ำน่าน สภาพป่าที่อุดมสมบูรณ์สองฝั่งแม่น้ำน่าน ที่เหมาะสมสำหรับการศึกษาเกี่ยวกับระบบธรรมชาติวิทยา
ปากนาย ตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลนาทะนุง อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่านห่างจากตัวอำเภอ 27 กิโลเมตร ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติ ประมาณ 63กิโลเมตร เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของจังหวัดน่านมีเส้นทางข้ามไปจังหวัดอุตรดิตถ์ได้จึงมีนักท่องเที่ยวเดินทางผ่านเพื่อแวะ ชมและพักค้างคืนเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากต่างจังหวัดและจังหวัดใกล้เคียง
เสาดินนาน้อยเกิดจากการกัดเซาะพังทะลายของดินเป็นบริเวณกว้างกว่า 20 ไร่ลักษณะคล้ายแพะเมืองผีของจังหวัดแพร่ แต่มีความสวยกว่าและจะมีการพังทลายของดินเปลี่ยนแปลงรูปไปทุก ๆ ปี ผลกระทบต่อระบบนิเวศ คือตะกอนดินจะไหลลงสู่แม่น้ำลำธาร ทำให้เกิดการตื้นเขินได้
คอกเสือ อยู่ห่างจากเสาดินนาน้อยประมาณ 300 เมตรมีลักษณะเป็นหลุมลึก ในสมัยก่อนชาวบ้านเล่าว่าในบริเวณนี้มีเสืออาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และจะมาขโมยเอาวัว ควายและหมูของชาวบ้านที่เลี้ยงไว้กินเป็นอาหารชาวบ้านจึงรวมกำลังไล่ต้อนเสือให้ตกลงไปในบ่อดินดังกล่าวแล้วใช้ก้อนหินและไม้แหลมขว้างและทิ่มแทงเสือจนตายเขาจึงเรียกบริเวณนี้ว่า "คอกเสือ"
การเดินทางจากกรุงเทพฯ ผ่านนครสวรรค์ พิษณุโลกถึงแพร่จากแพร่ตามถนนยันตรกิจโกศล ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 101 ไปถึงอำเภอเวียงสาเลี้ยวขวาไปตามถนนเจ้าฟ้า ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1026 จากอำเภอเวียงสาไปอำเภอนาน้อย ระยะทางประมาณ 35 กม.แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าตามถนนสายนาน้อย -ปางไฮ ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1083ไปอีกประมาณ 5 กิโลเมตร จะถึงเสาดิน และถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติศรีน่าน ตู้ ปณ.14 อ.นาน้อยจ.น่าน 55150 โทร. 0 5470 1106 กรุงเทพฯ โทร. 0 2562 0760
โครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคง (พมพ.) บ้านมณีพฤกษ์
เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางเกษตรมีโครงการทดลองปลูกผลไม้เมืองหนาวสามารถไปแวะชมได้นอกจากนั้นยังมีดอกเสี้ยวขาวซึ่งเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดต้นนางพญาเสือโคร่ง บริเวณโครงการเป็นหมู่บ้านชาวเขาเผ่าม้ง และ เผ่าลั๊วะสิ่งที่น่าสนใจคือโครงการนี้ตั้งอยู่บนเทือกดอยภูคาจึงพบต้นชมพูภูคาอยู่หลายกลุ่มแต่ต้นที่สมบูรณ์และนักท่องเที่ยวเข้าไปชมได้อยู่ห่างจากศูนย์ฯ บริการนักท่องเที่ยว 3-4กิโลเมตร รถเข้าถึงปากทาง จากนั้นต้องเดินเข้าไปอีกประมาณ 30 เมตร
วนอุทยานถ้ำผาตูบ
วนอุทยานถ้ำผาตูบ อยู่ที่ตำบลผาสิงห์ ห่างจากตัวจังหวัด 12กิโลเมตร บนเส้นทางหลวงหมายเลข 1080 น่าน-ปัว-ทุ่งช้าง ตรงหลักกิโลเมตรที่9-10 สามารถเข้าถึงได้ทุกฤดูกาลเส้นทางศึกษาธรรมชาติมีพรรณไม้ที่ควรศึกษาและหาดูได้ยาก เช่น ต้นจันทร์ผา และเอื้องผึ้งซึ่งจะผลิดอกประมาณช่วงปลายฝนทางเดินศึกษาธรรมชาติมีอยู่หลายเส้นทางด้วยกันคือจะเริ่มจากเส้นทางเดินเท้าถึงถ้ำบ่อน้ำทิพย์ เส้นทางจากหน้าที่ทำการฯถึงจุดชมวิว และเส้นทางเดินรอบที่ทำการสถานที่น่าสนใจในวนอุทยานถ้ำผาตูบได้แก่ ถ้ำพระ ถ้ำบ่อน้ำทิพย์ ถ้ำขอน และถ้ำเจดีย์แก้ว
น่าน
วัดพระธาตุเขาน้อย
วัดพระธาตุเขาน้อย องค์พระธาตุตั้งอยู่บนยอดดอยเขาน้อยซึ่งอยู่ด้านตะวันตกของตัวเมืองน่าน อยู่ในเส้นทางเดียวกันกับวัดพญาวัดตรงหลักกิโลเมตรที่ 2ร้างในสมัยเจ้าปู่แข็ง เมื่อปี พ.ศ.2030องค์พระธาตุเป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูนทั้งองค์ เป็นศิลปะพม่าผสมล้านนาภายในบรรจุพระเกศาธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในสมัยพระเจ้าสุริยพงศ์ผริตเดชฯ ระหว่างปี พ.ศ.2449-2454 โดยช่างชาวพม่าและวิหารสร้างในสมัยนี้เช่นกันจากวัดพระธาตุเขาน้อยสามารถมองเห็นทิวทัศน์โดยรอบของตัวเมืองน่านปัจจุบันบริเวณลานชมทิวทัศน์ประดิษฐานพระพุทธมหาอุดมมงคลนันทบุรีศรีน่านซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางประทานพร บนฐานดอกบัวสูง 9 เมตรบนยอดพระเกศาทำจากทองคำหนัก 27 บาทสร้างขึ้นเนื่องในมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ฯ ทรงเจริญพระชนมพรรษา6 รอบ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2542
แหล่งเตาเผาและเครื่องเคลือบบ้านบ่อสวก
บริเวณบ้านบ่อสวกนี้ในอดีตเคยเป็นแหล่งผลิตเครื่องเคลือบภาชนะดินเผาที่สำคัญแห่งหนึ่งของเมืองน่านมีรูปแบบและกรรมวิธีการผลิตเครื่องเคลือบภาชนะดินเผาเป็นลักษณะเฉพาะของตัวเองคาดว่าเครื่องเคลือบภาชนะดินเผาจากบ้านบ่อสวกคงจะเคยได้รับความนิยมอย่างสูงเพราะได้ขุดพบตามแหล่งฝังศพของคนในสมัยก่อนโดยเฉพาะแถบเทือกเขาในเขตอำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ต่อเนื่องไปจนถึงจังหวัดตาก และกำแพงเพชรสันนิษฐานว่าการผลิตเครื่องเคลือบที่บ้านบ่อสวกเริ่มขึ้นและพัฒนาในสมัยเจ้าพระยาพลเทพฤาชัย (พ.ศ.2071-2102)ซึ่งเป็นยุคสมัยแห่งความรุ่งเรืองของเมืองน่านวิทยาการเตาเผาและเครื่องเคลือบเมืองน่านได้รับจากล้านนา เช่นจากกลุ่มสันกำแพง กลุ่มกาหลง ซึ่งเป็นกลุ่มเตาใกล้นครเชียงใหม่
เตาเผาแห่งนี้ได้รับการสำรวจและศึกษาเบื้องต้น โดยกองโบราณคดีกรมศิลปากร มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527เป็นแหล่งโบราณคดีชุมชนอยู่ที่บ้านบ่อสวกพัฒนา หมู่ 10 ตำบลบ่อสวกห่างจากตัวเมือง 17 กิโลเมตร แหล่งที่มีการค้นพบเตาเผาเมื่อเดือนตุลาคมพ.ศ. 2542 ตั้งอยู่ในเขตบ้านพักของ จ.ส.ต.มนัส และคุณสุนัน ติคำบริเวณที่พบเตาอยู่ริมแม่น้ำลักษณะของเตาหันหน้าเข้าหาแม่น้ำเพื่อสะดวกในการขนส่งภายในเป็นโพรงใหญ่เพื่อให้คนเข้าไปข้างในได้เตามีความลาดเอียงและมีปล่องระบายอากาศอยู่ด้านบน เตาโบราณจำนวน 2เตาได้รับการบูรณะ และก่อสร้างอาคารถาวรคลุม ส่วนบริเวณใต้ถุนบ้านจ่ามนัสจัดเป็นนิทรรศการแสดงโบราณวัตถุจากแหล่งเตาเผา
การขุดค้นศึกษาแหล่งเตาเมืองน่านบ้านบ่อสวกถือเป็นการเปิดมิติใหม่ในการทำงานวิจัยทาง "โบราณคดีชุมชน" โดยการร่วมมือระหว่างชาวบ้าน องค์กรเอกชน ส่วนราชการในท้องถิ่นและนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเพื่อให้เกิดความงอกงามทางความรู้และความเข้มแข็งของชุมชนไปพร้อมกันในอนาคตจะมีการจัดตั้งกองทุนโบราณคดีชุมชนบ้านบ่อสวกและนำเงินจากกองทุนเพื่อจัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาชุมชนเช่น การฟื้นฟูอาชีพเครื่องปั้นดินเผา การจัดตั้งพิพิธภัณฑ์หมู่บ้านและการอบรมมัคคุเทศก์ชุมชน
น่าน
ข้อมูลการเดินทางของ "น่าน"
รถยนต์
จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 32 มาจนถึงจังหวัดนครสวรรค์จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 117 มาจนถึงจังหวัดพิษณุโลกและใช้ทางหลวงหมายเลข11 โดยจะผ่านจังหวัดอุตรดิตถ์ และอำเภอเด่นชัย (จังหวัดแพร่)จากเด่นชัยใช้ทางหลวงหมายเลข 101 ผ่านจังหวัดแพร่ไปจนถึงตัวจังหวัดน่านรวมระยะทางประมาณ 668 กิโลเมตร
รถไฟ
จากสถานีรถไฟกรุงเทพฯ (หัวลำโพง) ไปลงที่อำเภอเด่นชัยจังหวัดแพร่ แล้วจึงต่อรถโดยสารประจำทางมาที่จังหวัดน่าน ระยะทาง 142กิโลเมตร รายละเอียดติดต่อหน่วยบริการเดินทาง การรถไฟแห่งประเทศไทย โทร. 02223 7010, 0 2223 7020, 1690 www.railway.co.th
รถโดยสารประจำทาง
สถานีขนส่งสายเหนือ ถนนกำแพงเพชร 2 (หมอชิต 2)มีรถโดยสารประจำทางทั้งรถโดยสารธรรมดาและรถโดยสารปรับอากาศไปจังหวัดน่านทุกวัน ติดต่อ บริษัท ขนส่ง จำกัด โทร.0 2936 2852-66 หรือ www.transport.co.th และมีบริษัทเอกชนหลายแห่งที่บริการเดินรถไปจังหวัดน่าน ติดต่อ แพร่ทัวร์โทร. 0 2245 2369, 0 2245 1697 และ 0 2936 3720 สมบัติทัวร์ โทร. 0 29362495-6 และ 0 5471 0122 เชิดชัยทัวร์ โทร. 0 5471 0362, 0 2936 0199
Subscribe to:
Posts (Atom)