เกาะเวนิส ประเทศอิตาลี
เกาะเวนิส (Venice) หรือ เวเนเซีย (Venezia) เป็นเมืองหลวงของแคว้นเวเนโต ประเทศอิตาลี เมืองเวนิสได้รับฉายาว่า ราชินีแห่งทะเลเอเดรียติก (Queen of the Adriatic), เมืองแห่งสายน้ำ (City of Water), เมืองแห่งสะพาน (City of Bridges) และเมืองแห่งแสงสว่าง (The City of Light) เมืองเวนิสถูกสร้างขึ้นจากการเชื่อมเกาะเล็กๆ จำนวนมากเข้าด้วยกันในบริเวณทะเลสาบเวนิเทีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลเอเดรียติก ในภาคเหนือของประเทศอิตาลี ทะเลสาบน้ำเค็มนี้ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งระหว่างปากแม่น้ำโปกับแม่น้ำปลาวี
เกาะเวนิส เป็นเมืองที่มีการใช้คลองในการคมนาคมมากที่สุด มีอาคาร ร้าน บ้านเมืองตั้งริมคลอง มีเรือบริการในการเดินทางไปในที่ต่าง ๆ ของเมืองมีการบริการท่องเที่ยวชมทิวทัศน์ธรรมชาติของ 2 ฝั่งคลองโดยทางเรือ นับเป็นเมืองที่คลองมากกว่าถนนอีกเมืองหนึ่งของโลก
สถานที่ท่องเที่ยวเกาะเวนิส
การเดินทางจากท่าเรือตรอนเคตโต้ (Tronchetto) ล่องเรือผ่านชมบ้านเรือนของชาวเวนิส สู่ เกาะเวนิส หรือ เวเนเซีย (Venezia) ดินแดนแสนโรแมนติก เป็นเมืองที่ไม่เหมือนใคร โดยใช้เรือแทนรถ ใช้คลองแทนถนน มีสมญานามว่าเป็น "ราชินีแห่งทะเลเอเดรียติก" มีเกาะน้อยใหญ่กว่า 118 เกาะ และมีสะพานเชื่อมถึงกันกว่า 400 แห่ง ขึ้นฝั่งที่บริเวณ ซานมาร์โค ศูนย์กลางของเกาะเวนิส ชมความงามของเกาะเวนิส
สะพานถอนหายใจ (Bridge of Sighs) ที่มีเรื่องราวน่าสนใจในอดีต เมื่อนักโทษที่เดินออกจากห้องพิพากษาไปสู่คุกจะได้มีโอกาสเห็นแสงสว่างและโลกภายนอกเป็นครั้งสุดท้ายระหว่างเดินผ่านช่องหน้าต่างที่สะพานนี้ ซึ่งเชื่อมต่อกับวังดอดจ์ (Doge’s Palace) อันเป็นสถานที่พำนักของเจ้าผู้ครองนครเวนิสในอดีต ซึ่งนักโทษชื่อดังที่เคยเดินผ่านสะพานนี้มาเเล้วคือ คาสโนว่านั่นเอง
จัตุรัสซานมาร์โค (St.Mark’s Square) นโปเลียนเคยกล่าวไว้ว่า “เป็นห้องนั่งเล่นที่สวยที่สุดในยุโรป” จัตุรัสถูกล้อมรอบด้วยอาเขตอันงดงาม
โบสถ์ซานมาร์โค (St.Mark’s Bacilica) ที่มีโดมใหญ่ 5 โดม ตามแบบศิลปะไบแซนไทน์ ของที่ระลึก เช่น เครื่องแก้วมูราโน่,หน้ากากเวนิส, สินค้าแบรนเนมต่างๆ
Fellow-Traveller (เพื่อนเดินทาง) @ เพื่อนที่รวมเดินทางไปตามที่ต่างๆ ด้วยกัน แหล่งรวมข้อมูลท่องเที่ยวจากเว็บทั่วโลก
Sunday, May 17, 2015
ประเทศโครเอเชีย
เมืองซาเกร็บ (Zagreb) เมืองหลวงของประเทศโครเอเชีย
โครเอเชีย (Croatia)
• โครเอเชีย มีชื่อทางการว่า สาธารณรัฐโครเอเชีย เป็นประเทศในยุโรปที่มีอาณาเขตจรดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ยุโรปกลางและบอลข่าน มีเมืองหลวงชื่อซาเกร็บ โครเอเชียเคยเป็นสาธารณรัฐในยูโกสลาเวียเดิม แต่ได้รับเอกราชในพ.ศ. 2534 และได้สมัครเพื่อเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปเป็นสมาชิกลำดับที่ 28
• โครเอเชีย ตั้งอยู่ระหว่างยุโรปกลาง ยุโรปใต้ และยุโรปตะวันออก รูปร่างของประเทศคล้ายกับพระจันทร์เสี้ยวหรือเกือกม้า ซึ่งช่วยให้สามารถติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ ได้แก่ สโลวีเนีย ฮังการี เซอร์เบีย บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา มอนเตเนโกร และอิตาลี
• เมืองซาเกร็บ (Zagreb) โครเอเชีย
• เมืองซาเกร็บ (Zagreb) เป็นเมืองหลวงของประเทศโครเอเชีย ในปี พ.ศ. 2548
• เมืองซาเกร็บ (Zagreb) ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของที่ราบแพนโนเนีย ซึ่งเชื่อมโยงไปยังบริเวณเทือกเขาแอลป์ เทือกเขาไดนาริกแอลป์ ทะเลเอเดรียติก และภูมิภาคแพนโนเนีย บริเวณระหว่างเนินทางใต้ของภูเขาเมดเวดนีตซา (Medvednica) กับฝั่งเหนือของแม่น้ำซาวา (Sava) มีความสูงของพื้นที่ 120 เมตรจากระดับน้ำทะเล ทำให้เมืองซาเกร็บสามารถติดต่อคมนาคมขนส่งกับภูมิภาคยุโรปกลางกับทะเลเอเดรียติกได้อย่างดีมาก
• เมืองซาเกร็บ (Zagreb) เป็นศูนย์กลางการขนส่ง อุตสาหกรรม ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ศูนย์กลางการปกครอง การบริหาร และเป็นที่ตั้งของกระทรวง หน่วยงานราชการต่าง ๆ ของประเทศ
• เมืองซาเกร็บ เป็นเมืองหลวงที่มีความโดดเด่นทางด้านวัฒนธรรมและสิ่งก่อสร้างทางประวัติศาสตร์มากมาย
การท่องเที่ยวในเมืองซาเกร็บ โครเอเชีย
• การท่องเที่ยวในเมืองซาเกร็บ เน้นไปเที่ยวสัมผัสเสน่ห์ของความเป็นเมืองยุคกลางในย่านเมืองเก่าหรือที่เรียกกันว่า Upper town ซึ่งมีซุ้มประตูหินเป็นสัญลักษณ์บริเวณทางเข้า โดยย่านเก่าแก่แห่งนี้มีมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 17
• กำแพงเมืองเก่า (Old Town Gate) ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อล้อมรอบบริเวณเมืองเก่าเอาไว้
• โบสถ์เซนต์มาร์ก (Church of St.Mark) ที่โดดเด่นด้วยหลังคาที่มีการปูกระเบื้องเป็นสีสัน ลวดลายตราหมากรุกแดงขาว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของโครเอเชีย
• โรงละครแห่งชาติโครเอเชีย (Croatian National Theatre) โดยโรงละครแห่งนี้ตั้งอยู่ในย่านเมืองเก่าของเมืองซาเกร็บ โดยสร้างขึ้นในปี 1895 โดยรูปแบบของอาคารนั้นสร้างขึ้นในสไตล์นีโอบาร็อค มีลักษณะเป็นรูปตัว U และรายรอบไปด้วยสวนสาธารณะจนได้รับสมญานามว่า “The Green Horse shoe”
• มหาวิหารซาเกร็บ (Zagreb Cathedral) มหาวิหารสังกัดโรมันคาทอลิกที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองซาเกร็บ สร้างขึ้นในแบบสไตล์นีโอโกธิค ในช่วงศตวรรษที่ 11 ซึ่งถือว่าเป็นอาคารที่สูงที่สุดในโครเอเชีย และยังเป็นศูนย์กลางของคริสต์จักรในประเทศโครเอเชียอีกด้วย
• พิพิธภัณฑ์โบราณคดี (Archaeological Museum) ซึ่งภายในเป็นสถานที่สำหรับการเก็บรวบรวมวัตถุโบราณมากกว่า 400,000 ชิ้น และที่ดูมีชื่อเสียงมากที่สุดก็คงจะเป็น มัมมี่ และโบราณวัตถุเกี่ยวกับอียิปต์โบราณ หรือแม้แต่จารึกที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรปก็อยู่ที่นี่เช่นกัน
• สุสาน Mirogoj ตั้งอยู่บริเวณทางตอนเหนือของใจกลางเมืองซาเกร็บ โดยสุสนแห่งนี้ถือว่าเป็นสุสานที่สวยที่สุดในยุโรป และยังเป็นหนึ่งในสุสานที่ประทับใจมากที่สุดในโลก โดยสุสานสร้างขึ้นในปี 1876
เมืองพลิตวิเซ่ (Plitvice) โครเอเชีย
• อุทยานแห่งชาติพลิตวิเซ่ เจเซร่า (Plitvice Jezera National Park) ที่ตั้งอยู่ใจกลางของอุทยานแห่งชาติพลิตวิเซ่ เป็นอุทยานแห่งชาติ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การ UNESCO เมื่อปี 1979 อุทยานแห่งนี้มีเนื้อที่กว่า 29,482 เฮคเตอร์ พื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยน้ำมีทะเลสาบสีเขียวมรกตและสีฟ้า รวมกันถึง 16 ทะเลสาบ เชื่อมต่อกันด้วยทางเดินสะพานไม้ลัดเลาะระหว่างทะเลสาบและเนินเขา
• อุทยานแห่งชาติพลิตวิเซ่ มีต้นกำเนิดมาจากน้ำในภูเขามาลา คาเปลาที่กัดเซาะชั้นหินปูนและก้อนหินโดโลไมท์มาเป็นระยะเวลานานหลายพันปี ทำให้หินปูนถูกกัดเซาะ ไหลไปกองรวมกันเป็นระยะ เกิดเป็นเขื่อนธรรมชาติ มีความสูงลดหลั่นกันลงไป จากการทับถมของตะกอนที่มีแร่ธาตุแคลเซี่ยม คาร์บอเนต ทำให้เกิดความมหัศจรรย์ของสายน้ำ เกิดเป็นคราบหินปูนที่ก่อตัวเป็นแนวกั้นทะเลสาบก่อเกิดน้ำตกน้อยใหญ่ ที่เกิดจากการขยายตัวของคราบหินปูนทีละเล็กละน้อย มันจะค่อยๆโตประมาณปีละหนึ่งเซ็นติเมตร พลิตวิเซ่ จะเปลี่ยนโฉมหน้าตัวเองไปเรื่อยตามการทับถมของหินคาร์บอเนต จนก่อเกิดเป็นน้ำตกที่ไหลลงสู่ทะเลสาบสีเขียวมรกตและสีฟ้าเทอร์ควอยซ์แวววาวภายในอุทยานถึง 16 แห่ง โดยเป็นสีที่เกิดจากการผสมผสานกันของแร่ธาตุต่างๆ และน้ำพุร้อนใต้ผืนดินแห่งนี้ ซึ่งแต่ละแห่งเชื่อมต่อกันด้วยสะพานไม้ที่ลัดเลาะผ่านผืนน้ำ ต้นไม้ใหญ่ที่เขียวชอุ่ม และเนินเขาน้อยใหญ่ที่รายล้อมอุทยาน จึงทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่งในโครเอเชีย
• อุทยานแห่งชาติพลิตวิเซ่ พื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยน้ำมีทะเลสาบสีเขียวมรกตและสีฟ้า เชื่อมต่อกันด้วยทางเดินสะพานไม้ลัดเลาะระหว่างทะเลสาบและเนินเขา ความงามของทะเลสาบและน้ำตกที่ไหลรวยริน ลงสู่ทะเลสาบทั่วทุกหนทุกแห่ง ชมฝูงปลาแหวกว่ายในสระน้ำใสราวกระจกสะท้อนสีครามของท้องฟ้า แวดล้อมไปด้วยหุบเขา ต้นไม้ใหญ่ที่ร่มรื่น สงบสุข
• การท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติพลิตวิเซ่ มีการล่องเรือข้ามทะเลสาบ Kozjak เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในอุทยาน ชมความงามของอุทยานตอนล่างและชมความงดงามของ Big Waterfalls สัมผัสถึงบรรยากาศของสายน้ำอันชื่นฉ่ำ บนพื้นน้ำสีคราม และเกาะแก่งในทะเลสาบ ตลอดจนไม้ป่าจำพวกสนและเฟอร์ เพลิดเพลินกับธรรมชาติที่สวยงามและอุดมสมบูรณ์
เมืองสปลิท (Split) ประเทศโครเอเชีย
เมืองสปลิท (Split) ประเทศโครเอเชีย
• เมืองสปลิท (Split) เมืองท่องเที่ยวริมทะเลของประเทศโครเอเชีย เป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากเมืองซาเกรบ ซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคดัลเมเชีย (Dalmatia County) ของประเทศโครเอเชีย อันเป็นต้นกำเนิดของสุนัขพันธุ์ดัลมาเชี่ยนที่โด่งดัง
• เมืองสปลิท ถือว่าเป็นเมืองที่ค่อนข้างมีความเก่าแก่มาก อีกทั้งยังเป็นเมืองท่าที่สำคัญทางการค้าและการท่องเที่ยวของโครเอเชีย และที่สำคัญเมืองประวัติศาสตร์แห่งนี้ยังมีชื่อเสียงเกี่ยวกับสุนัขพันธุ์ดัลเมเชียน
• พระราชวังดิโอคลีเธี่ยน (Diocletian Palace) สร้างขึ้นจากพระประสงค์ของจักรพรรดิ์ดิโอคลีเธี่ยนแห่งโรมัน เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 4 ซึ่งต้องการสร้างพระราชวังสำหรับบั้นปลายชีวิตของพระองค์ ภายในพระราชวังประกอบด้วย วิหารจูปิเตอร์ (Catacombes) สุสานใต้ดินที่มีชื่อเสียงและวิหารต่างๆ นำท่านชมห้องโถงกลางซึ่งมีทางเดินที่เชื่อมต่อสู่ห้องอื่นๆ ชมลาน Peristyle ซึ่งล้อมด้วยเสาหินแกรนิต 3 ด้านและเชื่อมต่อด้วยโค้งเสาที่ตกแต่งด้วยช่อดอกไม้สลักอย่างวิจิตรสวยงามชมยอดระฆังแห่งวิหาร (The Cathedral Belfry) แท่นบูชาของเซนต์โดมินัสและเซนต์สตาดิอุส ซึ่งอยู่ภายในวิหาร องค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้ประกาศให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1979
• นอกจากนี้เมืองสปลิท ยังมีมหาวิหารเทพเจ้าจูปิเตอร์, โบสถ์แห่งเทพวีนัส, วิหารดอมนิอุส ที่จัดเรียงรายรวมกันอย่างลงตัว มหาวิหารเซนต์ดูช (St. Duje Cathedral) ซึ่งมีหอระฆังที่สวยงามและยังเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของเมืองสปลิท
เมืองซาดาร์ (Zadar) โครเอเชีย
• เมืองซาดาร์ (Zadar) เมืองที่มีประวัติศาสตร์มากว่า 3,000 ปีและเป็นเมืองท่าสำคัญของทะเลเอเดรียติค ที่มีบทบาทมาตั้งแต่สมัยโรมันจนถึงปัจจุบัน
• เมืองซาดาร์ (Zadar) อดีตเมืองหลวงเก่าของภูมิภาคดัลเมเชีย (Dalmatia) ที่ปัจจุบันได้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยโรมันอีกด้วย นอกจากนี้แล้วเมืองหลวงเก่าแห่งนี้ยังเป็นที่รู้จักกันในหมู่ชาวเรือที่มาค้าขายในแถบนี้ เนื่องจากเคยเป็นศูนย์กลางทางด้านการค้าขายมาตั้งแต่สมัยอดีต
• โรมันฟอรัม (Roman Forum) ลานประชุมกลางเมือง ที่ปัจจุบันหลงเหลือเพียงแค่ซากปรักหักพัง ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีขนาดที่ใหญ่ที่สุดในฝั่งตะวันออกของทะเลเอเดรียติก (Adriatic Sea)
• โบสถ์ เซนต์ โดแนท (St. Donatus Church) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเดียวกันกับโรมันฟอรัม ซึ่งเป็นโบสถ์ไบเซนไทน์ที่ใหญ่ที่สุดในดัลเมเทีย ซึ่งถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 9 โดยตัวอาคารนั้นสร้างแบบหลังคาทรงกลม ใช้งานสำหรับพิธีกรรมทางศาสนา ปัจจุบันได้กลายเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองซาดาร์ไปแล้วด้วย ถัดไปใกล้ๆกันจะเป็น โบสถ์ เซนต์ แมรี่ (St. Mary's Church) ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์สำหรับการเก็บงานศิลปะ วัตถุโบราณที่มีความสำคัญทางศาสนา
• มหาวิหารเซนต์ อนาตาเซีย (St. Anastasia Cathedral) คริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิกที่ใหญ่ที่สุดในดัลเมเทีย ซึ่งถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 4 ถึง 5 เป็นประจำเมืองซาดาร์ แม้ว่ามหาวิหารจะผ่านการถูกทำลายในสงครามมาแล้วก็ตาม
เมืองดูบรอฟนิค (Dubrovnik) โครเอเชีย
• เมืองดูบรอฟนิค (Dubrovnik) เมืองชายฝั่งทะเลเอเดรียติก บรรยากาศริมชายฝั่งทะเลที่มีบ้านเรือนหลังคากระเบื้องสีแสดสลับตามแนวชายฝั่ง
• เมืองดูบรอฟนิค ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมืองเก่าที่สวยที่สุดในยุโรป สมญานาม "ไข่มุกแห่งทะเลเอเดรียติก" ด้วยความลงตัวของสถาปัตยกรรมและผังเมืองที่เป็นระเบียบ เป็นเมืองที่มีอำนาจทางทะเลตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 และมีความเจริญรุ่งเรืองทางการค้า จึงได้สร้างความยิ่งใหญ่ให้โดดเด่น ด้วยการตกแต่งพระราชวัง สร้างโบสถ์ วิหาร จัตุรัส น้ำพุ และบ้านเรือนต่างๆ และได้รับการบูรณะและปรับเปลี่ยนอย่างงดงามตามยุคสมัย
• เมืองดูบรอฟนิค ยังมีประวัติศาสตร์เป็นเมืองพี่เมืองน้องกับ "เวนิซ" ในอิตาลี และ "สปลิต" เมืองเลียบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอีกเมืองของโครเอเชียในอดีต ดูบรอฟนิกมีความสำคัญทางการค้าอย่างมากในแถบเมดิเตอร์เรเนียน เคยเป็นเมืองที่มีอำนาจทางทะเลและควบคุมการค้าทางทะเลมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 เพราะมีบทบาทเป็นเมืองที่เชื่อมการค้าระหว่างฝั่งตะวันออกและตะวันตกของทะเลเอเดรียติก เรียกว่าเป็นเมืองศูนย์กลางของสาธารณรัฐก็ว่าได้
• ในช่วงศตวรรษที่ 14-17 ดูบรอฟนิคจึงร่ำรวยมีเงินทองมากมายในการตกแต่งบ้านเมืองให้งดงาม รวมทั้งพระราชวัง โบสถ์ วิหารภาพงดงามของเมืองทุกวันนี้ ใครจะรู้ว่าในอดีตดูบรอฟนิกต้องผ่านเหตุการณ์ที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากแผ่นดินไหวในศตวรรษที่ 4 บางส่วนของเมืองจมหายไปในทะเล หลังผ่านเหตุการณ์จากภัยธรรมชาติก็ต้องมาเจอภัยจากน้ำมือมนุษย์ เมื่อตกเป็นเป้าหมายโจมตีจากกองทหารยูโกสลาฟในปี 1990 บ้านเรือนกว่าครึ่ง อนุสาวรีย์ต่างๆ ได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตของผู้คนที่สูญหายไปในกองเพลิงสงครามนับแสนคน เหลือไว้ก็แต่รายชื่อในพิพิธภัณฑ์
• ในตัวเมืองดูบรอฟนิค เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรม ทั้งโกธิก เรอเนสซองส์ และบาร็อค บรรยากาศสงบ เย็นสบาย ไม่ร้อนไม่หนาวเกินไป เพราะมีภูมิอากาศเป็นแบบเมดิเตอร์เรเนียน อุณหภูมิระหว่างปีของเมืองนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 17 องศา ไม่หนาวไม่ร้อน ในหน้าหนาวอากาศประมาณ 10 องศา อาจมีฝนตก แต่หิมะไม่มีบ่อยนัก ดูบรอฟนิกจึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของชาวยุโรปจำนวนมาก แต่เดี๋ยวนี้คนเอเชียเริ่มที่จะไปเที่ยวมากขึ้น
• เขตเมืองเก่า (Old Town) ของเมืองดูบลอฟนิค ซึ่งองค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1979 ชมทัศนียภาพของตัวเมืองเก่ามีป้อมปราการโบราณความยาว 190 เมตรล้อมรอบ นำท่านเดินลอดประตู Pile Gate ที่มีรูปปั้นของนักบุญ เซนต์เบลส นักบุญประจำเมืองเพื่อเข้าสู่ใจกลางเมืองเก่า ชม น้ำพุ Onofrio ซึ่งเป็นตั้งเป็นเกียรติแก่ของสถาปนิกผู้สร้างน้ำพุแห่งนี้ นำท่านเข้าชม The Cathedral Treasury หนึ่งในโบสถ์เก่าแก่ที่สะสมโบราณวัตถุของพ่อค้าวาณิชที่ได้ทำการค้าขายกับชาวเวนิชในอดีต นำท่านถ่ายรูปกับ หอนาฬิกาโบราณ (Bell Tower Clock) จากนั้นนำท่านเข้าชม พระราชวังเรคเตอร์ (Rector's Palace) พระราชวังที่สร้างขึ้นโดยผสมผสานศิลปะทั้งแบบโกธิค, เรเนซองส์และบาโร๊ค ได้เวลานำท่านแวะชมและถ่ายรูปกับ สปอนซา พาเลส (Sponza Palace) สร้างขึ้นโดยศิลปะแบบโกธิค เรเนซองส์ ในสมัยศตวรรษที่ 15 ปัจจุบันได้ใช้เป็นที่จัดเก็บเอกสารและสำนักงานส่วนราชการ นำท่านเดินผ่านถนนสตราดัน ถนนสายหลักยาวกว่า 398 เมตร ที่สองข้างทางรายล้อมไปด้วยอาคารสไตล์โรมัน โกธิค และร้านค้า ร้านกาแฟ ร้านไอศครีม ร้านขายของที่ระลึกต่างๆ มากมาย
• กำแพงเมืองโบราณในเขตเมืองเก่า ตั้งตระหง่านโอบล้อมชุมชนยาวกว่า 1,940 เมตร เป็นกำแพงเมืองที่มีโครงสร้างสมบูรณ์และแข็งแกร่งมาก บนกำแพงมีทั้งหอคอยและป้อมปราการ ใช้ป้องกันภัยจากศัตรู เช่น พวกเซิร์บ อาหรับ เป็นต้น แม้ปัจจุบันก็ยังใช้งานได้อยู่ กำแพงเมืองเก่าแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกด้วย
• เรกเตอร์ พาเลซ ตึกประตูโค้งมีเสาแกะสลักสวยงามเรียงต่อกันเป็นแนว ที่นี่เคยเป็นตึกว่าการของสาธารณรัฐดูบรอฟนิก ตัวตึกเป็นศิลปะผสมโกธิก เรอเนสซองส์ และบาร็อค ตัวตึกเคยถูกระเบิดพังทลายถึงสองครั้ง แต่ก็ได้สร้างและซ่อมขึ้นมาใหม่ ปัจจุบันเรกเตอร์ พาเลซ เป็นพิพิธภัณฑ์แสดงการสร้างเมืองตั้งแต่ครั้งแรก และใช้เป็นสถานที่จัดแสดงคอนเสิร์ต
• ประตูเมือง (Pile Gate) สร้างไว้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 7 น้ำพุโบราณทรงกลม (Onfrio Fountain) เป็นน้ำพุที่ใช้เป็นเหมือนน้ำประปาในเมือง วิหาร Franciscan Monastery สถาปัตยกรรมแบบโกธิค
• จัตุรัสกลางเมือง เป็นแหล่งทำกิจกรรมต่างๆ ของเมืองในอดีต มีเสาหินอัศวิน (Orlando Column) หอนาฬิกา (Bell Tower) ตั้งอยู่ปลายสุดของถนนสายหลัก สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1444
โครเอเชีย (Croatia)
• โครเอเชีย มีชื่อทางการว่า สาธารณรัฐโครเอเชีย เป็นประเทศในยุโรปที่มีอาณาเขตจรดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ยุโรปกลางและบอลข่าน มีเมืองหลวงชื่อซาเกร็บ โครเอเชียเคยเป็นสาธารณรัฐในยูโกสลาเวียเดิม แต่ได้รับเอกราชในพ.ศ. 2534 และได้สมัครเพื่อเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปเป็นสมาชิกลำดับที่ 28
• โครเอเชีย ตั้งอยู่ระหว่างยุโรปกลาง ยุโรปใต้ และยุโรปตะวันออก รูปร่างของประเทศคล้ายกับพระจันทร์เสี้ยวหรือเกือกม้า ซึ่งช่วยให้สามารถติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ ได้แก่ สโลวีเนีย ฮังการี เซอร์เบีย บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา มอนเตเนโกร และอิตาลี
• เมืองซาเกร็บ (Zagreb) โครเอเชีย
• เมืองซาเกร็บ (Zagreb) เป็นเมืองหลวงของประเทศโครเอเชีย ในปี พ.ศ. 2548
• เมืองซาเกร็บ (Zagreb) ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของที่ราบแพนโนเนีย ซึ่งเชื่อมโยงไปยังบริเวณเทือกเขาแอลป์ เทือกเขาไดนาริกแอลป์ ทะเลเอเดรียติก และภูมิภาคแพนโนเนีย บริเวณระหว่างเนินทางใต้ของภูเขาเมดเวดนีตซา (Medvednica) กับฝั่งเหนือของแม่น้ำซาวา (Sava) มีความสูงของพื้นที่ 120 เมตรจากระดับน้ำทะเล ทำให้เมืองซาเกร็บสามารถติดต่อคมนาคมขนส่งกับภูมิภาคยุโรปกลางกับทะเลเอเดรียติกได้อย่างดีมาก
• เมืองซาเกร็บ (Zagreb) เป็นศูนย์กลางการขนส่ง อุตสาหกรรม ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ศูนย์กลางการปกครอง การบริหาร และเป็นที่ตั้งของกระทรวง หน่วยงานราชการต่าง ๆ ของประเทศ
• เมืองซาเกร็บ เป็นเมืองหลวงที่มีความโดดเด่นทางด้านวัฒนธรรมและสิ่งก่อสร้างทางประวัติศาสตร์มากมาย
การท่องเที่ยวในเมืองซาเกร็บ โครเอเชีย
• การท่องเที่ยวในเมืองซาเกร็บ เน้นไปเที่ยวสัมผัสเสน่ห์ของความเป็นเมืองยุคกลางในย่านเมืองเก่าหรือที่เรียกกันว่า Upper town ซึ่งมีซุ้มประตูหินเป็นสัญลักษณ์บริเวณทางเข้า โดยย่านเก่าแก่แห่งนี้มีมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 17
• กำแพงเมืองเก่า (Old Town Gate) ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อล้อมรอบบริเวณเมืองเก่าเอาไว้
• โบสถ์เซนต์มาร์ก (Church of St.Mark) ที่โดดเด่นด้วยหลังคาที่มีการปูกระเบื้องเป็นสีสัน ลวดลายตราหมากรุกแดงขาว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของโครเอเชีย
• โรงละครแห่งชาติโครเอเชีย (Croatian National Theatre) โดยโรงละครแห่งนี้ตั้งอยู่ในย่านเมืองเก่าของเมืองซาเกร็บ โดยสร้างขึ้นในปี 1895 โดยรูปแบบของอาคารนั้นสร้างขึ้นในสไตล์นีโอบาร็อค มีลักษณะเป็นรูปตัว U และรายรอบไปด้วยสวนสาธารณะจนได้รับสมญานามว่า “The Green Horse shoe”
• มหาวิหารซาเกร็บ (Zagreb Cathedral) มหาวิหารสังกัดโรมันคาทอลิกที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองซาเกร็บ สร้างขึ้นในแบบสไตล์นีโอโกธิค ในช่วงศตวรรษที่ 11 ซึ่งถือว่าเป็นอาคารที่สูงที่สุดในโครเอเชีย และยังเป็นศูนย์กลางของคริสต์จักรในประเทศโครเอเชียอีกด้วย
• พิพิธภัณฑ์โบราณคดี (Archaeological Museum) ซึ่งภายในเป็นสถานที่สำหรับการเก็บรวบรวมวัตถุโบราณมากกว่า 400,000 ชิ้น และที่ดูมีชื่อเสียงมากที่สุดก็คงจะเป็น มัมมี่ และโบราณวัตถุเกี่ยวกับอียิปต์โบราณ หรือแม้แต่จารึกที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรปก็อยู่ที่นี่เช่นกัน
• สุสาน Mirogoj ตั้งอยู่บริเวณทางตอนเหนือของใจกลางเมืองซาเกร็บ โดยสุสนแห่งนี้ถือว่าเป็นสุสานที่สวยที่สุดในยุโรป และยังเป็นหนึ่งในสุสานที่ประทับใจมากที่สุดในโลก โดยสุสานสร้างขึ้นในปี 1876
เมืองพลิตวิเซ่ (Plitvice) โครเอเชีย
• อุทยานแห่งชาติพลิตวิเซ่ เจเซร่า (Plitvice Jezera National Park) ที่ตั้งอยู่ใจกลางของอุทยานแห่งชาติพลิตวิเซ่ เป็นอุทยานแห่งชาติ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การ UNESCO เมื่อปี 1979 อุทยานแห่งนี้มีเนื้อที่กว่า 29,482 เฮคเตอร์ พื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยน้ำมีทะเลสาบสีเขียวมรกตและสีฟ้า รวมกันถึง 16 ทะเลสาบ เชื่อมต่อกันด้วยทางเดินสะพานไม้ลัดเลาะระหว่างทะเลสาบและเนินเขา
• อุทยานแห่งชาติพลิตวิเซ่ มีต้นกำเนิดมาจากน้ำในภูเขามาลา คาเปลาที่กัดเซาะชั้นหินปูนและก้อนหินโดโลไมท์มาเป็นระยะเวลานานหลายพันปี ทำให้หินปูนถูกกัดเซาะ ไหลไปกองรวมกันเป็นระยะ เกิดเป็นเขื่อนธรรมชาติ มีความสูงลดหลั่นกันลงไป จากการทับถมของตะกอนที่มีแร่ธาตุแคลเซี่ยม คาร์บอเนต ทำให้เกิดความมหัศจรรย์ของสายน้ำ เกิดเป็นคราบหินปูนที่ก่อตัวเป็นแนวกั้นทะเลสาบก่อเกิดน้ำตกน้อยใหญ่ ที่เกิดจากการขยายตัวของคราบหินปูนทีละเล็กละน้อย มันจะค่อยๆโตประมาณปีละหนึ่งเซ็นติเมตร พลิตวิเซ่ จะเปลี่ยนโฉมหน้าตัวเองไปเรื่อยตามการทับถมของหินคาร์บอเนต จนก่อเกิดเป็นน้ำตกที่ไหลลงสู่ทะเลสาบสีเขียวมรกตและสีฟ้าเทอร์ควอยซ์แวววาวภายในอุทยานถึง 16 แห่ง โดยเป็นสีที่เกิดจากการผสมผสานกันของแร่ธาตุต่างๆ และน้ำพุร้อนใต้ผืนดินแห่งนี้ ซึ่งแต่ละแห่งเชื่อมต่อกันด้วยสะพานไม้ที่ลัดเลาะผ่านผืนน้ำ ต้นไม้ใหญ่ที่เขียวชอุ่ม และเนินเขาน้อยใหญ่ที่รายล้อมอุทยาน จึงทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่งในโครเอเชีย
• อุทยานแห่งชาติพลิตวิเซ่ พื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยน้ำมีทะเลสาบสีเขียวมรกตและสีฟ้า เชื่อมต่อกันด้วยทางเดินสะพานไม้ลัดเลาะระหว่างทะเลสาบและเนินเขา ความงามของทะเลสาบและน้ำตกที่ไหลรวยริน ลงสู่ทะเลสาบทั่วทุกหนทุกแห่ง ชมฝูงปลาแหวกว่ายในสระน้ำใสราวกระจกสะท้อนสีครามของท้องฟ้า แวดล้อมไปด้วยหุบเขา ต้นไม้ใหญ่ที่ร่มรื่น สงบสุข
• การท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติพลิตวิเซ่ มีการล่องเรือข้ามทะเลสาบ Kozjak เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในอุทยาน ชมความงามของอุทยานตอนล่างและชมความงดงามของ Big Waterfalls สัมผัสถึงบรรยากาศของสายน้ำอันชื่นฉ่ำ บนพื้นน้ำสีคราม และเกาะแก่งในทะเลสาบ ตลอดจนไม้ป่าจำพวกสนและเฟอร์ เพลิดเพลินกับธรรมชาติที่สวยงามและอุดมสมบูรณ์
เมืองสปลิท (Split) ประเทศโครเอเชีย
เมืองสปลิท (Split) ประเทศโครเอเชีย
• เมืองสปลิท (Split) เมืองท่องเที่ยวริมทะเลของประเทศโครเอเชีย เป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากเมืองซาเกรบ ซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคดัลเมเชีย (Dalmatia County) ของประเทศโครเอเชีย อันเป็นต้นกำเนิดของสุนัขพันธุ์ดัลมาเชี่ยนที่โด่งดัง
• เมืองสปลิท ถือว่าเป็นเมืองที่ค่อนข้างมีความเก่าแก่มาก อีกทั้งยังเป็นเมืองท่าที่สำคัญทางการค้าและการท่องเที่ยวของโครเอเชีย และที่สำคัญเมืองประวัติศาสตร์แห่งนี้ยังมีชื่อเสียงเกี่ยวกับสุนัขพันธุ์ดัลเมเชียน
• พระราชวังดิโอคลีเธี่ยน (Diocletian Palace) สร้างขึ้นจากพระประสงค์ของจักรพรรดิ์ดิโอคลีเธี่ยนแห่งโรมัน เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 4 ซึ่งต้องการสร้างพระราชวังสำหรับบั้นปลายชีวิตของพระองค์ ภายในพระราชวังประกอบด้วย วิหารจูปิเตอร์ (Catacombes) สุสานใต้ดินที่มีชื่อเสียงและวิหารต่างๆ นำท่านชมห้องโถงกลางซึ่งมีทางเดินที่เชื่อมต่อสู่ห้องอื่นๆ ชมลาน Peristyle ซึ่งล้อมด้วยเสาหินแกรนิต 3 ด้านและเชื่อมต่อด้วยโค้งเสาที่ตกแต่งด้วยช่อดอกไม้สลักอย่างวิจิตรสวยงามชมยอดระฆังแห่งวิหาร (The Cathedral Belfry) แท่นบูชาของเซนต์โดมินัสและเซนต์สตาดิอุส ซึ่งอยู่ภายในวิหาร องค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้ประกาศให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1979
• นอกจากนี้เมืองสปลิท ยังมีมหาวิหารเทพเจ้าจูปิเตอร์, โบสถ์แห่งเทพวีนัส, วิหารดอมนิอุส ที่จัดเรียงรายรวมกันอย่างลงตัว มหาวิหารเซนต์ดูช (St. Duje Cathedral) ซึ่งมีหอระฆังที่สวยงามและยังเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของเมืองสปลิท
เมืองซาดาร์ (Zadar) โครเอเชีย
• เมืองซาดาร์ (Zadar) เมืองที่มีประวัติศาสตร์มากว่า 3,000 ปีและเป็นเมืองท่าสำคัญของทะเลเอเดรียติค ที่มีบทบาทมาตั้งแต่สมัยโรมันจนถึงปัจจุบัน
• เมืองซาดาร์ (Zadar) อดีตเมืองหลวงเก่าของภูมิภาคดัลเมเชีย (Dalmatia) ที่ปัจจุบันได้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยโรมันอีกด้วย นอกจากนี้แล้วเมืองหลวงเก่าแห่งนี้ยังเป็นที่รู้จักกันในหมู่ชาวเรือที่มาค้าขายในแถบนี้ เนื่องจากเคยเป็นศูนย์กลางทางด้านการค้าขายมาตั้งแต่สมัยอดีต
• โรมันฟอรัม (Roman Forum) ลานประชุมกลางเมือง ที่ปัจจุบันหลงเหลือเพียงแค่ซากปรักหักพัง ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีขนาดที่ใหญ่ที่สุดในฝั่งตะวันออกของทะเลเอเดรียติก (Adriatic Sea)
• โบสถ์ เซนต์ โดแนท (St. Donatus Church) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเดียวกันกับโรมันฟอรัม ซึ่งเป็นโบสถ์ไบเซนไทน์ที่ใหญ่ที่สุดในดัลเมเทีย ซึ่งถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 9 โดยตัวอาคารนั้นสร้างแบบหลังคาทรงกลม ใช้งานสำหรับพิธีกรรมทางศาสนา ปัจจุบันได้กลายเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองซาดาร์ไปแล้วด้วย ถัดไปใกล้ๆกันจะเป็น โบสถ์ เซนต์ แมรี่ (St. Mary's Church) ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์สำหรับการเก็บงานศิลปะ วัตถุโบราณที่มีความสำคัญทางศาสนา
• มหาวิหารเซนต์ อนาตาเซีย (St. Anastasia Cathedral) คริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิกที่ใหญ่ที่สุดในดัลเมเทีย ซึ่งถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 4 ถึง 5 เป็นประจำเมืองซาดาร์ แม้ว่ามหาวิหารจะผ่านการถูกทำลายในสงครามมาแล้วก็ตาม
เมืองดูบรอฟนิค (Dubrovnik) โครเอเชีย
• เมืองดูบรอฟนิค (Dubrovnik) เมืองชายฝั่งทะเลเอเดรียติก บรรยากาศริมชายฝั่งทะเลที่มีบ้านเรือนหลังคากระเบื้องสีแสดสลับตามแนวชายฝั่ง
• เมืองดูบรอฟนิค ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมืองเก่าที่สวยที่สุดในยุโรป สมญานาม "ไข่มุกแห่งทะเลเอเดรียติก" ด้วยความลงตัวของสถาปัตยกรรมและผังเมืองที่เป็นระเบียบ เป็นเมืองที่มีอำนาจทางทะเลตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 และมีความเจริญรุ่งเรืองทางการค้า จึงได้สร้างความยิ่งใหญ่ให้โดดเด่น ด้วยการตกแต่งพระราชวัง สร้างโบสถ์ วิหาร จัตุรัส น้ำพุ และบ้านเรือนต่างๆ และได้รับการบูรณะและปรับเปลี่ยนอย่างงดงามตามยุคสมัย
• เมืองดูบรอฟนิค ยังมีประวัติศาสตร์เป็นเมืองพี่เมืองน้องกับ "เวนิซ" ในอิตาลี และ "สปลิต" เมืองเลียบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอีกเมืองของโครเอเชียในอดีต ดูบรอฟนิกมีความสำคัญทางการค้าอย่างมากในแถบเมดิเตอร์เรเนียน เคยเป็นเมืองที่มีอำนาจทางทะเลและควบคุมการค้าทางทะเลมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 เพราะมีบทบาทเป็นเมืองที่เชื่อมการค้าระหว่างฝั่งตะวันออกและตะวันตกของทะเลเอเดรียติก เรียกว่าเป็นเมืองศูนย์กลางของสาธารณรัฐก็ว่าได้
• ในช่วงศตวรรษที่ 14-17 ดูบรอฟนิคจึงร่ำรวยมีเงินทองมากมายในการตกแต่งบ้านเมืองให้งดงาม รวมทั้งพระราชวัง โบสถ์ วิหารภาพงดงามของเมืองทุกวันนี้ ใครจะรู้ว่าในอดีตดูบรอฟนิกต้องผ่านเหตุการณ์ที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากแผ่นดินไหวในศตวรรษที่ 4 บางส่วนของเมืองจมหายไปในทะเล หลังผ่านเหตุการณ์จากภัยธรรมชาติก็ต้องมาเจอภัยจากน้ำมือมนุษย์ เมื่อตกเป็นเป้าหมายโจมตีจากกองทหารยูโกสลาฟในปี 1990 บ้านเรือนกว่าครึ่ง อนุสาวรีย์ต่างๆ ได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตของผู้คนที่สูญหายไปในกองเพลิงสงครามนับแสนคน เหลือไว้ก็แต่รายชื่อในพิพิธภัณฑ์
• ในตัวเมืองดูบรอฟนิค เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรม ทั้งโกธิก เรอเนสซองส์ และบาร็อค บรรยากาศสงบ เย็นสบาย ไม่ร้อนไม่หนาวเกินไป เพราะมีภูมิอากาศเป็นแบบเมดิเตอร์เรเนียน อุณหภูมิระหว่างปีของเมืองนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 17 องศา ไม่หนาวไม่ร้อน ในหน้าหนาวอากาศประมาณ 10 องศา อาจมีฝนตก แต่หิมะไม่มีบ่อยนัก ดูบรอฟนิกจึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของชาวยุโรปจำนวนมาก แต่เดี๋ยวนี้คนเอเชียเริ่มที่จะไปเที่ยวมากขึ้น
• เขตเมืองเก่า (Old Town) ของเมืองดูบลอฟนิค ซึ่งองค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1979 ชมทัศนียภาพของตัวเมืองเก่ามีป้อมปราการโบราณความยาว 190 เมตรล้อมรอบ นำท่านเดินลอดประตู Pile Gate ที่มีรูปปั้นของนักบุญ เซนต์เบลส นักบุญประจำเมืองเพื่อเข้าสู่ใจกลางเมืองเก่า ชม น้ำพุ Onofrio ซึ่งเป็นตั้งเป็นเกียรติแก่ของสถาปนิกผู้สร้างน้ำพุแห่งนี้ นำท่านเข้าชม The Cathedral Treasury หนึ่งในโบสถ์เก่าแก่ที่สะสมโบราณวัตถุของพ่อค้าวาณิชที่ได้ทำการค้าขายกับชาวเวนิชในอดีต นำท่านถ่ายรูปกับ หอนาฬิกาโบราณ (Bell Tower Clock) จากนั้นนำท่านเข้าชม พระราชวังเรคเตอร์ (Rector's Palace) พระราชวังที่สร้างขึ้นโดยผสมผสานศิลปะทั้งแบบโกธิค, เรเนซองส์และบาโร๊ค ได้เวลานำท่านแวะชมและถ่ายรูปกับ สปอนซา พาเลส (Sponza Palace) สร้างขึ้นโดยศิลปะแบบโกธิค เรเนซองส์ ในสมัยศตวรรษที่ 15 ปัจจุบันได้ใช้เป็นที่จัดเก็บเอกสารและสำนักงานส่วนราชการ นำท่านเดินผ่านถนนสตราดัน ถนนสายหลักยาวกว่า 398 เมตร ที่สองข้างทางรายล้อมไปด้วยอาคารสไตล์โรมัน โกธิค และร้านค้า ร้านกาแฟ ร้านไอศครีม ร้านขายของที่ระลึกต่างๆ มากมาย
• กำแพงเมืองโบราณในเขตเมืองเก่า ตั้งตระหง่านโอบล้อมชุมชนยาวกว่า 1,940 เมตร เป็นกำแพงเมืองที่มีโครงสร้างสมบูรณ์และแข็งแกร่งมาก บนกำแพงมีทั้งหอคอยและป้อมปราการ ใช้ป้องกันภัยจากศัตรู เช่น พวกเซิร์บ อาหรับ เป็นต้น แม้ปัจจุบันก็ยังใช้งานได้อยู่ กำแพงเมืองเก่าแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกด้วย
• เรกเตอร์ พาเลซ ตึกประตูโค้งมีเสาแกะสลักสวยงามเรียงต่อกันเป็นแนว ที่นี่เคยเป็นตึกว่าการของสาธารณรัฐดูบรอฟนิก ตัวตึกเป็นศิลปะผสมโกธิก เรอเนสซองส์ และบาร็อค ตัวตึกเคยถูกระเบิดพังทลายถึงสองครั้ง แต่ก็ได้สร้างและซ่อมขึ้นมาใหม่ ปัจจุบันเรกเตอร์ พาเลซ เป็นพิพิธภัณฑ์แสดงการสร้างเมืองตั้งแต่ครั้งแรก และใช้เป็นสถานที่จัดแสดงคอนเสิร์ต
• ประตูเมือง (Pile Gate) สร้างไว้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 7 น้ำพุโบราณทรงกลม (Onfrio Fountain) เป็นน้ำพุที่ใช้เป็นเหมือนน้ำประปาในเมือง วิหาร Franciscan Monastery สถาปัตยกรรมแบบโกธิค
• จัตุรัสกลางเมือง เป็นแหล่งทำกิจกรรมต่างๆ ของเมืองในอดีต มีเสาหินอัศวิน (Orlando Column) หอนาฬิกา (Bell Tower) ตั้งอยู่ปลายสุดของถนนสายหลัก สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1444
อิตาลี (เวนิส) สโลวีเนีย โครเอเชีย บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ล่องเรือเกาะเวนิส ถ้ำโพสทอยน่า เมืองลุบเบลียน่า เมืองเบลด เมืองซาเกร็บ อุทยานพลิตวิเซ่ เมืองซาดาร์ เมืองสปลิท เมืองดูบลอฟนิก เมืองซาราเจโว
เกาะเวนิส (Venice) อันแสนโรแมนติกของประเทศอิตาลี เข้าชม ถ้ำโพสทอยน่า (Postojna Caverns) ถ้ำที่สวยที่สุดในยุโรปอายุเก่าแก่กว่า 2 ล้านปี เยือน เมืองลุบเบลียน่า (Ljubljana) เมืองหลวงของสโลวีเนีย นั่งเรือพายสู่เกาะกลางทะเลสาบสุดแสนโรแมนติกที่ เมืองเบลด (Bled) เที่ยว เมืองซาเกรบ (Zagreb) เมืองหลวงของโครเอเชีย ชมความอลังการของธรรมชาติที่ อุทยานพลิตวิเซ่ (Plitvice National Park) เที่ยว ซาดาร์ (Zadar) เมืองสปลิท (Split) สตอน (Ston) เมืองชายทะเลที่งดงามด้วยธรรมชาติและสถาปัตยกรรม เดินเล่นที่ เมืองดูบลอฟนิก (Dubrovnik) เมืองมรดกโลกที่ได้รับสมญานามว่าไข่มุกแห่งทะเลเอเดรียติก สัมผัสกลิ่นอายของ เมืองซาราเจโว (Sarajevo) เมืองหลวงแห่งประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา (Bosnia and Herzegovina) เมืองที่ถูกเลือกโดยนิตยสาร Lonely Planet ให้ติดอยู่ในสิบอันดับแรกของเมืองท่องเที่ยว
วันแรก : สนามบินสุวรรณภูมิ
20.30 น.
คณะพร้อมกัน สนามบินสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออก ชั้น 4 ประตู 9 เคาน์เตอร์ U สายการบิน เตอร์กิชแอร์ไลน์ มีเจ้าหน้าที่คอยต้อนรับและอำนวยความสะดวก
23.30 น.
ออกเดินทางสู่ กรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกี โดยสายการบินเตอร์กิช แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ TK 69 (บนเครื่องมีบริการอาหาร 2 รอบ)
วันที่สอง : อิสตันบูล – เวนิส อิตาลี ล่องเรือเกาะเวนิส จัตุรัสเซนต์มาร์โค เมสเตร้
05.3 น.
เดินทางถึง กรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกี เปลี่ยนเครื่องเพื่อเดินทางต่อไป เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี
08.10 น.
ออกเดินทางต่อสู่ กรุงเวนิส โดยสายการบินเตอร์กิช แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ TK 1867
09.45 น.
ถึง สนามบินเวนิส ประเทศอิตาลี (เวลาท้องถิ่นช้ากว่าประเทศไทย 5 ชั่วโมง) นำท่านผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรเมืองเวนิส จากนั้นนำเดินทางต่อสู่ ท่าเรือตรอนเคตโต้ (Tronchetto) นำท่าน ล่องเรือผ่านชมบ้านเรือนของชาวเวนิส สู่ เกาะเวนิส หรือ เวเนเซีย (Venezia) ดินแดนแสนโรแมนติก เป็นเมืองที่ไม่เหมือนใคร โดยใช้เรือแทนรถ ใช้คลองแทนถนน มีสมญานามว่าเป็น "ราชินีแห่งทะเลเอเดรียติก" มีเกาะน้อยใหญ่กว่า 118 เกาะ และมีสะพานเชื่อมถึงกันกว่า 400 แห่ง ขึ้นฝั่งที่บริเวณ ซานมาร์โค ศูนย์กลางของเกาะเวนิส
เที่ยง
บริการอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร (มื้อที่ 1) หลังอาหารนำท่านเดินชมความงามของเกาะเวนิส ชม สะพานถอนหายใจ (Bridge of Sighs) ที่มีเรื่องราวน่าสนใจในอดีต เมื่อนักโทษที่เดินออกจากห้องพิพากษาไปสู่คุกจะได้มีโอกาสเห็นแสงสว่างและโลกภายนอกเป็นครั้งสุดท้ายระหว่างเดินผ่านช่องหน้าต่างที่สะพานนี้ ซึ่งเชื่อมต่อกับวังดอดจ์ (Doge’s Palace) อันเป็นสถานที่พำนักของเจ้าผู้ครองนครเวนิสในอดีต ซึ่งนักโทษชื่อดังที่เคยเดินผ่านสะพานนี้มาเเล้วคือ คาสโนว่านั่นเอง นำท่านถ่ายรูปบริเวณ จัตุรัสซานมาร์โค (St.Mark’s Square) ที่นโปเลียนเคยกล่าวไว้ว่า “เป็นห้องนั่งเล่นที่สวยที่สุดในยุโรป” จัตุรัสถูกล้อมรอบด้วยอาเขตอันงดงาม รวมทั้ง โบสถ์ซานมาร์โค (St.Mark’s Bacilica) ที่มีโดมใหญ่ 5 โดม ตามแบบศิลปะไบแซนไทน์ จากนั้นอิสระให้ท่านได้มีเวลาเที่ยวชมเกาะอันแสนโรแมนติก เช่น เพื่อชมมนต์เสน่ห์แห่งนครเวนิส, เข้าชมโบสถ์ซานมาร์โค, เลือกซื้อสินค้าของที่ระลึกตามอัธยาศัย อาทิเช่น เครื่องแก้วมูราโน่,หน้ากากเวนิส หรือนั่งจิบกาแฟในร้าน จากนั้นนำท่านล่องเรือกลับขึ้นสู่ฝั่งเมสเตร้
ค่ำ
บริการอาหารค่ำที่ภัตตาคาร (มื้อที่ 2) หลังอาหารนำท่านเดินทางเข้าที่พัก พักผ่อนกันตามอัธยาศัย (พัก VILLA BRAIDA หรือเทียบเท่า)
วันที่สาม : สโลวีเนีย ถ้ำโพสทอยน่า – เมืองเบลด - เมืองลุบเบลียน่า
เช้า
บริการอาหารเช้าที่โรงแรม (มื้อที่ 3) หลังอาหารนำท่านเดินทางเข้าสู่ ประเทศสโลวีเนีย (Slovenia) ท่านจะได้สัมผัสกับทิวทัศน์ทุ่งหญ้าสลับภูเขา บ้านเรือนแถบชานเมืองในระหว่างการเดินทางสู่ ถ้ำโพสทอยน่า (Postojna Caverns) ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของ เมืองโพสทอยน่า (Postojna) ที่เปิดให้บริการมากว่า 188 ปี นำท่านเข้าชมความงามของ ถ้ำโพสทอยน่า ถ้ำที่สวยที่สุดในยุโรป ซึ่งมีอายุเก่าแก่กว่า 2 ล้านปี เป็นถ้ำที่มีความยาวถึง 27 กิโลเมตร เข้าชมภายในถ้ำโดยขบวนรถรางไฟฟ้าของทางถ้ำ (ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที) ซึ่งได้เปิดให้บริการในปี 1884 อุณหภูมิภายในถ้ำโดยเฉลี่ย 8-10 องศาเซลเซียส ทำให้มีหินงอกหินย้อย นำท่านผ่านลำธาร เขื่อนเก็บน้ำใต้ดิน ชมหินงอกหินย้อยหลากหลายแบบและสีสันสวยงามสุดพรรณนา ภายในถ้ำยังมีห้องต่างๆ มากมาย ลดหลั่นเป็นชั้นๆ ท่านจะได้ชมความงามอันยิ่งใหญ่ภายในถ้ำแห่งนี้ ที่ธรรมชาติได้สรรสร้างมานานกว่าล้านปี จากนั้นนำท่านชมความแปลกของ ปลามนุษย์ (Human fish) หรือ Olm สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ในถ้ำ ผิวสีเนื้อคล้ายมนุษย์ ลำตัวยาวคล้ายงู มีแขนและขา ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1768 และอาศัยอยู่ในที่มืด
เที่ยง
บริการอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร (มื้อที่ 4) หลังอาหารนำท่านเดินทางสู่ เมืองเบลด (Bled) เมืองแห่งโบสถ์กลางทะเลสาบสุดแสนโรแมนติกท่ามกลางหุบเขาจูเลียน แอลป์ (Julian Alps) ทะเลสาบ เบลดเกิดจากการละลายตัวของธารน้ำแข็งจากภูเขาจูเลียนแอลป์ นำท่าน นั่งเรือสู่เกาะกลางทะเลสาบเบลด ซึ่งเป็นที่ตั้งของโบสถ์พระแม่มารี (Assumption of Mary) ของเหล่านักแสวงบุญ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ชม โบสถ์และหอคอยกลางทะเลสาบ จากท่าเรือจะต้องเดินขึ้นบันไดไปอีก 99 ขั้น ซึ่งประเพณีท้องถิ่นคู่สมรสฝ่ายชายจะต้องอุ้มฝ่ายหญิงขึ้นบันได 99 ขั้นนี้ จากนั้นนำท่านสู่ เมืองลุบเบลียน่า (Ljubljana) เมืองหลวงของประเทศสโลวีเนีย (Slovenia) สัมผัสบรรยากาศเมืองหลวงที่ยังคงให้ท่านได้เห็นร่องรอยของสถาปัตยกรรมโบราณ อิทธิพลของศิลปะสไตล์บาโรก
ค่ำ
บริการอาหารค่ำที่ภัตตาคาร (มื้อที่ 5) หลังอาหารนำท่านเดินทางเข้าที่พัก พักผ่อนกันตามอัธยาศัย (พัก PLAZA HOTEL หรือเทียบเท่า)
วันที่สี่ : เมืองลุบเบลียน่า - โครเอเชีย เมืองซาเกร็บ – อุทยานแห่งชาติพลิตวิเซ่
เช้า
บริการอาหารเช้าที่โรงแรม (มื้อที่ 6) หลังอาหารนำท่านชม เมืองลุบเบลียน่า (Ljubljana) ชมสะพานมังกรที่ทอดข้ามแม่น้ำลุบเบลียยานิก้า แวะถ่ายรูปกับสถานที่สำคัญต่างๆภายในเมืองเช่น ศาลาว่าการเมือง มหาวิหารเซนต์ นิโคลัส ชม ปราสาทเมืองเก่า (Old town castle) ซึ่งตั้งอยู่บนเนินสูง โดยนั่งรถรางขึ้นสู่เนินเขา ซึ่งสามารถมองเห็นทัศนียภาพของเมืองได้อย่างชัดเจน ปราสาทแห่งนี้สร้างในสมัยศตวรรษที่ 11 ในศิลปะสไตล์บาโรกและได้ทำการบูรณะใหม่ในปี 1990 โดยได้บูรณะหอสูงในลักษณะสถาปัตยกรรมแบบโกธิค ณ จุดนี้ท่านสามารถชมวิวทิวทัศน์โดยรอบของเมืองลุบเบลียน่าได้ในระยะไกล จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมืองซาเกร็บ (Zagreb) เมืองหลวงของโครเอเชีย ดินแดนแห่งทะเลเอเดรียติค ซึ่งมีความเก่าแก่แฝงด้วยเสน่ห์และมนต์ขลัง ซาเกรบเป็นเมืองแห่งศิลปวัฒนธรรมและเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 11
เที่ยง
บริการอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร (มื้อที่ 7) หลังอาหารนำท่านเข้าชม มหาวิหารเซนต์สตีเฟน (St. Stephen Cathedral) ซึ่งมียอดแหลมทรงกลวยคู่บนยอดวิหารตกแต่งอย่างงดงาม มหาวิหารนี้ก็ได้รับการบูรณะใหม่อีกหลายครั้ง จนกระทั่งรูปร่างมหาวิหารงดงามในรูปแบบนิโอ-โกธิค นำท่านสู่ เขต Upper Town แวะถ่ายรูปกับ วิหารเซนต์มาร์ก (St. Marks Church) ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองเก่าซาเกรบ สร้างขึ้นในราวศตวรรษที่ 13 หลังคามุงด้วยกระเบื้องสีต่างๆ ซึ่งเป็นรูปตราสัญลักษณ์ของซาเกรบ โครเอเชีย สโลวีเนีย และ ดัลมาเชีย ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นประเทศเดียวกัน (อดีตยูโกสลาเวีย) นำท่านชม โบสถ์เซนต์แคทเธอรีน (St. Catherine) โบสถ์แบบบาโรกสีขาวน่าประทับใจ นำท่านชมจุดชมวิวที่ท่านสามารถเห็นกรุงซาเกรบที่หลังคาอาคารเป็นสีแดงอิฐทั้งเมือง จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ อุทยานแห่งชาติพริตวิเซ่ (Plitvice National Park) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ อุทยานนี้มีพื้นที่ประมาณ 295 ตารางกิโลเมตร มีทะเลสาบสีเธอร์คอยซ์ถึง 16 แห่งที่มีความงดงามแตกต่างกัน
ค่ำ
บริการอาหารค่ำที่ภัตตาคาร (มื้อที่ 8) หลังอาหารนำท่านเดินทางเข้าที่พัก พักผ่อนกันตามสบาย (พัก JEZERO HOTEL หรือเทียบเท่า โรงแรมที่พักตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติพริตวิเซ่)
วันที่ห้า : อุทยานพริตวิเซ่ – เมืองซาดาร์
เช้า
บริการอาหารเช้าที่โรงแรม (มื้อที่ 9) หลังอาหารนำท่านเข้าชมความงามของ อุทยานแห่งชาติพลิตวิเซ่ (Plitvice National Park) นำท่านล่องเรือข้ามทะเลสาบ Jezero Kozjak ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในอุทยานแห่งนี้ อีกทั้งยังเป็นทะเลสาบที่เชื่อมระหว่างอุทยานตอนล่างขึ้นสู่ทะเลสาบชั้นบนของอุทยาน เพลิดเพลินกับธรรมชาติอันงดงามและความอลังการของ Lower Lake ที่ประกอบด้วยทะเลสาบ Milanovac, Gavanovac และ Kaluderovac เป็นต้น เดินชมทะเลสาบต่างๆ ตามทางเดินสะพานไม้ที่เชื่อมแต่ละทะเลสาบเข้าด้วยกัน ชม Veliki Slip ชมน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในอุทยานมีความสูงถึง 70 เมตร
เที่ยง
บริการอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร (มื้อที่ 10) หลังอาหารนำท่านเดินทางสู่ เมืองซาดาร์ (Zadar) เมืองที่มีประวัติศาสตร์มากว่า 3,000 ปีและเป็นเมืองท่าสำคัญของทะเลเอเดรียติค ที่มีบทบาทมาตั้งแต่สมัยโรมันจนถึงปัจจุบัน นำท่านถ่ายรูปกับโบสถ์สำคัญประจำเมือง โบสถ์อนาสตาเชีย (The Cathedral of St. Anastasia) เป็นโบสถ์โรมันคาทอลิกสร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 5-6 ในยุคโรมาเนสก์ เป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นดัลมัลเชีย นำท่านชมบริเวณด้านนอกโบสถ์เซนต์ โดแนท ซึ่งเป็นโบสถ์สำคัญประจำเมืองอีกแห่งหนี่ง ชม โรมันฟอรัมหรือย่านชุมชนของโรมัน เมื่อสองพันปีก่อนที่นักโบราณคดีได้ใช้ความอุตสาหะในการขุดค้นพบหลักฐานสำคัญต่างๆ ทั้งที่อยู่อาศัยชาวโรมัน
ค่ำ
บริการอาหารค่ำที่ภัตตาคาร (มื้อที่ 11) หลังอาหารนำท่านเดินทางเข้าที่พัก พักผ่อนกันตามอัธยาศัย (พัก KOLOVARE HOTEL หรือเทียบเท่า)
วันที่หก : เมืองซาดาร์ - เมืองสปลิท – เมืองสตอน – ชิมหอยนางรม - เมืองดูบลอฟนิค
เช้า
บริการอาหารเช้าที่โรงแรม (มื้อที่ 12) หลังอาหารนำท่านเดินทางสู่ เมืองสปลิท (Split) เมืองใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากเมืองซาเกรบ ซึ่งอยู่ในแคว้นดัลเมเชีย อันเป็นต้นกำเนิดของสุนัขพันธุ์ดัลมาเชี่ยนที่โด่งดัง เที่ยวชมเมืองสปริท ที่สร้างรายล้อมพระราชวังดิโอคลีเธี่ยน นำท่านชม ย่านPeople Square ศูนย์กลางทางธุรกิจและการบริหาร นำท่านเข้าชม พระราชวังดิโอคลีเธี่ยน (Diocletian Palace) องค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้ประกาศให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1979 สร้างขึ้นจากพระประสงค์ของจักรพรรดิ์ดิโอคลีเธี่ยนแห่งโรมัน ซึ่งต้องการสร้างพระราชวังสำหรับบั้นปลายชีวิตของพระองค์ ภายในพระราชวังประกอบด้วย วิหารจูปิเตอร์ (Catacombes) สุสานใต้ดินที่มีชื่อเสียงและวิหารต่างๆ นำท่านชมห้องโถงกลางซึ่งมีทางเดินที่เชื่อมต่อสู่ห้องอื่นๆ ชมลาน Peristyle ซึ่งล้อมด้วยเสาหินแกรนิต 3 ด้านและเชื่อมต่อด้วยโค้งเสาที่ตกแต่งด้วยช่อดอกไม้สลักอย่างวิจิตรสวยงามชมยอดระฆังแห่งวิหาร (The Cathedral Belfry) แท่นบูชาของเซนต์โดมินัสและเซนต์สตาดิอุส ซึ่งอยู่ภายในวิหาร
เที่ยง
บริการอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร (มื้อที่ 13) หลังอาหารนำท่านเดินทางสู่ เมืองสตอน (Ston) เมืองที่มีชื่อเสียงในเรื่องของอาหารทะเลรสเลิศ เนื่องจากภายในเมืองนั้นมีฟาร์มเลี้ยงหอยนางรมที่มีชื่อเสียง โดยท่านจะได้ชิมหอยนางรมสดๆจากฟาร์ม ซึ่งเมืองสตอนเป็นเมืองที่เปรียบเสมือนตัวแทนของประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมยุคกลางคือกำแพงเมืองโบราณ ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อล้อมรอบเมือง โดยกำแพงโบราณแห่งนี้ใช้เวลาในการก่อสร้างกำแพงนี้ประมาณ 200 ปี มีความยาวมากกว่า 5.5 กิโลเมตร จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมืองดูบรอฟนิค (Dubrovnik) โดยเดินทางเรียบชายฝั่งทะเลเอเดรียติก ผ่านบรรยากาศริมชายฝั่งทะเลที่มีบ้านเรือนหลังคากระเบื้องสีแสดสลับตามแนวชายฝั่ง โดยเมืองดูบรอฟนิคได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมืองเก่าที่สวยที่สุดในยุโรป สมญานาม "ไข่มุกแห่งทะเลเอเดรียติก" เป็นเมืองที่มีอำนาจทางทะเลตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 และมีความเจริญรุ่งเรืองทางการค้า จึงได้สร้างความยิ่งใหญ่ให้โดดเด่น ด้วยการตกแต่งพระราชวัง สร้างโบสถ์ วิหาร จัตุรัส น้ำพุ และบ้านเรือนต่างๆ และได้รับการบูรณะและปรับเปลี่ยนอย่างงดงามตามยุคสมัย
ค่ำ
บริการอาหารค่ำที่ภัตตาคาร (มื้อที่ 14) หลังอาหารนำท่านเดินทางเข้าที่พัก พักผ่อนกันตามอัธยาศัย (พัก ARISTON HOTEL หรือเทียบเท่า)
วันที่เจ็ด : เมืองดูบลอฟนิค – เมืองโมสตาร์ ประเทศบอสเนีย
เช้า
บริการอาหารเช้าที่โรงแรม (มื้อที่ 15) หลังอาหารนำท่านชมเสน่ห์ของ เขตเมืองเก่า (Old Town) ของเมืองดูบลอฟนิค ซึ่งองค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1979 ชมทัศนียภาพของตัวเมืองเก่ามีป้อมปราการโบราณความยาว 190 เมตรล้อมรอบ นำท่านเดินลอดประตู Pile Gate ที่มีรูปปั้นของนักบุญ เซนต์เบลส นักบุญประจำเมืองเพื่อเข้าสู่ใจกลางเมืองเก่า ชม น้ำพุ Onofrio ซึ่งเป็นตั้งเป็นเกียรติแก่ของสถาปนิกผู้สร้างน้ำพุแห่งนี้ นำท่านเข้าชม The Cathedral Treasury หนึ่งในโบสถ์เก่าแก่ที่สะสมโบราณวัตถุของพ่อค้าวาณิชที่ได้ทำการค้าขายกับชาวเวนิชในอดีต นำท่านถ่ายรูปกับ หอนาฬิกาโบราณ (Bell Tower Clock) จากนั้นนำท่านเข้าชม พระราชวังเรคเตอร์ (Rector's Palace) พระราชวังที่สร้างขึ้นโดยผสมผสานศิลปะทั้งแบบโกธิค, เรเนซองส์และบาโร๊ค ได้เวลานำท่านแวะชมและถ่ายรูปกับ สปอนซา พาเลส (Sponza Palace) สร้างขึ้นโดยศิลปะแบบโกธิค เรเนซองส์ ในสมัยศตวรรษที่ 15 ปัจจุบันได้ใช้เป็นที่จัดเก็บเอกสารและสำนักงานส่วนราชการ นำท่านเดินผ่านถนนสตราดัน ถนนสายหลักยาวกว่า 398 เมตร ที่สองข้างทางรายล้อมไปด้วยอาคารสไตล์โรมัน โกธิค และร้านค้า ร้านกาแฟ ร้านไอศครีม ร้านขายของที่ระลึกต่างๆ มากมาย อิสระให้ท่านช้อปปิ้งตามอัธยาศัย
เที่ยง
บริการอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร (มื้อที่ 16) หลังอาหารนำท่านเดินทางสู่ ประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา (Bosnia and Herzegovina) เพื่อนำท่านเดินทางสู่ เมืองโมสตาร์ (Mostar) เมืองมรดกโลกที่แสนงดงามและมากด้วยมนต์เสน่ห์ เมืองแห่งนี้ตั้งอยู่ระหว่างหุบเขาของเฮเซโกวีน่า มีแม่น้ำเนเรตว่า (Neretva) ไหลผ่านใจกลางเมืองและยังเป็นเมืองที่มีแสงแดดมากที่สุดในยุโรป นําท่านชม สะพานโบราณ (Old Bridge) หรือ สตารี มอสต์ (Stari Most) ที่โดดเด่นและเป็นสัญลักษณ์ของเมือง ชมย่านเมืองเก่า ชมเหล่าอาคารบ้านเรือนซึ่งส่วนใหญ่ล้วนสร้างขึ้นในแบบสถาปัตยกรรมแบบพรี-ออตโตมัน ออตโตมันตะวันออก เมดิเตอร์เรเนียนและยุโรปตะวันตก
ค่ำ
บริการอาหารค่ำที่ภัตตาคาร (มื้อที่ 17) หลังอาหารนำท่านเดินทางเข้าที่พัก พักผ่อนกันตามอัธยาศัย (พัก BRISTOL HOTEL หรือเทียบเท่า)
วันที่แปด : เมืองโมสตาร์ – เมืองซาราเจโว - อุโมงค์หนีภัย - สนามบิน – อิสตันบูล
เช้า
บริการอาหารเช้าที่โรงแรม (มื้อที่ 18) หลังอาหารนำท่านเดินทางสู่ เมืองซาราเจโว (Sarajevo) เมืองหลวงแห่งประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา (Bosnia and Herzegovina) เมืองที่มีเรื่องราวความเป็นมาและประวัติศาสตร์อย่างมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงสงครามยูโกสลาเวีย แต่ในปัจจุบันเมืองแห่งนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นเมืองที่มีความปลอดภัยมากที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป ซึ่งในปี 2011 – 2012 เมืองซาราเจโวถูกเลือกโดยนิตยสาร Lonely Planet ให้ติดอยู่ในสิบอันดับแรกของเมืองที่ท่านต้องเดินทางมาท่องเที่ยว และนอกจากนี้ในปี 2014 กรุงซาราเจโวเป็นเมืองเดียวที่อยู่นอกสหภาพยุโรปที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงในการที่จะได้เป็น European Capital of culture in 2014
เที่ยง
บริการอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร (มื้อที่ 19) หลังอาหารนำท่านชม ย่านเมืองเก่าซาราเยโว (Stari Grad) ย่านที่มีสถาปัตยกรรมหลากหลายสไตล์ นำท่านเข้าชมความงดงาม The Sacred Heart Cathedral เป็นมหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวินา เป็นที่ประจำตำแหน่งของพระราชาคณะของเมือง นำท่านชม สะพานลาติน (Latin Bridge) ซึ่งเป็นจุดที่อาร์ค ดยุค ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ (Franz Ferdinand) รัชทายาท แห่งราชวงศ์ออสเตรียถูกลอบปลงพระชนม์ โดยชาวซาราเยโวนายหนึ่ง จนกลายเป็นชนวนเหตุในการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ชม อุโมงค์หนีภัย (Sarajevo Tunnel) อุโมงค์ที่สร้างขึ้นในช่วงเกิดสงครามบอสเนีย สร้างโดยประชาชนชาวซาราเยโวเพื่อปกป้องและตัดขาดจากกองกำลังเซอร์เบีย และสามารถนำอาหาร ข้าวของ และความช่วยเหลือจากนานาชาติโดยผ่านทางอุโมงค์นี้
16.30 น.
นำคณะเดินทางสู่ สนามบินซาราเจโว เพื่อทำการเช็คอินสัมภาระ
20.35 น.
ออกเดินทางสู่ กรุงอิสตันบูล โดยสายการบินเตอร์กิช แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ TK 1026
23.30 น.
เดินทางถึง สนามบินอตาร์เติร์ก กรุงอิสตันบูล เพื่อรอเปลี่ยนเครื่อง
วันที่เก้า : สนามบินสุวรรณภูมิ
00.40 น.
ออกเดินทางสู่ กรุงเทพ โดยสายการบินเตอร์กิช แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ TK 068
14.15 น.
เดินทางถึง สนามบินสุวรรณภูมิ โดยสวัสดิภาพทุกท่าน
วันแรก : สนามบินสุวรรณภูมิ
20.30 น.
คณะพร้อมกัน สนามบินสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออก ชั้น 4 ประตู 9 เคาน์เตอร์ U สายการบิน เตอร์กิชแอร์ไลน์ มีเจ้าหน้าที่คอยต้อนรับและอำนวยความสะดวก
23.30 น.
ออกเดินทางสู่ กรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกี โดยสายการบินเตอร์กิช แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ TK 69 (บนเครื่องมีบริการอาหาร 2 รอบ)
วันที่สอง : อิสตันบูล – เวนิส อิตาลี ล่องเรือเกาะเวนิส จัตุรัสเซนต์มาร์โค เมสเตร้
05.3 น.
เดินทางถึง กรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกี เปลี่ยนเครื่องเพื่อเดินทางต่อไป เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี
08.10 น.
ออกเดินทางต่อสู่ กรุงเวนิส โดยสายการบินเตอร์กิช แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ TK 1867
09.45 น.
ถึง สนามบินเวนิส ประเทศอิตาลี (เวลาท้องถิ่นช้ากว่าประเทศไทย 5 ชั่วโมง) นำท่านผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรเมืองเวนิส จากนั้นนำเดินทางต่อสู่ ท่าเรือตรอนเคตโต้ (Tronchetto) นำท่าน ล่องเรือผ่านชมบ้านเรือนของชาวเวนิส สู่ เกาะเวนิส หรือ เวเนเซีย (Venezia) ดินแดนแสนโรแมนติก เป็นเมืองที่ไม่เหมือนใคร โดยใช้เรือแทนรถ ใช้คลองแทนถนน มีสมญานามว่าเป็น "ราชินีแห่งทะเลเอเดรียติก" มีเกาะน้อยใหญ่กว่า 118 เกาะ และมีสะพานเชื่อมถึงกันกว่า 400 แห่ง ขึ้นฝั่งที่บริเวณ ซานมาร์โค ศูนย์กลางของเกาะเวนิส
เที่ยง
บริการอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร (มื้อที่ 1) หลังอาหารนำท่านเดินชมความงามของเกาะเวนิส ชม สะพานถอนหายใจ (Bridge of Sighs) ที่มีเรื่องราวน่าสนใจในอดีต เมื่อนักโทษที่เดินออกจากห้องพิพากษาไปสู่คุกจะได้มีโอกาสเห็นแสงสว่างและโลกภายนอกเป็นครั้งสุดท้ายระหว่างเดินผ่านช่องหน้าต่างที่สะพานนี้ ซึ่งเชื่อมต่อกับวังดอดจ์ (Doge’s Palace) อันเป็นสถานที่พำนักของเจ้าผู้ครองนครเวนิสในอดีต ซึ่งนักโทษชื่อดังที่เคยเดินผ่านสะพานนี้มาเเล้วคือ คาสโนว่านั่นเอง นำท่านถ่ายรูปบริเวณ จัตุรัสซานมาร์โค (St.Mark’s Square) ที่นโปเลียนเคยกล่าวไว้ว่า “เป็นห้องนั่งเล่นที่สวยที่สุดในยุโรป” จัตุรัสถูกล้อมรอบด้วยอาเขตอันงดงาม รวมทั้ง โบสถ์ซานมาร์โค (St.Mark’s Bacilica) ที่มีโดมใหญ่ 5 โดม ตามแบบศิลปะไบแซนไทน์ จากนั้นอิสระให้ท่านได้มีเวลาเที่ยวชมเกาะอันแสนโรแมนติก เช่น เพื่อชมมนต์เสน่ห์แห่งนครเวนิส, เข้าชมโบสถ์ซานมาร์โค, เลือกซื้อสินค้าของที่ระลึกตามอัธยาศัย อาทิเช่น เครื่องแก้วมูราโน่,หน้ากากเวนิส หรือนั่งจิบกาแฟในร้าน จากนั้นนำท่านล่องเรือกลับขึ้นสู่ฝั่งเมสเตร้
ค่ำ
บริการอาหารค่ำที่ภัตตาคาร (มื้อที่ 2) หลังอาหารนำท่านเดินทางเข้าที่พัก พักผ่อนกันตามอัธยาศัย (พัก VILLA BRAIDA หรือเทียบเท่า)
วันที่สาม : สโลวีเนีย ถ้ำโพสทอยน่า – เมืองเบลด - เมืองลุบเบลียน่า
เช้า
บริการอาหารเช้าที่โรงแรม (มื้อที่ 3) หลังอาหารนำท่านเดินทางเข้าสู่ ประเทศสโลวีเนีย (Slovenia) ท่านจะได้สัมผัสกับทิวทัศน์ทุ่งหญ้าสลับภูเขา บ้านเรือนแถบชานเมืองในระหว่างการเดินทางสู่ ถ้ำโพสทอยน่า (Postojna Caverns) ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของ เมืองโพสทอยน่า (Postojna) ที่เปิดให้บริการมากว่า 188 ปี นำท่านเข้าชมความงามของ ถ้ำโพสทอยน่า ถ้ำที่สวยที่สุดในยุโรป ซึ่งมีอายุเก่าแก่กว่า 2 ล้านปี เป็นถ้ำที่มีความยาวถึง 27 กิโลเมตร เข้าชมภายในถ้ำโดยขบวนรถรางไฟฟ้าของทางถ้ำ (ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที) ซึ่งได้เปิดให้บริการในปี 1884 อุณหภูมิภายในถ้ำโดยเฉลี่ย 8-10 องศาเซลเซียส ทำให้มีหินงอกหินย้อย นำท่านผ่านลำธาร เขื่อนเก็บน้ำใต้ดิน ชมหินงอกหินย้อยหลากหลายแบบและสีสันสวยงามสุดพรรณนา ภายในถ้ำยังมีห้องต่างๆ มากมาย ลดหลั่นเป็นชั้นๆ ท่านจะได้ชมความงามอันยิ่งใหญ่ภายในถ้ำแห่งนี้ ที่ธรรมชาติได้สรรสร้างมานานกว่าล้านปี จากนั้นนำท่านชมความแปลกของ ปลามนุษย์ (Human fish) หรือ Olm สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ในถ้ำ ผิวสีเนื้อคล้ายมนุษย์ ลำตัวยาวคล้ายงู มีแขนและขา ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1768 และอาศัยอยู่ในที่มืด
เที่ยง
บริการอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร (มื้อที่ 4) หลังอาหารนำท่านเดินทางสู่ เมืองเบลด (Bled) เมืองแห่งโบสถ์กลางทะเลสาบสุดแสนโรแมนติกท่ามกลางหุบเขาจูเลียน แอลป์ (Julian Alps) ทะเลสาบ เบลดเกิดจากการละลายตัวของธารน้ำแข็งจากภูเขาจูเลียนแอลป์ นำท่าน นั่งเรือสู่เกาะกลางทะเลสาบเบลด ซึ่งเป็นที่ตั้งของโบสถ์พระแม่มารี (Assumption of Mary) ของเหล่านักแสวงบุญ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ชม โบสถ์และหอคอยกลางทะเลสาบ จากท่าเรือจะต้องเดินขึ้นบันไดไปอีก 99 ขั้น ซึ่งประเพณีท้องถิ่นคู่สมรสฝ่ายชายจะต้องอุ้มฝ่ายหญิงขึ้นบันได 99 ขั้นนี้ จากนั้นนำท่านสู่ เมืองลุบเบลียน่า (Ljubljana) เมืองหลวงของประเทศสโลวีเนีย (Slovenia) สัมผัสบรรยากาศเมืองหลวงที่ยังคงให้ท่านได้เห็นร่องรอยของสถาปัตยกรรมโบราณ อิทธิพลของศิลปะสไตล์บาโรก
ค่ำ
บริการอาหารค่ำที่ภัตตาคาร (มื้อที่ 5) หลังอาหารนำท่านเดินทางเข้าที่พัก พักผ่อนกันตามอัธยาศัย (พัก PLAZA HOTEL หรือเทียบเท่า)
วันที่สี่ : เมืองลุบเบลียน่า - โครเอเชีย เมืองซาเกร็บ – อุทยานแห่งชาติพลิตวิเซ่
เช้า
บริการอาหารเช้าที่โรงแรม (มื้อที่ 6) หลังอาหารนำท่านชม เมืองลุบเบลียน่า (Ljubljana) ชมสะพานมังกรที่ทอดข้ามแม่น้ำลุบเบลียยานิก้า แวะถ่ายรูปกับสถานที่สำคัญต่างๆภายในเมืองเช่น ศาลาว่าการเมือง มหาวิหารเซนต์ นิโคลัส ชม ปราสาทเมืองเก่า (Old town castle) ซึ่งตั้งอยู่บนเนินสูง โดยนั่งรถรางขึ้นสู่เนินเขา ซึ่งสามารถมองเห็นทัศนียภาพของเมืองได้อย่างชัดเจน ปราสาทแห่งนี้สร้างในสมัยศตวรรษที่ 11 ในศิลปะสไตล์บาโรกและได้ทำการบูรณะใหม่ในปี 1990 โดยได้บูรณะหอสูงในลักษณะสถาปัตยกรรมแบบโกธิค ณ จุดนี้ท่านสามารถชมวิวทิวทัศน์โดยรอบของเมืองลุบเบลียน่าได้ในระยะไกล จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมืองซาเกร็บ (Zagreb) เมืองหลวงของโครเอเชีย ดินแดนแห่งทะเลเอเดรียติค ซึ่งมีความเก่าแก่แฝงด้วยเสน่ห์และมนต์ขลัง ซาเกรบเป็นเมืองแห่งศิลปวัฒนธรรมและเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 11
เที่ยง
บริการอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร (มื้อที่ 7) หลังอาหารนำท่านเข้าชม มหาวิหารเซนต์สตีเฟน (St. Stephen Cathedral) ซึ่งมียอดแหลมทรงกลวยคู่บนยอดวิหารตกแต่งอย่างงดงาม มหาวิหารนี้ก็ได้รับการบูรณะใหม่อีกหลายครั้ง จนกระทั่งรูปร่างมหาวิหารงดงามในรูปแบบนิโอ-โกธิค นำท่านสู่ เขต Upper Town แวะถ่ายรูปกับ วิหารเซนต์มาร์ก (St. Marks Church) ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองเก่าซาเกรบ สร้างขึ้นในราวศตวรรษที่ 13 หลังคามุงด้วยกระเบื้องสีต่างๆ ซึ่งเป็นรูปตราสัญลักษณ์ของซาเกรบ โครเอเชีย สโลวีเนีย และ ดัลมาเชีย ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นประเทศเดียวกัน (อดีตยูโกสลาเวีย) นำท่านชม โบสถ์เซนต์แคทเธอรีน (St. Catherine) โบสถ์แบบบาโรกสีขาวน่าประทับใจ นำท่านชมจุดชมวิวที่ท่านสามารถเห็นกรุงซาเกรบที่หลังคาอาคารเป็นสีแดงอิฐทั้งเมือง จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ อุทยานแห่งชาติพริตวิเซ่ (Plitvice National Park) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ อุทยานนี้มีพื้นที่ประมาณ 295 ตารางกิโลเมตร มีทะเลสาบสีเธอร์คอยซ์ถึง 16 แห่งที่มีความงดงามแตกต่างกัน
ค่ำ
บริการอาหารค่ำที่ภัตตาคาร (มื้อที่ 8) หลังอาหารนำท่านเดินทางเข้าที่พัก พักผ่อนกันตามสบาย (พัก JEZERO HOTEL หรือเทียบเท่า โรงแรมที่พักตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติพริตวิเซ่)
วันที่ห้า : อุทยานพริตวิเซ่ – เมืองซาดาร์
เช้า
บริการอาหารเช้าที่โรงแรม (มื้อที่ 9) หลังอาหารนำท่านเข้าชมความงามของ อุทยานแห่งชาติพลิตวิเซ่ (Plitvice National Park) นำท่านล่องเรือข้ามทะเลสาบ Jezero Kozjak ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในอุทยานแห่งนี้ อีกทั้งยังเป็นทะเลสาบที่เชื่อมระหว่างอุทยานตอนล่างขึ้นสู่ทะเลสาบชั้นบนของอุทยาน เพลิดเพลินกับธรรมชาติอันงดงามและความอลังการของ Lower Lake ที่ประกอบด้วยทะเลสาบ Milanovac, Gavanovac และ Kaluderovac เป็นต้น เดินชมทะเลสาบต่างๆ ตามทางเดินสะพานไม้ที่เชื่อมแต่ละทะเลสาบเข้าด้วยกัน ชม Veliki Slip ชมน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในอุทยานมีความสูงถึง 70 เมตร
เที่ยง
บริการอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร (มื้อที่ 10) หลังอาหารนำท่านเดินทางสู่ เมืองซาดาร์ (Zadar) เมืองที่มีประวัติศาสตร์มากว่า 3,000 ปีและเป็นเมืองท่าสำคัญของทะเลเอเดรียติค ที่มีบทบาทมาตั้งแต่สมัยโรมันจนถึงปัจจุบัน นำท่านถ่ายรูปกับโบสถ์สำคัญประจำเมือง โบสถ์อนาสตาเชีย (The Cathedral of St. Anastasia) เป็นโบสถ์โรมันคาทอลิกสร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 5-6 ในยุคโรมาเนสก์ เป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นดัลมัลเชีย นำท่านชมบริเวณด้านนอกโบสถ์เซนต์ โดแนท ซึ่งเป็นโบสถ์สำคัญประจำเมืองอีกแห่งหนี่ง ชม โรมันฟอรัมหรือย่านชุมชนของโรมัน เมื่อสองพันปีก่อนที่นักโบราณคดีได้ใช้ความอุตสาหะในการขุดค้นพบหลักฐานสำคัญต่างๆ ทั้งที่อยู่อาศัยชาวโรมัน
ค่ำ
บริการอาหารค่ำที่ภัตตาคาร (มื้อที่ 11) หลังอาหารนำท่านเดินทางเข้าที่พัก พักผ่อนกันตามอัธยาศัย (พัก KOLOVARE HOTEL หรือเทียบเท่า)
วันที่หก : เมืองซาดาร์ - เมืองสปลิท – เมืองสตอน – ชิมหอยนางรม - เมืองดูบลอฟนิค
เช้า
บริการอาหารเช้าที่โรงแรม (มื้อที่ 12) หลังอาหารนำท่านเดินทางสู่ เมืองสปลิท (Split) เมืองใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากเมืองซาเกรบ ซึ่งอยู่ในแคว้นดัลเมเชีย อันเป็นต้นกำเนิดของสุนัขพันธุ์ดัลมาเชี่ยนที่โด่งดัง เที่ยวชมเมืองสปริท ที่สร้างรายล้อมพระราชวังดิโอคลีเธี่ยน นำท่านชม ย่านPeople Square ศูนย์กลางทางธุรกิจและการบริหาร นำท่านเข้าชม พระราชวังดิโอคลีเธี่ยน (Diocletian Palace) องค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้ประกาศให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1979 สร้างขึ้นจากพระประสงค์ของจักรพรรดิ์ดิโอคลีเธี่ยนแห่งโรมัน ซึ่งต้องการสร้างพระราชวังสำหรับบั้นปลายชีวิตของพระองค์ ภายในพระราชวังประกอบด้วย วิหารจูปิเตอร์ (Catacombes) สุสานใต้ดินที่มีชื่อเสียงและวิหารต่างๆ นำท่านชมห้องโถงกลางซึ่งมีทางเดินที่เชื่อมต่อสู่ห้องอื่นๆ ชมลาน Peristyle ซึ่งล้อมด้วยเสาหินแกรนิต 3 ด้านและเชื่อมต่อด้วยโค้งเสาที่ตกแต่งด้วยช่อดอกไม้สลักอย่างวิจิตรสวยงามชมยอดระฆังแห่งวิหาร (The Cathedral Belfry) แท่นบูชาของเซนต์โดมินัสและเซนต์สตาดิอุส ซึ่งอยู่ภายในวิหาร
เที่ยง
บริการอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร (มื้อที่ 13) หลังอาหารนำท่านเดินทางสู่ เมืองสตอน (Ston) เมืองที่มีชื่อเสียงในเรื่องของอาหารทะเลรสเลิศ เนื่องจากภายในเมืองนั้นมีฟาร์มเลี้ยงหอยนางรมที่มีชื่อเสียง โดยท่านจะได้ชิมหอยนางรมสดๆจากฟาร์ม ซึ่งเมืองสตอนเป็นเมืองที่เปรียบเสมือนตัวแทนของประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมยุคกลางคือกำแพงเมืองโบราณ ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อล้อมรอบเมือง โดยกำแพงโบราณแห่งนี้ใช้เวลาในการก่อสร้างกำแพงนี้ประมาณ 200 ปี มีความยาวมากกว่า 5.5 กิโลเมตร จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมืองดูบรอฟนิค (Dubrovnik) โดยเดินทางเรียบชายฝั่งทะเลเอเดรียติก ผ่านบรรยากาศริมชายฝั่งทะเลที่มีบ้านเรือนหลังคากระเบื้องสีแสดสลับตามแนวชายฝั่ง โดยเมืองดูบรอฟนิคได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมืองเก่าที่สวยที่สุดในยุโรป สมญานาม "ไข่มุกแห่งทะเลเอเดรียติก" เป็นเมืองที่มีอำนาจทางทะเลตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 และมีความเจริญรุ่งเรืองทางการค้า จึงได้สร้างความยิ่งใหญ่ให้โดดเด่น ด้วยการตกแต่งพระราชวัง สร้างโบสถ์ วิหาร จัตุรัส น้ำพุ และบ้านเรือนต่างๆ และได้รับการบูรณะและปรับเปลี่ยนอย่างงดงามตามยุคสมัย
ค่ำ
บริการอาหารค่ำที่ภัตตาคาร (มื้อที่ 14) หลังอาหารนำท่านเดินทางเข้าที่พัก พักผ่อนกันตามอัธยาศัย (พัก ARISTON HOTEL หรือเทียบเท่า)
วันที่เจ็ด : เมืองดูบลอฟนิค – เมืองโมสตาร์ ประเทศบอสเนีย
เช้า
บริการอาหารเช้าที่โรงแรม (มื้อที่ 15) หลังอาหารนำท่านชมเสน่ห์ของ เขตเมืองเก่า (Old Town) ของเมืองดูบลอฟนิค ซึ่งองค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1979 ชมทัศนียภาพของตัวเมืองเก่ามีป้อมปราการโบราณความยาว 190 เมตรล้อมรอบ นำท่านเดินลอดประตู Pile Gate ที่มีรูปปั้นของนักบุญ เซนต์เบลส นักบุญประจำเมืองเพื่อเข้าสู่ใจกลางเมืองเก่า ชม น้ำพุ Onofrio ซึ่งเป็นตั้งเป็นเกียรติแก่ของสถาปนิกผู้สร้างน้ำพุแห่งนี้ นำท่านเข้าชม The Cathedral Treasury หนึ่งในโบสถ์เก่าแก่ที่สะสมโบราณวัตถุของพ่อค้าวาณิชที่ได้ทำการค้าขายกับชาวเวนิชในอดีต นำท่านถ่ายรูปกับ หอนาฬิกาโบราณ (Bell Tower Clock) จากนั้นนำท่านเข้าชม พระราชวังเรคเตอร์ (Rector's Palace) พระราชวังที่สร้างขึ้นโดยผสมผสานศิลปะทั้งแบบโกธิค, เรเนซองส์และบาโร๊ค ได้เวลานำท่านแวะชมและถ่ายรูปกับ สปอนซา พาเลส (Sponza Palace) สร้างขึ้นโดยศิลปะแบบโกธิค เรเนซองส์ ในสมัยศตวรรษที่ 15 ปัจจุบันได้ใช้เป็นที่จัดเก็บเอกสารและสำนักงานส่วนราชการ นำท่านเดินผ่านถนนสตราดัน ถนนสายหลักยาวกว่า 398 เมตร ที่สองข้างทางรายล้อมไปด้วยอาคารสไตล์โรมัน โกธิค และร้านค้า ร้านกาแฟ ร้านไอศครีม ร้านขายของที่ระลึกต่างๆ มากมาย อิสระให้ท่านช้อปปิ้งตามอัธยาศัย
เที่ยง
บริการอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร (มื้อที่ 16) หลังอาหารนำท่านเดินทางสู่ ประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา (Bosnia and Herzegovina) เพื่อนำท่านเดินทางสู่ เมืองโมสตาร์ (Mostar) เมืองมรดกโลกที่แสนงดงามและมากด้วยมนต์เสน่ห์ เมืองแห่งนี้ตั้งอยู่ระหว่างหุบเขาของเฮเซโกวีน่า มีแม่น้ำเนเรตว่า (Neretva) ไหลผ่านใจกลางเมืองและยังเป็นเมืองที่มีแสงแดดมากที่สุดในยุโรป นําท่านชม สะพานโบราณ (Old Bridge) หรือ สตารี มอสต์ (Stari Most) ที่โดดเด่นและเป็นสัญลักษณ์ของเมือง ชมย่านเมืองเก่า ชมเหล่าอาคารบ้านเรือนซึ่งส่วนใหญ่ล้วนสร้างขึ้นในแบบสถาปัตยกรรมแบบพรี-ออตโตมัน ออตโตมันตะวันออก เมดิเตอร์เรเนียนและยุโรปตะวันตก
ค่ำ
บริการอาหารค่ำที่ภัตตาคาร (มื้อที่ 17) หลังอาหารนำท่านเดินทางเข้าที่พัก พักผ่อนกันตามอัธยาศัย (พัก BRISTOL HOTEL หรือเทียบเท่า)
วันที่แปด : เมืองโมสตาร์ – เมืองซาราเจโว - อุโมงค์หนีภัย - สนามบิน – อิสตันบูล
เช้า
บริการอาหารเช้าที่โรงแรม (มื้อที่ 18) หลังอาหารนำท่านเดินทางสู่ เมืองซาราเจโว (Sarajevo) เมืองหลวงแห่งประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา (Bosnia and Herzegovina) เมืองที่มีเรื่องราวความเป็นมาและประวัติศาสตร์อย่างมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงสงครามยูโกสลาเวีย แต่ในปัจจุบันเมืองแห่งนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นเมืองที่มีความปลอดภัยมากที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป ซึ่งในปี 2011 – 2012 เมืองซาราเจโวถูกเลือกโดยนิตยสาร Lonely Planet ให้ติดอยู่ในสิบอันดับแรกของเมืองที่ท่านต้องเดินทางมาท่องเที่ยว และนอกจากนี้ในปี 2014 กรุงซาราเจโวเป็นเมืองเดียวที่อยู่นอกสหภาพยุโรปที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงในการที่จะได้เป็น European Capital of culture in 2014
เที่ยง
บริการอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร (มื้อที่ 19) หลังอาหารนำท่านชม ย่านเมืองเก่าซาราเยโว (Stari Grad) ย่านที่มีสถาปัตยกรรมหลากหลายสไตล์ นำท่านเข้าชมความงดงาม The Sacred Heart Cathedral เป็นมหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวินา เป็นที่ประจำตำแหน่งของพระราชาคณะของเมือง นำท่านชม สะพานลาติน (Latin Bridge) ซึ่งเป็นจุดที่อาร์ค ดยุค ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ (Franz Ferdinand) รัชทายาท แห่งราชวงศ์ออสเตรียถูกลอบปลงพระชนม์ โดยชาวซาราเยโวนายหนึ่ง จนกลายเป็นชนวนเหตุในการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ชม อุโมงค์หนีภัย (Sarajevo Tunnel) อุโมงค์ที่สร้างขึ้นในช่วงเกิดสงครามบอสเนีย สร้างโดยประชาชนชาวซาราเยโวเพื่อปกป้องและตัดขาดจากกองกำลังเซอร์เบีย และสามารถนำอาหาร ข้าวของ และความช่วยเหลือจากนานาชาติโดยผ่านทางอุโมงค์นี้
16.30 น.
นำคณะเดินทางสู่ สนามบินซาราเจโว เพื่อทำการเช็คอินสัมภาระ
20.35 น.
ออกเดินทางสู่ กรุงอิสตันบูล โดยสายการบินเตอร์กิช แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ TK 1026
23.30 น.
เดินทางถึง สนามบินอตาร์เติร์ก กรุงอิสตันบูล เพื่อรอเปลี่ยนเครื่อง
วันที่เก้า : สนามบินสุวรรณภูมิ
00.40 น.
ออกเดินทางสู่ กรุงเทพ โดยสายการบินเตอร์กิช แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ TK 068
14.15 น.
เดินทางถึง สนามบินสุวรรณภูมิ โดยสวัสดิภาพทุกท่าน
รายชื่อโรงแรมใน โตเกียว (Hotel in Tokyo) ประเทศญี่ปุ่น (Japan)
รายชื่อโรงแรมใน โตเกียว (Hotel in Tokyo) ประเทศญี่ปุ่น (Japan)
- Shinjuku New City Hotel ★★
- Atagoyama Tokyu Inn ★★★
- Hearton Higashi Shinagawa ★★★
- Shinjuku Washington Hotel (Main Bldg) ★★★
- Hotel Sunroute Plaza Shinjuku ★★★
- Asakusa View Hotel ★★★
- Keio Plaza Hotel (SUPERIOR) ★★★★
รายชื่อโรงแรมใน ฮาโกเนะ (Hotel in Hakone) ประเทศญี่ปุ่น (Japan)
1. HOTEL OKADA - 7 นาที โดยรถบัส จาก Yumoto station
ออนเซน / มีน ้ําออนเซนถึง 7 ชนิด มีทั้งแบบ Public open -air , Public indoor bath , Private indoor bath
2. GREEN PLAZA HAKONE - เดิน 5 นาทีจาก Ubako sta. โดย Hakone Ropeway หรือ 35 นาทีโดย รถบัสจากสถานี Hakone - Yumoto
ออนเซน มีทั้ง Public open - air และ Public Indoor bath
3. HAKONE HOTEL KOWAKIEN - 20 นาที โดยรถบัสจาก Hakone - Yumoto Sta.
4. Hotel Senkei - 4 นาทีโดยรถบัส จากสถานี Hakone - Yumoto
ออนเซน 1. Public Open Air bath เปิดเวลา 15:00 - 24:00 และ 06:00 - 10:00
2. Public Big Indoor bath : เปิดเวลา 15:00 - 02:00 และ 06:00 - 10:00
5. SETSUGETSUKA HOTEL - จากสถานี Hakone - Yumoto ใช้ Hakone Tozan รถไฟไป ลงที่ Gora ( ประมาณ 40 นาที ) - เดิน 1 นาทีจากสถานี Gora
ออนเซน Public Open Air bath , Indoor , Private Open Air bath 3 ห้อง(ฟรี)
Hakone Free Pass สามารถใช้ กับรถไฟ, รถบัส และเรือ ได้ดังต่อไปนี้
1. HAKONE TOZAN TRAIN
2. HAKONE TOZAN CABLE CAR
3. HAKONE ROPEWAY
4. HAKONE SIGHTSEEING CRUISE
5. HAKONE TOZAN BUS
6. ODAKYU HAKONE HIGHWAY BUS (IN DESIGNATED ZONES)
7. "KANKO SHISETSU - MEGURI"Bus (Tourist - facilities Round Bus)
8. NUMAZU TOZAN TOKAI BUS
ข้อมูล http://www.his-bkk.com/th/pdf/fit2015/Hakone%20Land%20PKG.pdf
รายชื่อโรงแรมใน โอซาก้า (Hotel in Osaka) ประเทศญี่ปุ่น (Japan)
รายชื่อโรงแรมใน โอซาก้า (Hotel in Osaka) ประเทศญี่ปุ่น (Japan)
- Umeda Os Hotel ★★★ เดิน 2 นาทีจากสถานีรถไฟใต้ดิน Higashi - Umeda
- Hearton Hotel Shinsaibashi ★★★ เดิน 1 นาทีจากสถานีรถไฟใต้ดิน Shinsaibashi (Exit C no7)
- Sherat on Miyako Hotel Osaka ★★★★ เดิน 2 นาทีจากสถานีรถไฟใต้ดิน Osaka - kamihonmachi
- Tennoji Miyako Hotel ★★★★ เดิน 2 นาทีจากสถานีรถไฟ ใต้ดิน & JR Ten noji
- Osaka Dai-ichi Hotel ★★★ เดิน 1 - 3 นาทีจากสถานีรถไฟ ใต้ดิน JR Osaka &Kitashinchi
- Osaka Tokyu REI Hotel ★★★★ เดิน 10 นาทีจากสถานีรถไฟ ใต้ดิน JR Osaka
พระมหามุนี เมืองมัณฑะเลย์
พระมหามุนี เมืองมัณฑะเลย์
พระมหามัยมุนีเป็นอีกสถานที่ติด 1 ใน 5 ของมหาบูชาสถานสูงสุดของประเทศพม่า นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาทัวร์พม่า ไม่อยากให้พลาดกับสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ ถือว่าเป็นสถานที่ของสำคัญของพม่าเลยทีเดียว
พระมหามัยมุนีมีความสวยงามเป็นอย่างมากมีตำนานเล่าขานกันว่า พระเจ้าจันทสุริยะ กษัตริย์ของยะไข่เมืองธัญญวดีได้สร้างพระมหามัยมุนี ในปี พ.ศ.689 หรือประมาณเกือบสองพันปี ชื่อนั้นมีความว่า มหาปราชญ์ เหตุผลที่สร้างขึ้นมาก็เพราะว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาเข้าฝันประทานพรแก่พรเจ้าจันทสุริยะให้สร้างพระพุทธรูปองค์นี้ขึ้นมาเพื่อให้ศาสนาพุทธนั้นรุ่งเรือง แต่เนื่องจากว่าพระมหามันมุนีนั้นมีขนาดใหญ่จึงหล่อแยกชิ้นส่วนแล้วนำมีประกอบเข้าด้วยกันแบบไม่เห็นรอยต่อเลยทีเดียวซึ่งมีความเชื่อกันว่าเป็นเพราะพรของพระศาสดาที่ได้ประทานไว้ให้ พระมหามัยมุนีมีความสวยงามเป็นอย่างมากและมีความศักดิ์สิทธิ์ชื่อเสียงจึงโด่งดังไปทั่วในสมัยนั้นเลยเป็นที่หมายตาจองกษัตริย์ทั้งหลายต่างพยายามยกทัพไปชะลอพระพุทธรูปองค์นี้มาประดิษฐานเพื่อเป็นสิริมงคลต่อพม่าเอง แต่ก็ต้องล้มเลิกไปครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะความทุรกันดารตลอดเส้นทางนั่นเองเนื่องจากมีแต่แม่น้ำและภูเขาสูงจึงทำไม่สำเร็จ แต่แล้วมาถึงสมัยของพระเจ้าปดุงสามารถนำพระมหามัยมุนีมาไว้ที่กรุงมัณฑะเลย์เมื่อปี พ.ศ.2327 จนในปัจจุบันคนพม่านั้นยังคงเรียกชื่อว่า พระยะไข่ วัดแห่งนี้มีธรรมเนียมเช่นกับสถานที่สำคัญอื่นๆในพม่าก็คือ ที่นี่ไม่อนุญาตให้สุภาพสตรีเข้าใกล้องค์ได้เท่ากับผู้ชายซึ่งสามารถไปปิดทองที่องค์พระได้ นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาทัวร์พม่าที่เป็นสตรีนั้นจะมีเขตให้กราบองค์พระได้ระยะใกล้สุดประมาณ 10 เมตร สตรีก็สามารถซื้อแผ่นทองฝากผู้ชายขึ้นไปปิดทองแทนได้ แต่ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่สตรีนั้นสามารถสัมผัสพระได้ก็คือใช้แป้งตะนะคาที่ใช้ล้างพระพักตร์ของพระมหามัยมุนีทุกๆเข้า ทางวันจะจัดพื้นที่บริเวณลานหน้าองค์พระ ให้นักท่องเที่ยวที่มาทัวร์พม่าและประชาชนช่วยกันฝนท่อนไม้ตะนะคาเพื่อให้ได้แป้งหอมจากเปลือกไม้มาใส่ในผอบแล้วน้ำไปผสมน้ำมาพนมพระพักตร์ขององค์พระ
พระมหามัยมุนีเป็นองค์พระที่สง่างามเป็นอย่างมากที่นี่จึงมีนักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวชมและกราบไหว้สักการะให้เกิดสิริมงคลแก่ตัวเองกันเป็นจำนวนมาก พระมหามัยมุนีเป็น 1 ใน 5 สถานที่สำคัญของประเทศพม่าเลยทีเดียว จึงอยากแนะนำนักท่องเที่ยวให้ลองมาเที่ยวชมกันดูสักครั้งว่าสวยงามสมคำที่เขาล่ำลือกันจริงหรือไม่ค่ะ
พระมหามัยมุนีเป็นอีกสถานที่ติด 1 ใน 5 ของมหาบูชาสถานสูงสุดของประเทศพม่า นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาทัวร์พม่า ไม่อยากให้พลาดกับสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ ถือว่าเป็นสถานที่ของสำคัญของพม่าเลยทีเดียว
พระมหามัยมุนีมีความสวยงามเป็นอย่างมากมีตำนานเล่าขานกันว่า พระเจ้าจันทสุริยะ กษัตริย์ของยะไข่เมืองธัญญวดีได้สร้างพระมหามัยมุนี ในปี พ.ศ.689 หรือประมาณเกือบสองพันปี ชื่อนั้นมีความว่า มหาปราชญ์ เหตุผลที่สร้างขึ้นมาก็เพราะว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาเข้าฝันประทานพรแก่พรเจ้าจันทสุริยะให้สร้างพระพุทธรูปองค์นี้ขึ้นมาเพื่อให้ศาสนาพุทธนั้นรุ่งเรือง แต่เนื่องจากว่าพระมหามันมุนีนั้นมีขนาดใหญ่จึงหล่อแยกชิ้นส่วนแล้วนำมีประกอบเข้าด้วยกันแบบไม่เห็นรอยต่อเลยทีเดียวซึ่งมีความเชื่อกันว่าเป็นเพราะพรของพระศาสดาที่ได้ประทานไว้ให้ พระมหามัยมุนีมีความสวยงามเป็นอย่างมากและมีความศักดิ์สิทธิ์ชื่อเสียงจึงโด่งดังไปทั่วในสมัยนั้นเลยเป็นที่หมายตาจองกษัตริย์ทั้งหลายต่างพยายามยกทัพไปชะลอพระพุทธรูปองค์นี้มาประดิษฐานเพื่อเป็นสิริมงคลต่อพม่าเอง แต่ก็ต้องล้มเลิกไปครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะความทุรกันดารตลอดเส้นทางนั่นเองเนื่องจากมีแต่แม่น้ำและภูเขาสูงจึงทำไม่สำเร็จ แต่แล้วมาถึงสมัยของพระเจ้าปดุงสามารถนำพระมหามัยมุนีมาไว้ที่กรุงมัณฑะเลย์เมื่อปี พ.ศ.2327 จนในปัจจุบันคนพม่านั้นยังคงเรียกชื่อว่า พระยะไข่ วัดแห่งนี้มีธรรมเนียมเช่นกับสถานที่สำคัญอื่นๆในพม่าก็คือ ที่นี่ไม่อนุญาตให้สุภาพสตรีเข้าใกล้องค์ได้เท่ากับผู้ชายซึ่งสามารถไปปิดทองที่องค์พระได้ นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาทัวร์พม่าที่เป็นสตรีนั้นจะมีเขตให้กราบองค์พระได้ระยะใกล้สุดประมาณ 10 เมตร สตรีก็สามารถซื้อแผ่นทองฝากผู้ชายขึ้นไปปิดทองแทนได้ แต่ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่สตรีนั้นสามารถสัมผัสพระได้ก็คือใช้แป้งตะนะคาที่ใช้ล้างพระพักตร์ของพระมหามัยมุนีทุกๆเข้า ทางวันจะจัดพื้นที่บริเวณลานหน้าองค์พระ ให้นักท่องเที่ยวที่มาทัวร์พม่าและประชาชนช่วยกันฝนท่อนไม้ตะนะคาเพื่อให้ได้แป้งหอมจากเปลือกไม้มาใส่ในผอบแล้วน้ำไปผสมน้ำมาพนมพระพักตร์ขององค์พระ
พระมหามัยมุนีเป็นองค์พระที่สง่างามเป็นอย่างมากที่นี่จึงมีนักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวชมและกราบไหว้สักการะให้เกิดสิริมงคลแก่ตัวเองกันเป็นจำนวนมาก พระมหามัยมุนีเป็น 1 ใน 5 สถานที่สำคัญของประเทศพม่าเลยทีเดียว จึงอยากแนะนำนักท่องเที่ยวให้ลองมาเที่ยวชมกันดูสักครั้งว่าสวยงามสมคำที่เขาล่ำลือกันจริงหรือไม่ค่ะ
ประเทศพม่าระฆังมิงกุน เจดีย์ชินพิวมิน วัดกวงมูดอร์ เมืองสกายน์
ประเทศพม่าระฆังมิงกุน เจดีย์ชินพิวมิน วัดกวงมูดอร์ เมืองสกายน์
ระฆังมิงกุนนั้นอยู่ไม่ห่างจากฐานพระเจดีย์มิงกุนเท่าไรนัก ระฆังมิงกุนพระเจ้าปดุงสั่งให้สร้างให้สำเร็จเพื่อที่จะอุทิศถวายแด่มหาเจดีย์มิงกุนจึงได้มีขนาดใหญ่โตคู่กับพระเจดีย์ นักท่องเที่ยวที่มาทัวร์พม่าจะเห็นว่าเป็นระฆังที่มีขนาดใหญ่มากมีเส้นรอบวงประมาณ 10 เมตร มีความสูง 3.70 เมตร และมีน้ำหนักถึง 87 ตันเลยทีเดียว ซึ่งมีเรื่องเล่าขานกันมาว่าพระเจ้าปดุงนั้นไม่ต้องการให้ใครสร้างระฆังขึ้นมาเพื่อเลียนแบบจึงได้สั่งให้ประหารชีวิตนายช่างทันทีหลังจากที่สร้างเสร็จ ในปัจจุบันนั้นถือว่าเป็นระฆังยักษ์ขนาดเล็กกว่าระฆังแห่งราชวังเครมลินในกรุงมอสโกเพียงใบเดียวเท่านั้น ถ้าระฆังของเครมลินนั้นได้แตกร้าวและพังทลายลงไปคนพม่านั้นจะมีความภูมิใจเป็นอย่างมากว่าระฆังมิงกุนนั้นยังคงเป็นระฆังยักษ์ที่มีเสียงดังกังวานและในปัจจุบันนั้นยังมีการทดสอบความกว้างของระฆังใบนี้ด้วยการนำเด็กตัวเล็กๆไปยืนรวมกันอยู่ใต้ระฆังซึ่งสามารถจุเด็กได้ 100 คน
เจดีย์ชินพิวมิน (เมียะเต็งดาน) เจดีย์นี้ประดิษฐานอยู่ทางเหนือของระฆังมิงกุนไม่ไกลเท่าไรนัก และพระเจดีย์ชิยพิวมินนั้นยังได้ชื่อว่าเป็นเจดีย์ที่มีความสวยสดงดงามเป็นอย่างมากอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2359 โดยพระเจ้าบากะยีดอว์ซึ่งเป็นพระนัดดาในพระเจ้าปดุง สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรักที่พระองค์นั้นได้มีต่อพระมหาเทวีชินพิวมินซึ่งได้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร ท่านจึงได้รับสมญานามว่า ทัชมาฮาลแห่งลุ่มอิระวดี เจดีย์องค์นี้เป็นพุทธศิลป์ที่สร้างขึ้นด้วยหลักการภูมิจักรวาลคือจะมีองค์เจดีย์สถิตอยู่ตรงกลาง ณ ยอดเขาพระสุเมรุ ซึ่งเป็นความเชื่อของชาวพุทธว่าเป็นศูนย์กลางของโลกและจักรวาลนั่นเองและล้อมรอบด้วยภูเขาและมหาสมุทรตามหลักการของไตรภูมิพระร่วง
วัดกวงมูดอร์ หรือวัดเจดีย์นมนาง เป็นศาสนสถานสำคัญของเมืองสกายน์ วัดแห่งนี้สร้างขึ้นโดยพระเจ้าต้าหลู่ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1636 เพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานของพระเขี้ยวแก้วหรือพระทันตธาตุของพระพุทธเข้าที่ได้มาจากลังกา เจดีย์องค์นี้เป็นเจดีย์ที่มีรูปทรงเป็นโอคว่ำแบบสิงหล หรือเจดีย์ทรงลังกา มีตำนานเล่ากันว่าองค์ระฆังทรงกลมผ่าคึ่งซีกนี้ได้ต้นแบบมาจากถัน พระชายาคนที่พระเจ้าต้าหลู่นั้นโปรดปรานมากที่สุด องค์เจดีย์นั้นมีความสูงประมาณ 46 เมตร เส้นรอบวงนั้นวัดได้ 274 เมตร
เมืองสกายน์นั้นมีสถานที่ให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาทัวร์พม่าได้เที่ยวชมอีกมากมาย สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาทัวร์พม่าแล้วไม่อยากให้พลาดกับสถานที่สำคัญๆของประเทศพม่า
ระฆังมิงกุนนั้นอยู่ไม่ห่างจากฐานพระเจดีย์มิงกุนเท่าไรนัก ระฆังมิงกุนพระเจ้าปดุงสั่งให้สร้างให้สำเร็จเพื่อที่จะอุทิศถวายแด่มหาเจดีย์มิงกุนจึงได้มีขนาดใหญ่โตคู่กับพระเจดีย์ นักท่องเที่ยวที่มาทัวร์พม่าจะเห็นว่าเป็นระฆังที่มีขนาดใหญ่มากมีเส้นรอบวงประมาณ 10 เมตร มีความสูง 3.70 เมตร และมีน้ำหนักถึง 87 ตันเลยทีเดียว ซึ่งมีเรื่องเล่าขานกันมาว่าพระเจ้าปดุงนั้นไม่ต้องการให้ใครสร้างระฆังขึ้นมาเพื่อเลียนแบบจึงได้สั่งให้ประหารชีวิตนายช่างทันทีหลังจากที่สร้างเสร็จ ในปัจจุบันนั้นถือว่าเป็นระฆังยักษ์ขนาดเล็กกว่าระฆังแห่งราชวังเครมลินในกรุงมอสโกเพียงใบเดียวเท่านั้น ถ้าระฆังของเครมลินนั้นได้แตกร้าวและพังทลายลงไปคนพม่านั้นจะมีความภูมิใจเป็นอย่างมากว่าระฆังมิงกุนนั้นยังคงเป็นระฆังยักษ์ที่มีเสียงดังกังวานและในปัจจุบันนั้นยังมีการทดสอบความกว้างของระฆังใบนี้ด้วยการนำเด็กตัวเล็กๆไปยืนรวมกันอยู่ใต้ระฆังซึ่งสามารถจุเด็กได้ 100 คน
เจดีย์ชินพิวมิน (เมียะเต็งดาน) เจดีย์นี้ประดิษฐานอยู่ทางเหนือของระฆังมิงกุนไม่ไกลเท่าไรนัก และพระเจดีย์ชิยพิวมินนั้นยังได้ชื่อว่าเป็นเจดีย์ที่มีความสวยสดงดงามเป็นอย่างมากอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2359 โดยพระเจ้าบากะยีดอว์ซึ่งเป็นพระนัดดาในพระเจ้าปดุง สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรักที่พระองค์นั้นได้มีต่อพระมหาเทวีชินพิวมินซึ่งได้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร ท่านจึงได้รับสมญานามว่า ทัชมาฮาลแห่งลุ่มอิระวดี เจดีย์องค์นี้เป็นพุทธศิลป์ที่สร้างขึ้นด้วยหลักการภูมิจักรวาลคือจะมีองค์เจดีย์สถิตอยู่ตรงกลาง ณ ยอดเขาพระสุเมรุ ซึ่งเป็นความเชื่อของชาวพุทธว่าเป็นศูนย์กลางของโลกและจักรวาลนั่นเองและล้อมรอบด้วยภูเขาและมหาสมุทรตามหลักการของไตรภูมิพระร่วง
วัดกวงมูดอร์ หรือวัดเจดีย์นมนาง เป็นศาสนสถานสำคัญของเมืองสกายน์ วัดแห่งนี้สร้างขึ้นโดยพระเจ้าต้าหลู่ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1636 เพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานของพระเขี้ยวแก้วหรือพระทันตธาตุของพระพุทธเข้าที่ได้มาจากลังกา เจดีย์องค์นี้เป็นเจดีย์ที่มีรูปทรงเป็นโอคว่ำแบบสิงหล หรือเจดีย์ทรงลังกา มีตำนานเล่ากันว่าองค์ระฆังทรงกลมผ่าคึ่งซีกนี้ได้ต้นแบบมาจากถัน พระชายาคนที่พระเจ้าต้าหลู่นั้นโปรดปรานมากที่สุด องค์เจดีย์นั้นมีความสูงประมาณ 46 เมตร เส้นรอบวงนั้นวัดได้ 274 เมตร
เมืองสกายน์นั้นมีสถานที่ให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาทัวร์พม่าได้เที่ยวชมอีกมากมาย สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาทัวร์พม่าแล้วไม่อยากให้พลาดกับสถานที่สำคัญๆของประเทศพม่า
Wednesday, May 13, 2015
เที่ยวประเทศญี่ปุ่น ภูมิภาคคันไซ (โอซาก้า (Osaka) - เกียวโต (Kyoto) - โกเบ (Kobe)) 8 วัน 6 คืน โดยสายการบินเวียดนามแอร์ไลน์ กับกาท่องเที่ยวด้วยตัวเอง
เที่ยวประเทศญี่ปุ่น ภูมิภาคคันไซ (โอซาก้า - เกียวโต - โกเบ) 8 วัน 6 คืน ท่องเที่ยวด้วยตัวเอง
ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่าเพิ่งเคยไปแทบคันไซเป็นครั้งแรก และเป็นการเดินทางแบบ Backpacker คือเดินทางเอง ท่องเที่ยวเอง
การเดินทางเองและท่องเที่ยวในเมืองนั้นๆเองนัั้น ก่อนอื่นเราต้องทำการจองตัวเครื่องบินและโรงแรมที่เราจะพักเองด้วย ตอนนี้ประเทศญี่ปุ่นให้วีซ่าท่องเที่ยวกับ ผู้ถือ Passport ไทย ให้สามารถพักและท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่นได้เป็นเวลา 15 วัน
ซึ่งในครั้งนี้เราได้พักที่ โอซาก้า จำนวน 6 คืน เพราะการเดินทางไปเที่ยวเมืองเกียว และ เมืองโกเบ สามารถไปเช้า เย็นกลับได้ เพราะใช้เวลาเดินทางไม่นาน
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ค่าใช้จ่ายทิป 8 วัน 6 คืน ดังนี้
ตั๋วเครื่องบิน (เวียดนามแอร์) + โรงแรม (New Hankyu Osaka) ราคา 22,100 บาท
ค่าตั๋วรถบัสรับส่งสนามบิน-โรงแรม + ตั๋วรถไฟ
ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่าเพิ่งเคยไปแทบคันไซเป็นครั้งแรก และเป็นการเดินทางแบบ Backpacker คือเดินทางเอง ท่องเที่ยวเอง
การเดินทางเองและท่องเที่ยวในเมืองนั้นๆเองนัั้น ก่อนอื่นเราต้องทำการจองตัวเครื่องบินและโรงแรมที่เราจะพักเองด้วย ตอนนี้ประเทศญี่ปุ่นให้วีซ่าท่องเที่ยวกับ ผู้ถือ Passport ไทย ให้สามารถพักและท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่นได้เป็นเวลา 15 วัน
ซึ่งในครั้งนี้เราได้พักที่ โอซาก้า จำนวน 6 คืน เพราะการเดินทางไปเที่ยวเมืองเกียว และ เมืองโกเบ สามารถไปเช้า เย็นกลับได้ เพราะใช้เวลาเดินทางไม่นาน
แผนการเที่ยวใน ภูมิภาคคันไซ (โอซาก้า (Osaka) - เกียวโต (Kyoto) - โกเบ (Kobe))
8 วัน 6 คืน โดย สายการบินเวียดนามแอร์ไลน์ (Vietnam Airline) ดังนี้
วันที่ 1 กรุงเทพมหานคร - โอซาก้า
วันที่ 2 โอซาก้า - บัตร Airport Limousine Bus ราคา 2,760 เยน และ บัตร One Day Pass ราคา 600 เยน
วันที่ 3 โอซาก้า - บัตร Amazing Osaka Pass แบบ 1 วัน ราคา 2,300 เยน
วันที่ 4 เกียวโต - บัตร Kansai Thru Pass แบบ 3 วัน ราคา 5,200 เยน
วันที่ 5 โกเบ - บัตร Kansai Thru Pass แบบ 3 วัน
วันที่ 6 โอซาก้า - บัตร One Day Pass ราคา 800 เยน
วันที่ 7 เกียวโต - โกเบ - โอซาก้า - บัตร Kansai Thru Pass แบบ 3 วัน
วันที่ 8 โอซาก้า - กรุงเทพมหานคร - บัตร Airport Limousine Bus ขากลับ
วันที่ 1 กรุงเทพมหานคร - โอซาก้า
16.30 น. มาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อ Check In กับสายการบินเวียดนามแอร์ไลน์ (Vietnam Airline) และ สายการบินเวียดนามให้น้ำหนักกระเป๋าโหลด 25 ก.ก. (น้ำหนักขึ้นอยู่กับสายการบิยเป็นผู้กำหนด)
19.10 น. ออกเดินทางสู่เมืองฮานอย ประเทศเวียดนาม เพื่อแวะเปลี่ยนเครื่อง ไปโอซาก้า - การจองตั๋วเครื่องบินบางครั้งสามารถเปลี่ยนเมืองที่จะลงแวะเปลี่ยนเครื่องได้ มีทั้งหมด 2 เมืองที่สามารถเปลี่ยนเครื่องได้ ถ้าเดินทางไปญี่ปุ่นกับสายการบินเวียดนาม คือ เมืองฮานอย และ เมืองโฮจิมิน ซิตี้
20.55 น. ถึงเมืองฮานอย ประเทศเวียดนาม เพื่อรอเปลี่ยนเครื่องบิน จากนั้นรอประมาณ 3 ชั่วโมง 50 นาที เวลาของเวียดนามและไทย ใช้เวลาเดียวกัน คือ +7 แต่ถ้าเป็นญี่ปุ่น คือ +9 หรือ ก่อนเวลาประเทศไทย 2 ชั่วโมง
16.30 น. มาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อ Check In กับสายการบินเวียดนามแอร์ไลน์ (Vietnam Airline) และ สายการบินเวียดนามให้น้ำหนักกระเป๋าโหลด 25 ก.ก. (น้ำหนักขึ้นอยู่กับสายการบิยเป็นผู้กำหนด)
19.10 น. ออกเดินทางสู่เมืองฮานอย ประเทศเวียดนาม เพื่อแวะเปลี่ยนเครื่อง ไปโอซาก้า - การจองตั๋วเครื่องบินบางครั้งสามารถเปลี่ยนเมืองที่จะลงแวะเปลี่ยนเครื่องได้ มีทั้งหมด 2 เมืองที่สามารถเปลี่ยนเครื่องได้ ถ้าเดินทางไปญี่ปุ่นกับสายการบินเวียดนาม คือ เมืองฮานอย และ เมืองโฮจิมิน ซิตี้
20.55 น. ถึงเมืองฮานอย ประเทศเวียดนาม เพื่อรอเปลี่ยนเครื่องบิน จากนั้นรอประมาณ 3 ชั่วโมง 50 นาที เวลาของเวียดนามและไทย ใช้เวลาเดียวกัน คือ +7 แต่ถ้าเป็นญี่ปุ่น คือ +9 หรือ ก่อนเวลาประเทศไทย 2 ชั่วโมง
วันที่ 2 โอซาก้า - ใช้บัตร Shatter bus และ one day pass ของโอซาก้า
00.55น. เดินทางจากฮานอยไปโอซาก้า และใช้เวลานั่งเครื่องบินประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง
06.20น. เดินทางถึง Kansai International Airport (สนามบินนานาชืติคันไซ)
07.00น. ตรวจคนเข้าเมือง และรับกระเป๋า จากนั้นมารอซื้อตั๋วรถไฟ ที่ Front Deck อยู่ตรงกลางระกว่างทางออกทั้งสองข้าง บัตร Pass ที่ต้องใช้ในทิปนี้ คือ
1. บัตร Amazing Osaka Pass แบบ 1 วัน ราคา 2,300 เยน
2. บัตร Kansai Thru Pass แบบ 3 วัน ราคา 5,200 เยน
ส่วนที่เหลือซื้อที่สถานีรถไฟได้
หลังจากซื้อบัตร พาส เรียบร้อยแล้ว เดินไปนั่งรถบัสที่ด้านหน้าของสนามบิน ช่องที่ 5
โรงแรม New Hankyu Osaka มีรถบัสถึงหน้าโรงแรมเลยสะดวกมาก ส่วน โรงแรม New Hankyu Osaka นี้อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ Umeda Station (M16) และสถานีรถไฟ Hankyu Line ซึ่งเป็นสถานีรถไฟที่จะนั่งไป เกียวโต นารา โกเบ และสถานที่อื่นๆในเขตคันไซได้ ถือว่าสะดวกมาก
ก่อนนั่งรถบัสต้องซื้อตั๋วก่อน ให้เลือกตั๋วที่จะไป Osaka Station จากสนามบินไปโรงแรมใช้เวลาประมาณ 50-58 นาที เพราะเป็นที่จอดรถของรถบัสสายนี้เป็นโรงแรมแรก
ราคาค่ารถบัสไปถึงโรงแรม ราคา 1,550 เยน แต่ถ้าซื้อแบบไป-กลับ ราคา 2,760 เยน ได้ส่วนลดด้วยและตั๋วกลับสามารถอยู่ได้ 14 วัน
08.05 น. รถบัสมาถึง ช่อง 5 จากนั้นเจ้าหน้าที่จะติดป้ายกับกรัเป๋าของเราว่าจะลงที่โรงแรมไหน
ถือว่าสะดวกมาก สำหรับคนที่เดินทางไปเที่ยว โอซาก้าครั้งแรก (แบบกลัวหลง)
ประมาณ 9 โมงเช้าถึงโรงแรม แต่โรงแรม ยังไม่ให้ Check in เลยต้องฝากกระเป๋าไว้ที่รับฝากกระเป๋า แล้วค่อยกลับมา Check in ตอน บ่ายสองโมง
หลังจากฝากกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินไป สถานีรถไฟเพื่อซื้อตั๋ว One Day Pass ตั๋ววันนี้ราคา 600 เยน เพราะเป็นวันเสาร์ อาทิตย์ หรือวันหยุด ราคาตั๋วจะถูก แต่ถ้าเป็นวันธรรมดาค่าตั๋วราคา 800 เยน
การเดินไปสถานีรถไฟไม่ยาก
ทางเข้าที่รถบัสจากสนามบินมาส่ง เมื่อเดินกลับไปทางเดิม ให้เลี้ยวขวา จะเห็นฝั่งตรงข้ามเป็นห้าง Yodobushi และฝั่งเดียวกลับโรงแรมจะมีร้านขายเครื่องสำอางและขายยา ทางลงสถานีรถไฟอยู่ติดร้านขายเครื่องสำอางค์เลย
เมือลงไปชั้นใต้ดินที่จะขึ้นรถไฟแล้ว ให้ดูสัญลักษณ์ Moduji Line (สีแดง) แล้วเดินตามทางไป เพื่อไปซื้อบัตร One Day Pass ที่ตู้ยอดเหรียญ จะมีเจ้าหน้าคอยช่วยเหลือ ถ้าซื้อตั๋วไม่ถูก จากนั้นได้ตั๋ว One Day Pass มาแล้ว เราก็เดินทางไป สถานี Mamba (M20) หรือ สถานี Shiba Shiju (M19) Line สีแดง ได้
14.00น. ได้เวลาไป Check In ที่โรงแรม เพื่อเก็บกระเป๋าเดินทาง และ เดินทางไปสถานที่อื่นต่อในโอซาก้า หรือ ไปถ่ายรูป กูลิโกะตอนกลางคืนก็ได้
00.55น. เดินทางจากฮานอยไปโอซาก้า และใช้เวลานั่งเครื่องบินประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง
06.20น. เดินทางถึง Kansai International Airport (สนามบินนานาชืติคันไซ)
07.00น. ตรวจคนเข้าเมือง และรับกระเป๋า จากนั้นมารอซื้อตั๋วรถไฟ ที่ Front Deck อยู่ตรงกลางระกว่างทางออกทั้งสองข้าง บัตร Pass ที่ต้องใช้ในทิปนี้ คือ
1. บัตร Amazing Osaka Pass แบบ 1 วัน ราคา 2,300 เยน
2. บัตร Kansai Thru Pass แบบ 3 วัน ราคา 5,200 เยน
ส่วนที่เหลือซื้อที่สถานีรถไฟได้
หลังจากซื้อบัตร พาส เรียบร้อยแล้ว เดินไปนั่งรถบัสที่ด้านหน้าของสนามบิน ช่องที่ 5
โรงแรม New Hankyu Osaka มีรถบัสถึงหน้าโรงแรมเลยสะดวกมาก ส่วน โรงแรม New Hankyu Osaka นี้อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ Umeda Station (M16) และสถานีรถไฟ Hankyu Line ซึ่งเป็นสถานีรถไฟที่จะนั่งไป เกียวโต นารา โกเบ และสถานที่อื่นๆในเขตคันไซได้ ถือว่าสะดวกมาก
ก่อนนั่งรถบัสต้องซื้อตั๋วก่อน ให้เลือกตั๋วที่จะไป Osaka Station จากสนามบินไปโรงแรมใช้เวลาประมาณ 50-58 นาที เพราะเป็นที่จอดรถของรถบัสสายนี้เป็นโรงแรมแรก
ราคาค่ารถบัสไปถึงโรงแรม ราคา 1,550 เยน แต่ถ้าซื้อแบบไป-กลับ ราคา 2,760 เยน ได้ส่วนลดด้วยและตั๋วกลับสามารถอยู่ได้ 14 วัน
08.05 น. รถบัสมาถึง ช่อง 5 จากนั้นเจ้าหน้าที่จะติดป้ายกับกรัเป๋าของเราว่าจะลงที่โรงแรมไหน
ถือว่าสะดวกมาก สำหรับคนที่เดินทางไปเที่ยว โอซาก้าครั้งแรก (แบบกลัวหลง)
ประมาณ 9 โมงเช้าถึงโรงแรม แต่โรงแรม ยังไม่ให้ Check in เลยต้องฝากกระเป๋าไว้ที่รับฝากกระเป๋า แล้วค่อยกลับมา Check in ตอน บ่ายสองโมง
หลังจากฝากกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินไป สถานีรถไฟเพื่อซื้อตั๋ว One Day Pass ตั๋ววันนี้ราคา 600 เยน เพราะเป็นวันเสาร์ อาทิตย์ หรือวันหยุด ราคาตั๋วจะถูก แต่ถ้าเป็นวันธรรมดาค่าตั๋วราคา 800 เยน
การเดินไปสถานีรถไฟไม่ยาก
ทางเข้าที่รถบัสจากสนามบินมาส่ง เมื่อเดินกลับไปทางเดิม ให้เลี้ยวขวา จะเห็นฝั่งตรงข้ามเป็นห้าง Yodobushi และฝั่งเดียวกลับโรงแรมจะมีร้านขายเครื่องสำอางและขายยา ทางลงสถานีรถไฟอยู่ติดร้านขายเครื่องสำอางค์เลย
เมือลงไปชั้นใต้ดินที่จะขึ้นรถไฟแล้ว ให้ดูสัญลักษณ์ Moduji Line (สีแดง) แล้วเดินตามทางไป เพื่อไปซื้อบัตร One Day Pass ที่ตู้ยอดเหรียญ จะมีเจ้าหน้าคอยช่วยเหลือ ถ้าซื้อตั๋วไม่ถูก จากนั้นได้ตั๋ว One Day Pass มาแล้ว เราก็เดินทางไป สถานี Mamba (M20) หรือ สถานี Shiba Shiju (M19) Line สีแดง ได้
- สถานี Mamba (M20) - จะมีปูยัก , ป้ายกูลิโกะใหญ่ที่คนนิยมไปถ่าย, ทาโกยะกิ ที่ขึ้นชื่อของ โอซาก้า
- สถานี Shiba Shiju (M19) - จะเป็นถนนคนเดินที่ยาว และมีทั้งของ แบรนด์เนม (LOUIS VUITTON , Channal, Prada, Tag และ อื่นๆ) และ ไม่แบรนด์เนม หรือจะเดินจาก Mamba เพื่อมาช้อปปิ้งที่นี่ก็ได้ เพราะถนนเชื่อมถึงกัน (ยาวมากประมาณ 2-4 กิโลได้) เดินช้อปปิงได้ไม่เบื่อเลย
14.00น. ได้เวลาไป Check In ที่โรงแรม เพื่อเก็บกระเป๋าเดินทาง และ เดินทางไปสถานที่อื่นต่อในโอซาก้า หรือ ไปถ่ายรูป กูลิโกะตอนกลางคืนก็ได้
วันที่ 3 โอซาก้า - ใช้บัตร Amazing Osaka Pass
บัตร Amazing Osaka Pass มี 2 แบบ คือ
บัตร Amazing Osaka Pass มี 2 แบบ คือ
- บัตร Amazing Osaka Pass สำหรับ 1 วัน - ราคา 2,300 เยน (Yen)
บัตรใบนี้สามารถเข้าชม สถานที่เที่ยวต่างๆได้ฟรี เช่น ประสาทโอซาก้า , พิพิธภัณฑ์ โอซาก้า , นั่งเรือตามแม่น้ำต่างๆ, ตึกสูง 173 ชั้น
- บัตร Amazing Osaka Pass สำหรับ 2 วัน - ราคา 3,000 เยน (Yen)
บัตร Amazing Osaka Pass สำหรับ 2 วัน ใบนี้ไม่สามารถเข้าชม สถานที่ต่างๆ ได้ฟรี แต่ถ้าต้องการจะเข้าชมสถานที่เที่ยว โบราณสถานและโบราณวัตถุ สามารถซื้อตั๋วเข้าชมได้
วันที่ 4 เกียวโต - ใช้บัตร Kansai Thru Pass
7.00 น. เตรียมตัวออกเดินทางไปเกียวโต ที่พักที่นอนอยู่ใกล้สถานีรถไฟ Hankyu Line ใช้เวลาในการเดินทาง 50-77 นาที ขึ้นอยู่กับขบวนรถไฟที่นั่ง
- ให้นั่งรถไฟ เบอร์ 2 ป้ายสีเขียว ถ้านั่งรถไฟที่เป็นขบวน Limited Express รถไฟจะไม่ได้จอดทุกสถานี แต่จะจอดเฉพาะสถานีใหญ่ ใช้เวลาประมาณ 40-50 นาที
- ให้นั่งรถไฟ เบอร์ 3 ป้ายสีเขียว ถ้านั่ง Local Train รถไฟจะจอดทุกสถานนี ใช้เวลา ประมาณ 77 นาที
จากนั้นให้ลงที่สถานี Kyoto
8.00 น. ย้ายรถไฟจาก Hankyu Line ไปสถานี Goaji ต้องเดินขึ้นไปด้านบน และเดินข้ามถนนประมาณ 2-3 ร้อยเมตร เพื่อนั่งรถไฟของเมืองเกียวโต ไปลงที่สถานี Fushimi เพื่อไปวัดศาลเจ้าสุนัขจิ้งจอก
ถ้านั่นรถไฟ JR Line จะไปถึงหน้าวัดเลย
7.00 น. เตรียมตัวออกเดินทางไปเกียวโต ที่พักที่นอนอยู่ใกล้สถานีรถไฟ Hankyu Line ใช้เวลาในการเดินทาง 50-77 นาที ขึ้นอยู่กับขบวนรถไฟที่นั่ง
- ให้นั่งรถไฟ เบอร์ 2 ป้ายสีเขียว ถ้านั่งรถไฟที่เป็นขบวน Limited Express รถไฟจะไม่ได้จอดทุกสถานี แต่จะจอดเฉพาะสถานีใหญ่ ใช้เวลาประมาณ 40-50 นาที
- ให้นั่งรถไฟ เบอร์ 3 ป้ายสีเขียว ถ้านั่ง Local Train รถไฟจะจอดทุกสถานนี ใช้เวลา ประมาณ 77 นาที
จากนั้นให้ลงที่สถานี Kyoto
8.00 น. ย้ายรถไฟจาก Hankyu Line ไปสถานี Goaji ต้องเดินขึ้นไปด้านบน และเดินข้ามถนนประมาณ 2-3 ร้อยเมตร เพื่อนั่งรถไฟของเมืองเกียวโต ไปลงที่สถานี Fushimi เพื่อไปวัดศาลเจ้าสุนัขจิ้งจอก
ถ้านั่นรถไฟ JR Line จะไปถึงหน้าวัดเลย
วันที่ 5 โกเบ - ใช้บัตร Kansai Thru Pass
วันที่ 6 โอซาก้า - one day pass ของโอซาก้า
วันที่ 7 เกียวโต - โกเบ - โอซาก้า - ใช้บัตร Kansai Thru Pass
วันที่ 8 โอซาก้า - กรุงเทพมหานคร
วันที่ 8 โอซาก้า - กรุงเทพมหานคร
ค่าใช้จ่ายทิป 8 วัน 6 คืน ดังนี้
ตั๋วเครื่องบิน (เวียดนามแอร์) + โรงแรม (New Hankyu Osaka) ราคา 22,100 บาท
ค่าตั๋วรถบัสรับส่งสนามบิน-โรงแรม + ตั๋วรถไฟ
- บัตร Airport Limousine Bus ไป-กลับ ราคา 2,760 เยน
- บัตร One Day Pass วันหยุด ราคา 600 เยน
- บัตร Amazing Osaka Pass แบบ 1 วัน ราคา 2,300 เยน
- บัตร Kansai Thru Pass แบบ 3 วัน ราคา 5,200 เยน
- บัตร One Day Pass วันธรรดา ราคา 800 เยน
รวม 11,660 เยน (เรท 0.28 @ เดือน มิถุนายน) = 3,264.8 บาท
ค่ากินและอื่นๆ ไม่รวมค่าช้อปปิ้ง เฉลี่ย 15,340 เยน (เรท 0.28 @ เดือน มิถุนายน) = 4,295.2
รวมค่าใช้จ่ายทั้งทิป 8 วัน 6 คืน ทั้งหมด 29,660 บาท
ค่ากินและอื่นๆ ไม่รวมค่าช้อปปิ้ง เฉลี่ย 15,340 เยน (เรท 0.28 @ เดือน มิถุนายน) = 4,295.2
รวมค่าใช้จ่ายทั้งทิป 8 วัน 6 คืน ทั้งหมด 29,660 บาท
เที่ยว 1 Day in Kyoto
1 Day in Kyoto
Arashiyama
สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติติดอันดับต้นๆของญี่ปุ่น เหมาะสำหรับผู้ชื่นชอบสายน้ำ และ ขุนเขา เพื่อดื่มด่ำความสวยงามที่ไม่ปรุงแต่งนี้ นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปกับสะพานโทเกทสึเคียว สัญลักษณ์ของขุนเขาแห่งนี้ พร้อมกับเข้าไปเยี่ยมชมป่าไผ่อันโด่งดัง
img-10-06
ไม่มีเวลาเปิด-ปิด
นั่งรถไฟสาย Hankyu Arashiyama Line
ลงสถานี Arashiyama (Hankyu)
Kiyomizu
วัดคิโยมิสึหรือที่คนไทยเรียกว่า “วัดน้ำใส” เป็นมรดกโลก อายุกว่า1,500ปี อาคารหลักของวัดมีระเบียงขนาดใหญ่สูง13 เมตรสร้างยื่นออกไปบนเนินเขา ก่อสร้างโดยไม่ใช้ตะปูเลยสักตัวเดียว นอกจากบริเวณตัววัดแล้ว นักท่องเที่ยวยังนิยมมาเดิน “ถนนสายกาน้ำชา” ซึ่งเป็นถนนละลายทรัพย์ผู้มาเยือนวัดนี้ เพราะมีร้านขายของที่ระลึกตั้งเรียงรายอยู่เป็นจำนวนมาก
img-10-07
6.00 – 18.00
จากสถานี Arashiyama (Hankyu)
นั่งรถไฟสาย Randen Ry. Kitano Line
ลงสถานี Kitano แล้วต่อรถเมล์สาย 102 จากป้าย Kitano Hakubai-cho มาลงป้าย Kinkakuji-michi
Tofukuji
วัดขนาดใหญ่ อายุเกือบพันปี วัดแห่งนี้มีต้นเมเปิ้ลอยู่ประมาณ 2,000 ต้น ดังนั้น เมื่อมองลงไปจาก Tsuten-bashi ระเบียงไม้ที่เชื่อมระหว่างโบสถ์เอก (Hondo) กับวิหาร Kaisanso ที่ตั้งอยู่เหนือสวน จะสามารถเห็นทะเลใบไม้แดงที่ขึ้นชื่อว่าสวยติดอันดับ 1 ใน 5 ของเกียวโต
img-10-08
9.00 – 16.00
จากป้าย Kinkakuji-michi นั่งรถเมล์สาย 204
มาลงป้าย Kumano Jinja-mae
แล้วเดินต่อไปยังสถานี Jingu-Marutamachi
เพื่อต่อรถไฟสาย Keihan Main Lineไปลง สถานี Tofukuji
Fushimiinari
คนไทยรู้จักกันดีในชื่อ ศาลเจ้าจิ้งจอกขาว ศาลเจ้าชื่อดังที่มีอุโมงค์โทริอิสีแดงเรียงต่อกันไปจนถึงยอดเขานับหมื่นต้น เปรียบเสมือนอุโมงค์สีแดงทอดยาวไปจนสุดสายตา
img-10-09
ไม่มีเวลาเปิด-ปิด
จากสถานี Tofukuji นั่งรถไฟสาย Keihan Main Line ลงสถานี Fushimi-inari
1 Day in Osaka
Meji Memorial Forest Minoo Quasi –
National Park
สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ตั้งอยู่ห่างจากใจกลางเมืองโอซาก้าเพียง 25 นาที จุดเด่นคือน้ำตก Minoo ที่สวยงามอย่างมากในฤดูใบไม้เปลี่ยนสี
img-10-10
9.00-17.00
จากสถานี Hankyu Umeda นั่งรถไฟสาย Hankyu Takarazuka ไปลงสถานี Ishibashi เพื่อต่อรถไฟสาย Hankyu Minoo ไปลงสถานี Minoo
Osaka Castle
ปราสาทโอซาก้าอันโด่งดัง สถานที่ที่นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกอยากมาเยี่ยมชม สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1583 โดยไดเมียวโทะโยะโตมิ ฮิเดะโยชิ
img-10-11
9.00-17.00
ปิดวันที่ 28 ธ.ค. -1 ม.ค.ของทุกปี
จากสถานี Minoo นั่งรถไฟกลับมาที่สถานี Hankyu Umeda แล้วเปลี่ยนเป็นรถไฟใต้ดินจากสถานี Umeda (subway) ไปลงสถานี Tanimachiyonchome
Namba and Dotombori
ศูนย์รวมแหล่งช้อปปิ้งของเมืองโอซาก้า มีสินค้าให้นักช้อปได้เลือกสรรตั้งแต่เสื้อผ้า เครื่องสำอาง ไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า นอกจากนี้ยังเป็นที่รวมแหล่งบันเทิงยามค่ำคืนอีกด้วยDotomboriถนนเลียบคลองที่จัดว่าคึกคักที่สุดแห่งหนึ่งของโอซาก้า เป็นสวรรค์ของนักช้อปปิ้งตัวยง นอกจากนี้ยังที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของป้ายกูลิโกะอันเลื่องชื่อ
img-10-12
10.00-22.00
จากสถานี Tanimachiyonchome
นั่งรถไฟใต้ดินมาลงสถานี Namba (subway)
1 Day in Nara
Nara Park
สวนสาธารณะขนาดใหญ่แห่งนารา เป็นที่ตั้งของสถานที่น่าสนใจมากมาย เช่นวัดสำคัญต่างๆ และ พิพิธภัณฑ์ นอกจากนี้นักท่องเที่ยวยังสามารถสัมผัสกับ “เจ้าถิ่น” ซึ่งก็คือฝูงกวางที่เฉิดฉายไปมาอยู่ทั่วสวนแห่งนี้
img-10-13
ไม่มีเวลาเปิด-ปิด
จากสถานี Kintetsu Nara เดินอีก 5 นาที
วัดโทไดจิ
วัดชื่อดังแห่งเมืองนารา เป็นที่ตั้งของวิหารไม้หลังใหญ่ที่หลวงพ่อโต หรือ พระใหญ่ไดบุทสึประดิษฐานอยู่ข้างใน
พิพิธภัณฑ์แห่งชาตินารา
เป็นสถานที่จัดแสดงโบราณวัตถุทางพะพุทธศาสนา เช่น พระพุทธรูป พระคัมภีร์ และภาพวาดทางศาสนาต่างๆ
img-10-14
8.00-17.00
นั่งรถบัส สาย70 และ สาย97
จากสถานี Kintetsu Nara
9.30-17.00
จากสถานี Kintetsu Nara เดินไปอีก10นาที
วัดโคฟุคุจิ
เป็นที่ตั้งของเจดีย์ 5 ชั้น (โกะจูโนะโท) ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นเจดีย์ที่มีความสูงเป็นอันดับ2ของประเทศญี่ปุ่น
img-10-15
9.00-17.00
จากสถานี Kintetsu Nara เดินไปอีก 5 นาที
1 Day in Kobe
Kitano Ijinkan-dori
สมัยก่อนย่านนี้เป็นสถานที่ที่ชาวต่างชาติเข้ามาอาศัย ดังนั้นจึงมีคฤหาสน์สไตล์ตะวันตกตั้งอยู่มากมาย จนปัจจุบันนี้สถานที่เหล่านั้นได้รับการอนุรักษ์ให้คงสภาพเดิมไว้ แล้วเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชม บ่งบอกได้ถึงความเฟื่องฟูในอดีตได้เป็นอย่างดี
img-10-16
9.00-18.00
จากสถานี Sannomiya นั่งรถ City Loop
ลงป้ายหมายเลข 10 ( Kitano Ijinkan)
ย่านไชน่าทาวน์ Nankinmachi
ชุมชนชาวจีนที่ใหญ่ที่สุดในคันไซ คับคั่งไปด้วยร้านอาหาร และภัตตาคารอาหารจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลางคืน ย่านนี้จะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมายเดินเต็มสองข้างถนนเลยทีเดียว
img-10-17
9.00 – 21.00
จากสถานี Sannomiya นั่งรถไฟใต้ดินมาลงสถานี Kyukyoryuchi Daimarumae ทางออกหมายเลข 1
Kobe Harborland
จุดหมายปลายทางของเหล่านักท่องเที่ยว เป็นศูนย์รวมความบันเทิงของโกเบที่มีทั้ง ร้านอาหาร ห้าง พิพิธภณฑ์อันปังแมน และชิงช้าสวรรค์ อีกทั้งยังสามารถขึ้น Kobe Port Towerชมวิวริมอ่าวโกเบยามค่ำคืนได้อีกด้วย
img-10-18
ประมาณ 10.00 – 22.00
จากสถานี Kyukyoryuchi Daimarumae
นั่งรถไฟใต้ดินลงสถานี Harborland
1 Day in Wakayama (Koyasan)
Koyasan
เขาแห่งนี้เป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนานิกายชิงอน ที่มีความเจริญรุ่งเรืองมากว่า1200ปี ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในศาสนสถานที่มีความสำคัญมากที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น นักท่องเที่ยวนิยมมาชมความงามทางธรรมชาติบนเขาแห่งนี้พร้อมกับสัมผัสศาสนถานอันเก่าแก่
img-10-19
8.30-17.00
จากสถานีรถไฟ Namba (Nankai)
นั่งรถไฟสาย Nankai Koya มาลงสถานี Gokurakubashi แล้วนั่งรถรางต่อขึ้นไปสู่สถานี Koyasan
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : http://www.osaka-info.jp/en/ (จังหวัดโอซาก้า)
http://www.pref.kyoto.jp/visitkyoto/en/ (จังหวัดเกียวโต)
http://en.japantravel.com/prefecture/nara (จังหวัดนารา)
http://www.hyogo-tourism.jp/english/(จังหวัดเฮียวโกะ-เมืองโกเบ)
ข้อมูล ณ วันที่ 7 กันยายน 2014
Arashiyama
สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติติดอันดับต้นๆของญี่ปุ่น เหมาะสำหรับผู้ชื่นชอบสายน้ำ และ ขุนเขา เพื่อดื่มด่ำความสวยงามที่ไม่ปรุงแต่งนี้ นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปกับสะพานโทเกทสึเคียว สัญลักษณ์ของขุนเขาแห่งนี้ พร้อมกับเข้าไปเยี่ยมชมป่าไผ่อันโด่งดัง
img-10-06
ไม่มีเวลาเปิด-ปิด
นั่งรถไฟสาย Hankyu Arashiyama Line
ลงสถานี Arashiyama (Hankyu)
Kiyomizu
วัดคิโยมิสึหรือที่คนไทยเรียกว่า “วัดน้ำใส” เป็นมรดกโลก อายุกว่า1,500ปี อาคารหลักของวัดมีระเบียงขนาดใหญ่สูง13 เมตรสร้างยื่นออกไปบนเนินเขา ก่อสร้างโดยไม่ใช้ตะปูเลยสักตัวเดียว นอกจากบริเวณตัววัดแล้ว นักท่องเที่ยวยังนิยมมาเดิน “ถนนสายกาน้ำชา” ซึ่งเป็นถนนละลายทรัพย์ผู้มาเยือนวัดนี้ เพราะมีร้านขายของที่ระลึกตั้งเรียงรายอยู่เป็นจำนวนมาก
img-10-07
6.00 – 18.00
จากสถานี Arashiyama (Hankyu)
นั่งรถไฟสาย Randen Ry. Kitano Line
ลงสถานี Kitano แล้วต่อรถเมล์สาย 102 จากป้าย Kitano Hakubai-cho มาลงป้าย Kinkakuji-michi
Tofukuji
วัดขนาดใหญ่ อายุเกือบพันปี วัดแห่งนี้มีต้นเมเปิ้ลอยู่ประมาณ 2,000 ต้น ดังนั้น เมื่อมองลงไปจาก Tsuten-bashi ระเบียงไม้ที่เชื่อมระหว่างโบสถ์เอก (Hondo) กับวิหาร Kaisanso ที่ตั้งอยู่เหนือสวน จะสามารถเห็นทะเลใบไม้แดงที่ขึ้นชื่อว่าสวยติดอันดับ 1 ใน 5 ของเกียวโต
img-10-08
9.00 – 16.00
จากป้าย Kinkakuji-michi นั่งรถเมล์สาย 204
มาลงป้าย Kumano Jinja-mae
แล้วเดินต่อไปยังสถานี Jingu-Marutamachi
เพื่อต่อรถไฟสาย Keihan Main Lineไปลง สถานี Tofukuji
Fushimiinari
คนไทยรู้จักกันดีในชื่อ ศาลเจ้าจิ้งจอกขาว ศาลเจ้าชื่อดังที่มีอุโมงค์โทริอิสีแดงเรียงต่อกันไปจนถึงยอดเขานับหมื่นต้น เปรียบเสมือนอุโมงค์สีแดงทอดยาวไปจนสุดสายตา
img-10-09
ไม่มีเวลาเปิด-ปิด
จากสถานี Tofukuji นั่งรถไฟสาย Keihan Main Line ลงสถานี Fushimi-inari
1 Day in Osaka
Meji Memorial Forest Minoo Quasi –
National Park
สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ตั้งอยู่ห่างจากใจกลางเมืองโอซาก้าเพียง 25 นาที จุดเด่นคือน้ำตก Minoo ที่สวยงามอย่างมากในฤดูใบไม้เปลี่ยนสี
img-10-10
9.00-17.00
จากสถานี Hankyu Umeda นั่งรถไฟสาย Hankyu Takarazuka ไปลงสถานี Ishibashi เพื่อต่อรถไฟสาย Hankyu Minoo ไปลงสถานี Minoo
Osaka Castle
ปราสาทโอซาก้าอันโด่งดัง สถานที่ที่นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกอยากมาเยี่ยมชม สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1583 โดยไดเมียวโทะโยะโตมิ ฮิเดะโยชิ
img-10-11
9.00-17.00
ปิดวันที่ 28 ธ.ค. -1 ม.ค.ของทุกปี
จากสถานี Minoo นั่งรถไฟกลับมาที่สถานี Hankyu Umeda แล้วเปลี่ยนเป็นรถไฟใต้ดินจากสถานี Umeda (subway) ไปลงสถานี Tanimachiyonchome
Namba and Dotombori
ศูนย์รวมแหล่งช้อปปิ้งของเมืองโอซาก้า มีสินค้าให้นักช้อปได้เลือกสรรตั้งแต่เสื้อผ้า เครื่องสำอาง ไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า นอกจากนี้ยังเป็นที่รวมแหล่งบันเทิงยามค่ำคืนอีกด้วยDotomboriถนนเลียบคลองที่จัดว่าคึกคักที่สุดแห่งหนึ่งของโอซาก้า เป็นสวรรค์ของนักช้อปปิ้งตัวยง นอกจากนี้ยังที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของป้ายกูลิโกะอันเลื่องชื่อ
img-10-12
10.00-22.00
จากสถานี Tanimachiyonchome
นั่งรถไฟใต้ดินมาลงสถานี Namba (subway)
1 Day in Nara
Nara Park
สวนสาธารณะขนาดใหญ่แห่งนารา เป็นที่ตั้งของสถานที่น่าสนใจมากมาย เช่นวัดสำคัญต่างๆ และ พิพิธภัณฑ์ นอกจากนี้นักท่องเที่ยวยังสามารถสัมผัสกับ “เจ้าถิ่น” ซึ่งก็คือฝูงกวางที่เฉิดฉายไปมาอยู่ทั่วสวนแห่งนี้
img-10-13
ไม่มีเวลาเปิด-ปิด
จากสถานี Kintetsu Nara เดินอีก 5 นาที
วัดโทไดจิ
วัดชื่อดังแห่งเมืองนารา เป็นที่ตั้งของวิหารไม้หลังใหญ่ที่หลวงพ่อโต หรือ พระใหญ่ไดบุทสึประดิษฐานอยู่ข้างใน
พิพิธภัณฑ์แห่งชาตินารา
เป็นสถานที่จัดแสดงโบราณวัตถุทางพะพุทธศาสนา เช่น พระพุทธรูป พระคัมภีร์ และภาพวาดทางศาสนาต่างๆ
img-10-14
8.00-17.00
นั่งรถบัส สาย70 และ สาย97
จากสถานี Kintetsu Nara
9.30-17.00
จากสถานี Kintetsu Nara เดินไปอีก10นาที
วัดโคฟุคุจิ
เป็นที่ตั้งของเจดีย์ 5 ชั้น (โกะจูโนะโท) ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นเจดีย์ที่มีความสูงเป็นอันดับ2ของประเทศญี่ปุ่น
img-10-15
9.00-17.00
จากสถานี Kintetsu Nara เดินไปอีก 5 นาที
1 Day in Kobe
Kitano Ijinkan-dori
สมัยก่อนย่านนี้เป็นสถานที่ที่ชาวต่างชาติเข้ามาอาศัย ดังนั้นจึงมีคฤหาสน์สไตล์ตะวันตกตั้งอยู่มากมาย จนปัจจุบันนี้สถานที่เหล่านั้นได้รับการอนุรักษ์ให้คงสภาพเดิมไว้ แล้วเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชม บ่งบอกได้ถึงความเฟื่องฟูในอดีตได้เป็นอย่างดี
img-10-16
9.00-18.00
จากสถานี Sannomiya นั่งรถ City Loop
ลงป้ายหมายเลข 10 ( Kitano Ijinkan)
ย่านไชน่าทาวน์ Nankinmachi
ชุมชนชาวจีนที่ใหญ่ที่สุดในคันไซ คับคั่งไปด้วยร้านอาหาร และภัตตาคารอาหารจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลางคืน ย่านนี้จะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมายเดินเต็มสองข้างถนนเลยทีเดียว
img-10-17
9.00 – 21.00
จากสถานี Sannomiya นั่งรถไฟใต้ดินมาลงสถานี Kyukyoryuchi Daimarumae ทางออกหมายเลข 1
Kobe Harborland
จุดหมายปลายทางของเหล่านักท่องเที่ยว เป็นศูนย์รวมความบันเทิงของโกเบที่มีทั้ง ร้านอาหาร ห้าง พิพิธภณฑ์อันปังแมน และชิงช้าสวรรค์ อีกทั้งยังสามารถขึ้น Kobe Port Towerชมวิวริมอ่าวโกเบยามค่ำคืนได้อีกด้วย
img-10-18
ประมาณ 10.00 – 22.00
จากสถานี Kyukyoryuchi Daimarumae
นั่งรถไฟใต้ดินลงสถานี Harborland
1 Day in Wakayama (Koyasan)
Koyasan
เขาแห่งนี้เป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนานิกายชิงอน ที่มีความเจริญรุ่งเรืองมากว่า1200ปี ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในศาสนสถานที่มีความสำคัญมากที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น นักท่องเที่ยวนิยมมาชมความงามทางธรรมชาติบนเขาแห่งนี้พร้อมกับสัมผัสศาสนถานอันเก่าแก่
img-10-19
8.30-17.00
จากสถานีรถไฟ Namba (Nankai)
นั่งรถไฟสาย Nankai Koya มาลงสถานี Gokurakubashi แล้วนั่งรถรางต่อขึ้นไปสู่สถานี Koyasan
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : http://www.osaka-info.jp/en/ (จังหวัดโอซาก้า)
http://www.pref.kyoto.jp/visitkyoto/en/ (จังหวัดเกียวโต)
http://en.japantravel.com/prefecture/nara (จังหวัดนารา)
http://www.hyogo-tourism.jp/english/(จังหวัดเฮียวโกะ-เมืองโกเบ)
ข้อมูล ณ วันที่ 7 กันยายน 2014
เที่ยวทั่วคันไซด้วย “KANSAI THRU PASS”
บัตร Kansai Thru Pass
บัตร Kansai Thru Pass คือ บัตรเหมาจ่ายรถไฟ ใช้โดยสารรถไฟเอกชนแบบไม่จำกัดเที่ยวภายในเวลาที่กำหนด ในพื้นที่ภูมิภาคคันไซ
นักท่องเที่ยวสามารถใช้บัตร Kansai Thru Pass ในการใช้บริการรถไฟใต้ดิน รถราง และรถประจำทางในภูมิภาคคันไซได้เกือบทุกสาย
หากเปรียบเทียบกับ JR West Pass นักท่องเที่ยวที่ใช้ Kansai Thru Pass แต่อาจต้องเปลี่ยนรถไฟบ่อยครั้งกว่าผู้ใช้ JR west Pass แต่ข้อดีของบัตร Kansai Thur Pass คือ การที่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ได้มากกว่า รวมทั้งยังมีคูปองส่วนลด ค่าเข้าสถานที่เที่ยวต่างๆมากมาย รวมทั้ง ร้านอาหาร พิพิธภัณฑ์ปราสาท สวนสนุกในภูมิภาคคันไซ
บัตร Kansai Thru Pass ยังมีข้อดีตรงที่ หลังจากนักท่องเที่ยวเปิดใช้บัตรแล้ว นักท่องเที่ยวไม่จำเป็นต้องใช้ทุกวันต่อเนื่องกัน ทำให้วางแผนการเดินทางเที่ยวญี่ปุ่นได้อย่างที่คุณต้องการ
หมายเหตุ บัตรนี้ไม่สามารถใช้โดยสารรถไฟในเครือ JR ได้
บัตรใช้ ตั๋ว Kansai Thru Pass ครอบคลุมบริเวณจังหวัดต่างๆ ดังนี้
> Osaka > Kyoto > Wakayama > Hyogo > Nara > Shiga
Kansai Thru Pass
จังหวัดที่สามารถใช้ตั๋ว
Kansai Thru Pass ได้
Osaka , Hyogo , Kyoto , Nara , Wakayama และ Shiga
จุดเด่นของตั๋ว 1.สามารถใช้ขึ้นได้ทั้งรถไฟเอกชน รถไฟใต้ดิน และรถบัสที่อยู่ในพื้นที่ที่กำหนด
2.ได้รับคูปองส่วนลดค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในคันไซ ทั้งร้านอาหาร พิพิธภัณฑ์ ปราสาท สวนสนุก ฯลฯ
3.เข้าถึงใจกลางสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญต่างๆ
4.หาซื้อได้ง่ายทั้งในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น
5.มี Guidebook พร้อมตัวอย่างเส้นทางการเดินทางท่องเที่ยว (Model Courses) มอบให้ผู้ซื้อ
ราคา แบบ 2 วัน ผู้ใหญ่ 4,000 เยน เด็ก 2,000 เยน (อายุ 6 ถึง 12 ปี)
แบบ 3 วัน ผู้ใหญ่ 5,200 เยน เด็ก 2,600 เยน (อายุ 6 ถึง 12 ปี)
ระยะเวลา ใช้ตามระยะวันที่ระบุ โดยมีแบบต่อเนื่องและแบบวันเว้นวัน
ช่วงเวลา จำหน่ายตลอดทั้งปี
ช่วงฤดูใบไม้ผลิ และฤดูร้อน
จัดจำหน่าย : 1 เมษายน – 30 กันยายน
เวลาใช้ : 1 เมษายน – 31 ตุลาคม
ช่วงฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว
จัดจำหน่าย : 1 ตุลาคม – 31 มีนาคม
เวลาใช้ : 1 ตุลาคม – 30 เมษายน
ข้อจำกัดในการซื้อ นักท่องเที่ยวแสดงพาสปอร์ตก่อนซื้อ
***สงวนสิทธิ์เฉพาะชาวต่างชาติที่มาท่องเที่ยวในญี่ปุ่นเท่านั้น ชาวต่างชาติที่อาศัยในญี่ปุ่นไม่สามารถซื้อ
การคืนตั๋ว ถ้าไม่ได้ใช้บัตร ให้นำไปคืน ณ สถานที่จำหน่ายบัตรได้ (อาจมีค่าธรรมเนียม)
และต้องคืนในเวลาที่กำหนด ต้องคืนพร้อมหนังสือไกด์บุ๊ค และคูปอง
สิทธิพิเศษ ส่วนลดและสิทธิพิเศษจาก สถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร ร้านค้ากว่า 350 แห่ง
สถานที่ซื้อตั๋ว Kansai Thru
Pass ในประเทศไทย http://www.yokosojapan.org/th/essential/ (กรุณาโทรสอบถาม)
สถานที่ซื้อตั๋ว Kansai Thru
Passในประเทศญี่ปุ่น -Kansai International Airport KAA Travel Desk (7.00-22.00)
-Nankai Electric Railway Kansai- Airport Station Ticket Ofiice (5.00-23.00)
-Osaka City Visitors Information Center / JR Shin-Osaka (9.00-18.00)
-Osaka City Visitors Information Center/ Umeda (8.00-20.00)
-Osaka Visitors Information Center / Namba (9.00-20.00)
-Osaka City Visitors Information Center / Tennoji (9.00-18.00)
-Kyoto Station Bus Information Center (7.30-20.00)
-Hankyu Tourist Center / Umeda Osaka (8.00-17.00)
-โรงแรมชั้นนำในภูมิภาคคันไซ
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Surutto KANSAI Association http://www.surutto.com/
http://www.yokosojapan.org
บัตร Kansai Thru Pass คือ บัตรเหมาจ่ายรถไฟ ใช้โดยสารรถไฟเอกชนแบบไม่จำกัดเที่ยวภายในเวลาที่กำหนด ในพื้นที่ภูมิภาคคันไซ
นักท่องเที่ยวสามารถใช้บัตร Kansai Thru Pass ในการใช้บริการรถไฟใต้ดิน รถราง และรถประจำทางในภูมิภาคคันไซได้เกือบทุกสาย
หากเปรียบเทียบกับ JR West Pass นักท่องเที่ยวที่ใช้ Kansai Thru Pass แต่อาจต้องเปลี่ยนรถไฟบ่อยครั้งกว่าผู้ใช้ JR west Pass แต่ข้อดีของบัตร Kansai Thur Pass คือ การที่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ได้มากกว่า รวมทั้งยังมีคูปองส่วนลด ค่าเข้าสถานที่เที่ยวต่างๆมากมาย รวมทั้ง ร้านอาหาร พิพิธภัณฑ์ปราสาท สวนสนุกในภูมิภาคคันไซ
บัตร Kansai Thru Pass ยังมีข้อดีตรงที่ หลังจากนักท่องเที่ยวเปิดใช้บัตรแล้ว นักท่องเที่ยวไม่จำเป็นต้องใช้ทุกวันต่อเนื่องกัน ทำให้วางแผนการเดินทางเที่ยวญี่ปุ่นได้อย่างที่คุณต้องการ
หมายเหตุ บัตรนี้ไม่สามารถใช้โดยสารรถไฟในเครือ JR ได้
บัตรใช้ ตั๋ว Kansai Thru Pass ครอบคลุมบริเวณจังหวัดต่างๆ ดังนี้
> Osaka > Kyoto > Wakayama > Hyogo > Nara > Shiga
Kansai Thru Pass
จังหวัดที่สามารถใช้ตั๋ว
Kansai Thru Pass ได้
Osaka , Hyogo , Kyoto , Nara , Wakayama และ Shiga
จุดเด่นของตั๋ว 1.สามารถใช้ขึ้นได้ทั้งรถไฟเอกชน รถไฟใต้ดิน และรถบัสที่อยู่ในพื้นที่ที่กำหนด
2.ได้รับคูปองส่วนลดค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในคันไซ ทั้งร้านอาหาร พิพิธภัณฑ์ ปราสาท สวนสนุก ฯลฯ
3.เข้าถึงใจกลางสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญต่างๆ
4.หาซื้อได้ง่ายทั้งในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น
5.มี Guidebook พร้อมตัวอย่างเส้นทางการเดินทางท่องเที่ยว (Model Courses) มอบให้ผู้ซื้อ
ราคา แบบ 2 วัน ผู้ใหญ่ 4,000 เยน เด็ก 2,000 เยน (อายุ 6 ถึง 12 ปี)
แบบ 3 วัน ผู้ใหญ่ 5,200 เยน เด็ก 2,600 เยน (อายุ 6 ถึง 12 ปี)
ระยะเวลา ใช้ตามระยะวันที่ระบุ โดยมีแบบต่อเนื่องและแบบวันเว้นวัน
ช่วงเวลา จำหน่ายตลอดทั้งปี
ช่วงฤดูใบไม้ผลิ และฤดูร้อน
จัดจำหน่าย : 1 เมษายน – 30 กันยายน
เวลาใช้ : 1 เมษายน – 31 ตุลาคม
ช่วงฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว
จัดจำหน่าย : 1 ตุลาคม – 31 มีนาคม
เวลาใช้ : 1 ตุลาคม – 30 เมษายน
ข้อจำกัดในการซื้อ นักท่องเที่ยวแสดงพาสปอร์ตก่อนซื้อ
***สงวนสิทธิ์เฉพาะชาวต่างชาติที่มาท่องเที่ยวในญี่ปุ่นเท่านั้น ชาวต่างชาติที่อาศัยในญี่ปุ่นไม่สามารถซื้อ
การคืนตั๋ว ถ้าไม่ได้ใช้บัตร ให้นำไปคืน ณ สถานที่จำหน่ายบัตรได้ (อาจมีค่าธรรมเนียม)
และต้องคืนในเวลาที่กำหนด ต้องคืนพร้อมหนังสือไกด์บุ๊ค และคูปอง
สิทธิพิเศษ ส่วนลดและสิทธิพิเศษจาก สถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร ร้านค้ากว่า 350 แห่ง
สถานที่ซื้อตั๋ว Kansai Thru
Pass ในประเทศไทย http://www.yokosojapan.org/th/essential/ (กรุณาโทรสอบถาม)
สถานที่ซื้อตั๋ว Kansai Thru
Passในประเทศญี่ปุ่น -Kansai International Airport KAA Travel Desk (7.00-22.00)
-Nankai Electric Railway Kansai- Airport Station Ticket Ofiice (5.00-23.00)
-Osaka City Visitors Information Center / JR Shin-Osaka (9.00-18.00)
-Osaka City Visitors Information Center/ Umeda (8.00-20.00)
-Osaka Visitors Information Center / Namba (9.00-20.00)
-Osaka City Visitors Information Center / Tennoji (9.00-18.00)
-Kyoto Station Bus Information Center (7.30-20.00)
-Hankyu Tourist Center / Umeda Osaka (8.00-17.00)
-โรงแรมชั้นนำในภูมิภาคคันไซ
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Surutto KANSAI Association http://www.surutto.com/
http://www.yokosojapan.org
ล่องเรือทะเลเมดิเตอร์เรเนียน 11 วัน (TK)
ล่องเรือทะเลเมดิเตอร์เรเนียน 11 วัน (TK)
(PULLMANTUR - EMPRESS CRUISE)
มาลาก้า – ซาร์ดิเนีย – โรม – อายัคโซ่ (เกาะคอร์ซิก้า) – ปัลมา เดอ มายอร์กา – บาเลนเซีย
(บินเข้า - ออก มาลาก้า ประเทศสเปน)
(พักมาลาก้า 1 คืน ก่อนบินกลับ มีเวลาให้ช้อปปิ้งจุใจ)
(PULLMANTUR - EMPRESS CRUISE)
มาลาก้า – ซาร์ดิเนีย – โรม – อายัคโซ่ (เกาะคอร์ซิก้า) – ปัลมา เดอ มายอร์กา – บาเลนเซีย
(บินเข้า - ออก มาลาก้า ประเทศสเปน)
(พักมาลาก้า 1 คืน ก่อนบินกลับ มีเวลาให้ช้อปปิ้งจุใจ)
ล่องเรือแคนาดา-นิวอิงแลนด์ 12 วัน
ล่องเรือแคนาดา-นิวอิงแลนด์ 12 วัน
Royal Caribbean… Brilliance of the SEAs!
บอสตัน – พอร์ตแลนด์ – บาร์ ฮาร์เบอร์ – เซ็นต์จอห์น – แฮลิแฟกซ์ – นิวยอร์ค
(แคนาดา – นิว อิงแลนด์ทริป พร้อมลงเรือเล็ก ชมปลาวาฬ)
(ช้อปปิ้งจุใจที่เอาท์เลต Woodbury Outlet, L.L Bean Freeport outlet
Royal Caribbean… Brilliance of the SEAs!
บอสตัน – พอร์ตแลนด์ – บาร์ ฮาร์เบอร์ – เซ็นต์จอห์น – แฮลิแฟกซ์ – นิวยอร์ค
(แคนาดา – นิว อิงแลนด์ทริป พร้อมลงเรือเล็ก ชมปลาวาฬ)
(ช้อปปิ้งจุใจที่เอาท์เลต Woodbury Outlet, L.L Bean Freeport outlet
ทัวร์ญี่ปุ่น โอซาก้า เกียวโต โกเบ 5 วัน 4 คืน
เยือนเมืองหลวงเก่าเกียวโต เยี่ยมชมมรดกโลก “วัดคิโยมิสึ”
ตื่นตากับอุโมงค์เสาโทริอิสีแดงส้มนับพันต้น ณ ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ
ชมสถาปัตยกรรมแบบโจโด เยือนดินแดนอันบริสุทธิ์ ณ วัดเบียวโดอิน
แวะชิมซอฟครีมชาเขียวละมุนลิ้นและซื้อของฝากที่ถนนชาเขียวอุจิ
เที่ยวเมืองท่าโกเบ ช้อปปิ้งจุใจในบรรยากาศริมทะเลที่ฮาเบอร์แลนด์
ชมสะพานอาคาชิไคเคียว สะพานแขวนที่ยาวที่สุดในโลก
ขึ้นภูเขาร็อกโกะ ชมวิวเมืองโกเบแบบ 360 องศา
อิสระ 1 วันเต็ม ให้ท่านได้เลือกท่องเที่ยวตามใจชอบ หรือเลือกไปสัมผัสโลกแห่งเวทมนต์กับโซนใหม่ “แฮร์รี่ พอตเตอร์” ที่ UNIVERSAL STUDIO
วันแรก : กรุงเทพฯ –สนามบินคันไซ – โรงแรมที่พัก
DAY 1 : Depart to Kansai Airport By TG672 (11.00-18.10) - Hotel
เดินทางสู่ประเทศญี่ปุ่น โดย สายการบินไทย แอร์ เวย์ เที่ยวบินที่ TG672
ที่พัก KANSAI BEST WESTERN HOTEL หรือเทียบเท่า
ตื่นตากับอุโมงค์เสาโทริอิสีแดงส้มนับพันต้น ณ ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ
ชมสถาปัตยกรรมแบบโจโด เยือนดินแดนอันบริสุทธิ์ ณ วัดเบียวโดอิน
แวะชิมซอฟครีมชาเขียวละมุนลิ้นและซื้อของฝากที่ถนนชาเขียวอุจิ
เที่ยวเมืองท่าโกเบ ช้อปปิ้งจุใจในบรรยากาศริมทะเลที่ฮาเบอร์แลนด์
ชมสะพานอาคาชิไคเคียว สะพานแขวนที่ยาวที่สุดในโลก
ขึ้นภูเขาร็อกโกะ ชมวิวเมืองโกเบแบบ 360 องศา
อิสระ 1 วันเต็ม ให้ท่านได้เลือกท่องเที่ยวตามใจชอบ หรือเลือกไปสัมผัสโลกแห่งเวทมนต์กับโซนใหม่ “แฮร์รี่ พอตเตอร์” ที่ UNIVERSAL STUDIO
วันแรก : กรุงเทพฯ –สนามบินคันไซ – โรงแรมที่พัก
DAY 1 : Depart to Kansai Airport By TG672 (11.00-18.10) - Hotel
เดินทางสู่ประเทศญี่ปุ่น โดย สายการบินไทย แอร์ เวย์ เที่ยวบินที่ TG672
ที่พัก KANSAI BEST WESTERN HOTEL หรือเทียบเท่า
วันที่สอง : เกียวโต – วัดคิโยมิสึ – ศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ – วัดเบียวโดอิน – ถนนชาเขียวอุจิ – โอซาก้า
DAY 2 : Kyoto - Kiyomizu Dera - Fushimi Inari Shrine - Byodoin Temple - Uji Road - Osaka - Hotel
วัดคิโยมิสึหรือวัดน้ำใส วัดที่มีอายุเก่าแก่ยาวนานกว่า 1,500 ปี และได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก
ชม ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริหรือศาลเจ้าจิ้งจอกขาว เป็นศาลเจ้าในศาสนาชินโต โดยสร้างขึ้นเพื่อถวายแด่ “เทพอินาริ” เทพแห่งกสิกรรม เพื่อให้พื้นที่บริเวณนี้มีความอุดมสมบูรณ์ ได้ผลผลิตดี
วัดเบียวโดอินวัดเก่าแก่ทางพุทธศาสนาและเป็นวัดที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอีกแห่งหนึ่งของเกียวโต เป็นสถานที่ที่งดงามดั่งดินแดนอันบริสุทธิ์และถือเป็นส่วนหนึ่งของอนุสาวรีย์ทางประวัติศาสตร์เกียวโต
“ถนนชาเขียว อุจิ” ซึ่งที่นี่มีร้านขายผลิตภัณฑ์ที่ทำจากชาเขียวเต็มทั้งสองฝั่งถนน เพียงแค่ท่านเดินเข้ามาในบริเวณนี้ก็จะได้กลิ่นของชาเขียว ที่ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วถนน มีผลิตภัณฑ์ที่ทำจากชาเขียววางจำหน่าย
ที่พัก OSAKA PLAZA HOTEL หรือเทียบเท่า
วันที่สาม : อิสระท่องเที่ยวเมืองโอซาก้า หรือเลือกซื้อทัวร์เสริม ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ (ไม่มีบริการรถบัส)
DAY 3 : Osaka Free day Travel or Buy Option Universal Studio (Pay More 2,600 THB/PAX) - Hotel (No bus service)
อิสระท่องเที่ยวหรือช้อปปิ้งย่านดังของโอซาก้า (ไม่มีบริการรถบัส)
หรือท่านสามารถเลือกซื้อทัวร์เสริมยูนิเวอร์แซลสตูดิโอ(จ่ายเพิ่มท่านละ 2,600 บาท ไม่รวมค่าใช้จ่ายในการเดินทาง)
ที่พัก OSAKA PLAZA HOTEL หรือเทียบเท่า
วันที่สี่ : โอซาก้า – โกเบ – สะพานอาคาชิ ไคเคียว – ชมวิวบนภูเขาร็อกโกะ – ช้อปปิ้งฮาเบอร์แลนด์ – ริงกุ พรีเมี่ยมเอาท์เล็ต – คันไซ
DAY 4 : Osaka - Kobe - Akashi Kaikyo Bridge - Mt.Rokko - Shopping Haberland - Ringu Premium Outlet - Hotel
สะพานอาคาชิไคเคียวสะพานแขวนที่ยาวที่สุดในโลก ตั้งอยู่ระหว่างโกเบและเกาะอาวาจิ และเป็นส่วนหนึ่งของทางด่วน Kobe-Awaji-Naruto(1 ใน 3 ทางด่วนที่เชื่อมต่อเกาะฮอนชูกับชิโกกุ)
ชมวิวบนภูเขาร็อกโกะ ซึ่งเป็นจุดชมวิวและเส้นทางปีนเขาที่เป็นที่นิยม จากบนยอดเขา ท่านสามารถมองเห็นวิวของโกเบและโอซาก้าได้ในมุมกว้างแบบ 360 องศา
ช้อปปิ้งที่ฮาเบอร์แลนด์แหล่งช้อปปิ้งและบันเทิงของย่านนี้ มีห้างสรรพสินค้าที่สร้างด้วยโมเสค
ริงกุ พรีเมี่ยมเอาท์เล็ต แหล่งช้อปปิ้งชื่อดังอีกแห่งหนึ่งของโอซาก้า ตั้งอยู่ตรงข้ามกับท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ โดยออกแบบให้มีลักษณะเหมือนกับเมืองท่าของสหรัฐอเมริกาและมีบรรยากาศแบบรีสอร์ท
ที่พัก KANSAI BEST WESTERN HOTEL หรือเทียบเท่า
วันที่ห้า : สนามบินคันไซ - กรุงเทพฯ
DAY 5 : Hotel - Kansai Airport - Return to Bangkok By TG623 (11.00-15.45)
เดินทางจากสนามบินคันไซ ประเทศญี่ปุ่น โดยสายการบินไทย แอร์ เวย์ เที่ยวบินที่ TG623
เที่ยวญี่ปุ่น 10 วัน
Day 1 : ลงเครื่องบิน ท่องราตรีโอซาก้า (พัก โอซาก้า)
Day 2 : ฮิโรชิม่า มิยาจิม่า โกเบ (พัก โอซาก้า)
Day 3 : โตเกียว โอไดบะ (พัก โยโกฮาม่า)
Day 4 : นิกโก้ เมืองมรดกโลก (พัก โยโกฮาม่า)
Day 5 : นิกโก้ โอโดะมูระ (พัก โยโกฮาม่า)
Day 6 : นารา เกียวโต (พัก โอซาก้า)
Day 7 : ชิราคาวาโกะ (พัก โอซาก้า)
Day 8 : ยูนิเวอแซลสตูดิโอ (พัก โอซาก้า)
Day 9 : โอซาก้า (พัก โอซาก้า)
Day 10 : โอซาก้า ขึ้นเครื่องบินกลับ
เที่ยวโอซาก้า-นารา-เกียวโต-โกเบ พร้อมตะลุยกินของอร่อย
โปรแกรมเที่ยวคราวนี้เที่ยวระหว่างวันที่ 18-26 Feb 2014
ตารางเที่ยวโดยละเอียดเป็นดังนี้ครับ
18 Feb : เดินทาง TG672/18FEB BKK-KIX, เดินเล่นยามเย็น
19-20 Feb : ตะลุยในโอซาก้า
21 Feb : เที่ยวนารา
22-23 Feb : เที่ยวเกียวโต
24 Feb : เที่ยวโกเบ
25 Feb : เก็บตกโอซาก้า
26 Feb : เดินทางกลับ TG673/26Feb KIX-BKK
ตารางเที่ยวโดยละเอียดเป็นดังนี้ครับ
18 Feb : เดินทาง TG672/18FEB BKK-KIX, เดินเล่นยามเย็น
19-20 Feb : ตะลุยในโอซาก้า
21 Feb : เที่ยวนารา
22-23 Feb : เที่ยวเกียวโต
24 Feb : เที่ยวโกเบ
25 Feb : เก็บตกโอซาก้า
26 Feb : เดินทางกลับ TG673/26Feb KIX-BKK
ล่องเรือทะเลแคริบเบี้ยน 13 วัน
ล่องเรือทะเลแคริบเบี้ยน 13 วัน
Royal Caribbean… Oasis of the SEAs!
“ เรือสำราญลำใหญ่ที่สุดในโลก ”
ไมอามี่ – บาฮามาส– เฮติ - จาไมก้า – เม็กซิโก
(พักค้างไมอามี่ 2 คืน พร้อมช้อปปิ้งจุใจ Outlet…. ล่องเรือลำใหญ่ที่สุดในโลก)
Royal Caribbean… Oasis of the SEAs!
“ เรือสำราญลำใหญ่ที่สุดในโลก ”
ไมอามี่ – บาฮามาส– เฮติ - จาไมก้า – เม็กซิโก
(พักค้างไมอามี่ 2 คืน พร้อมช้อปปิ้งจุใจ Outlet…. ล่องเรือลำใหญ่ที่สุดในโลก)
ล่องเรือแคนาดา-นิวอิงแลนด์ 12 วัน
ล่องเรือแคนาดา-นิวอิงแลนด์ 12 วัน
Royal Caribbean… Brilliance of the SEAs!
บอสตัน – พอร์ตแลนด์ – บาร์ ฮาร์เบอร์ – เซ็นต์จอห์น – แฮลิแฟกซ์ – นิวยอร์ค
(แคนาดา – นิว อิงแลนด์ทริป พร้อมลงเรือเล็ก ชมปลาวาฬ)
(ช้อปปิ้งจุใจที่เอาท์เลต Woodbury Outlet, L.L Bean Freeport outlet)
Royal Caribbean… Brilliance of the SEAs!
บอสตัน – พอร์ตแลนด์ – บาร์ ฮาร์เบอร์ – เซ็นต์จอห์น – แฮลิแฟกซ์ – นิวยอร์ค
(แคนาดา – นิว อิงแลนด์ทริป พร้อมลงเรือเล็ก ชมปลาวาฬ)
(ช้อปปิ้งจุใจที่เอาท์เลต Woodbury Outlet, L.L Bean Freeport outlet)
ล่องเรือทะเลเมดิเตอร์เรเนียน 10 วัน
ล่องเรือทะเลเมดิเตอร์เรเนียน 10 วัน
MSC Fantasia
(บินเข้ามิลาน – ออกเจนัว)
มิลาน - เจนัว - เนเปิ้ล - เมสซิน่า (เกาะซิซิลี) -
วาเลตต้า (มอลต้า) - ปัลมา เดอ มายอร์กา - บาร์เซโลน่า - มาร์กเซย์
MSC Fantasia
(บินเข้ามิลาน – ออกเจนัว)
มิลาน - เจนัว - เนเปิ้ล - เมสซิน่า (เกาะซิซิลี) -
วาเลตต้า (มอลต้า) - ปัลมา เดอ มายอร์กา - บาร์เซโลน่า - มาร์กเซย์
มหัศจรรย์ บราซิล - เปรู 10 วัน (AF)
มหัศจรรย์ บราซิล - เปรู 10 วัน (AF)
(ไฮไลท์.....ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไปเยือน 3 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก)
เที่ยวครบ 3 สิ่งมหัศจรรย์แห่งอเมริกาใต้สุดฮิป
รูปปั้นพระเยซูคริสต์แห่งริโอเดอจาเนโร/น้ำตกอิกวาสุอันยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก มาชูปิคชู เมืองลี้ลับแห่งอาณาจักรอินคา
ริโอเดอจาเนโร - เคเบิ้ลคาร์ขึ้นชูการ์โลฟ -
พระเยซูคริสต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก (Christ The Redeemer) - น้ำตกอิกวาซุ -
ล่องเรือเจทมาคูโค ชมน้ำตกอิกวาสุ ดินเนอร์พร้อมชมโชว์ -
ลิมา (เปรู) ถิ่นกำเนิดจักรวรรดิอินคา - คูซโก้ - มหัศจรรย์ มาชูปิคชู
(ไฮไลท์.....ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไปเยือน 3 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก)
เที่ยวครบ 3 สิ่งมหัศจรรย์แห่งอเมริกาใต้สุดฮิป
รูปปั้นพระเยซูคริสต์แห่งริโอเดอจาเนโร/น้ำตกอิกวาสุอันยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก มาชูปิคชู เมืองลี้ลับแห่งอาณาจักรอินคา
ริโอเดอจาเนโร - เคเบิ้ลคาร์ขึ้นชูการ์โลฟ -
พระเยซูคริสต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก (Christ The Redeemer) - น้ำตกอิกวาซุ -
ล่องเรือเจทมาคูโค ชมน้ำตกอิกวาสุ ดินเนอร์พร้อมชมโชว์ -
ลิมา (เปรู) ถิ่นกำเนิดจักรวรรดิอินคา - คูซโก้ - มหัศจรรย์ มาชูปิคชู
แกรนด์ตุรกี 8 วัน 6 คืน
คัปปาโดเกีย - นครใต้ดินไคมัคลี่ - พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม่ - คาราวานสไลน์ - พิพิธภัณฑ์เมฟลาน่า
คอนย่า - ปามุคคาเล่ - คูซาดาซึ - อิชเมียร์ - เอฟฟิซุส - บ้านพระแม่มารี - อิสตันบูล - สุเหร่าสีน้ำเงิน
ฮิปโปโดรม - โบสถ์เซ็นต์โซเฟีย - อ่างเก็บน้ำใต้ดิน - พระราชวังทอปกาปึ - พระราชวังโดลมาบาชเช่
ล่องเรือช่องแคบบอสฟอรัส (Private Boat)
เที่ยวชมดินแดนคาบเกี่ยว 2 ทวีป เที่ยวสบายๆ ไม่ต้องห่วงระยะทางเพราะเราบินภายในถึง 2 ขา เยือนเมืองโบราณเอเฟซุส (City of Ephesus) ที่ขนานนามว่า มหานครแห่งแรกและยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชีย ตื่นตากับความอัศจรรย์ทางธรรมชาติกับปามุคคาเล (Pamukkale) เป็นน้ำตกหินปูนสีขาวที่ได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ เที่ยวอิสตันบูล เมืองเดียวในโลกที่ตั้งอยู่ระหว่างทวีปยุโรปและเอเชีย เข้าชมพิพิธภัณฑ์ฮาเยียโซเฟีย (Ayasofya Museum)ได้รับการขนานนามว่าเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ ชมของล้ำค่าในพระราชวังทอปกาปึ (Topkapi Palace) ที่ยิ่งใหญ่มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่กินเนื้อที่เกือบ 700,000 ตารางเมตร (Option) ขึ้นบอลลูนชมภูมิทัศน์คัปปาโดเกีย (Cappadocia) เพื่อชื่นชมดินแดนที่มีภูมิประเทศอันน่าอัศจรรย์ซึ่งเกิดจากลาวาภูเขาไฟ
วันแรก กรุงเทพมหานครฯ – อิสตันบูล – คูซาดาซึ (พักค้าง 2 คืน)
08.00 น. คณะพบเจ้าหน้าที่และมัคคุเทศก์ได้ที่ เคาน์เตอร์เชคอิน S (แถว S 14-18) ประตูทางเข้าที่ 9 หรือ 10 อาคารผู้โดยสาร เคาน์เตอร์สายการบินเตอร์กิช แอร์ไลน์ส (TK) ณ สนามบินสุวรรณภูมิ
11.10 น. ออกเดินทางสู่นครอิสตันบูล ประเทศตุรกี โดยเที่ยวบิน TK 65 (ใช้เวลาบินประมาณ 10.25 ชั่วโมง) เพลิดเพลินกับภาพยนตร์หลากหลายกับ จอทีวีส่วนตัวทุกที่นั่ง และสายการบินฯ บริการ อาหารค่ำและอาหารเช้า ระหว่างเที่ยวบินสู่นครอิสตันบูล ประเทศตุรกี
17.10 น. เดินทางถึงกรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกี นำท่านผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร จากนั้นนำท่านเดินทางสู่อาคารผู้โดยสารในประเทศ เพื่อขึ้นเที่ยวบินสู่เมืองอิชเมียร์ (Izmir) โดยเที่ยวบิน TK2336 (กระเป๋าเดินทางทำการส่งสู่สนามบินภายในประเทศโดยอัตโนมัติ Check through)
19.00 น. ออกเดินทางจากสนามบินอิสตันบูล (IST) สู่สนามบินเมืองอิชเมียร์ (ADB) โดยเตอร์กิช แอร์ไลน์ส มีบริการอาหารค่ำบนเครื่องบิน (ใช้เวลาบินประมาณ 1 ชม.)
20.05 น. เดินทางถึงสนามบินอิชเมียร์ นำท่านเดินทางสู่โรงแรมที่พัก
นำท่านเข้าพักในโรงแรมระดับ 5 ดาว FANTASIA DELUXE HOTEL ***** หรือเทียบเท่า
วันที่สอง อิชเมียร์ – คูซาดาซึ – บ้านของพระแม่มารี – เมืองโบราณเอฟฟิซุส
เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
นำท่านเดินทางสู่ เมืองเอฟฟิซุส (City of Ephesus) ซึ่งเป็นเมืองอาณาจักรโรมัน (ต่อมาหลังจากยุคกรีก) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชียในสมัยนั้น ในอดีตเอฟฟิซุสเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของโรมันในคาบสมุทรอนาโตเลีย เป็นศูนย์กลางการค้า การคมนาคม ตั้งอยู่ริมทะเล จนได้รับการกำหนดให้เป็นเมืองหลวงแห่งเอเชียของอาณาจักรโรมัน เมืองเอฟฟิซุสมีประวัติศาสตร์ยาวนานตั้งแต่ยุคกรีกโบราณ ซากเมืองที่เห็นในปัจจุบันมีความสมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก อาจจะเป็นรองแค่ปอมเปอีเท่านั้น นำท่านเข้าชม ห้องอาบน้ำแบบโรมันโบราณ (Roman Bath) ที่ยังคงเหลือร่องรอยของห้องอบไอน้ำให้เห็นอยู่จนถึงทุกวันนี้ นำท่านชม วิหารแห่งจักรพรรดิเฮเดรียน (Temple of Hadrian) ซึ่งเป็นจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่อีกองค์หนึ่งของโรมัน ความโดดเด่นของวิหารแห่งนี้คืออยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มาก ด้านหน้าสร้างเป็นเสา โครินเธียน 4 ต้น คู่กลางรองรับโค้งครึ่งวงกลมที่เรียงอย่างสวยงาม โค้งด้านหลังมีภาพแกะสลักเป็นรูปนางเมดูซ่า หัวเป็นงู นำชมอาคารที่โดดเด่นที่สุดจนเป็นสัญลักษณ์ของเอฟฟิซุสคือ หอสมุดเซลซุส (Library of Celsus) เป็นอาคารสองชั้น ด้านหน้าหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเพื่อรับแสงสว่างยามเช้า ห้องสมุดนี้สร้างขึ้นในราวปี ค.ศ. 114 โดย ทิเบเรียส จูเลียส อกีลา (Julius Aquila) เพื่ออุทิศให้เป็นอนุสรณ์แด่พ่อของท่านซึ่งเป็นนายกเทศมนตรีของโรมันที่ปกครองแคว้นเอเชียไมเนอร์ ด้านหน้ามีรูปปั้นของเทพี 4 องค์ ได้แก่ Sophia (wisdom - ปัญญา), Arete (virtue - ความดี), Ennoia (thought - ความคิด), Episteme (knowledge - ความรู้) จากนั้นนำท่านเข้าชมสิ่งก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเอฟฟิซุสคือ โรงละคร (Great Theatre) ซึ่งสร้างโดยการสกัดไหล่เขาให้เป็นที่นั่ง สามารถบรรจุคนได้ถึง 25,000 คน ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 10 ของประชากรในยุคนั้น เดิมสร้างตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ โรมันมาปรับปรุงซ่อมแซมให้ยิ่งใหญ่มากขึ้น
เที่ยง รับประทานอาหารเที่ยงที่ภัตตาคารท้องถิ่น
บ่าย นำท่านเดินทางสู่ บ้านพระแม่มารี (House of Virgin Mary) ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นที่สุดท้ายที่พระแม่มารีมาอาศัยอยู่และสิ้นพระชนม์ในบ้านหลังนี้ ถูกค้นพบอย่างปาฏิหารย์ โดยแม่ชีตาบอด ชาวเยอรมันชื่อ แอนนา แคเทอรีน เอมเมอริช (Anna Catherine Emmerich, ค.ศ. 1774-1824) ได้เขียนบรรยายสถานที่ไว้ในหนังสืออย่างละเอียดราวกับเห็นด้วยตาตนเอง เมื่อเธอเสียชีวิตลง มีคนพยายามสืบเสาะค้นหาบ้านหลังนี้ จนพบในปี ค.ศ. 1891 ปัจจุบันบ้านพระแม่มารีได้รับการบูรณะเป็นบ้านอิฐชั้นเดียว ภายในมีรูปปั้นของพระแม่มารี ซึ่ง พระสันตปาปา โป๊ป เบเนดิกส์ที่ 16 ได้เคยเสด็จเยือน ด้านนอกของบ้าน มีก๊อกน้ำสามก๊อกที่เชื่อว่าเป็นก๊อกน้ำที่มีความศักดิ์สิทธิ์ แทนความเชื่อในเรื่อง สุขภาพ ความร่ำรวย และความรัก ถัดจากก๊อกน้ำเป็น กำแพงอธิษฐาน ซึ่งมีความเชื่อว่าหากต้องการให้สิ่งที่ปรารถนาเป็นความจริงให้เขียนลงในผ้าฝ้ายแล้วนำไปผูกไว้แล้วอธิษฐาน ได้เวลานำท่านช้อปปิ้ง ณ ศูนย์ผลิตเสื้อหนังคุณภาพสูง ซึ่งผลิตเสื้อหนังส่งให้กับแบรนด์ดังในอิตาลี อิสระให้ท่านเลือกซื้อสินค้าตามอัธยาศัย
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำในโรงแรมที่พักแบบบุฟเฟ่ต์
นำท่านเข้าพักในโรงแรมระดับ 5 ดาว FANTASIA DELUXE HOTEL ***** หรือเทียบเท่า
วันที่สาม คูซาดาซึ – ปามุคคาเล่ – ปราสามปุยฝ้าย – เมืองโบราณเฮียราโพลิส
เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
นำท่านออกเดินทางสู่เมือง ปามุคคาเล่ (Pamukkale) (ระยะทาง 185 กม. ใช้เวลาเดินทาง
2.45 ชม.) คำว่า “ปามุกคาเล่” ในภาษาตุรกี หมายถึง “ปราสาทปุยฝ้าย” Pamuk หมายถึง Cotton และ Kale หมายถึง Castle เป็นน้ำตกหินปูนสีขาวที่เกิดขึ้นจากธารน้ำใต้ดินที่มีอุณหภูมิประมาณ 35 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นที่มีแร่หินปูน (แคลเซียมออกไซด์) ผสมอยู่ในปริมาณที่สูงมาก ไหลรินลงมาจากภูเขา “คาลดากึ” ที่ตั้งอยู่ห่างออกไปทางทิศเหนือ รินเอ่อล้นขึ้นมาเหนือผิวดิน และทำปฏิกิริยาจับตัวแข็งเกาะกันเป็นริ้ว เป็นแอ่ง เป็นชั้น ลดหลั่นกันไปตามภูมิประเทศ เกิดเป็นประติมากรรมธรรมชาติ อันสวยงามแปลกตาและโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ยากจะหาที่ใดเหมือน จนทำให้ ปามุกคาเล่และเมืองเฮียราโพลิส ได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติและวัฒนธรรมในปี ค.ศ. 1988
เที่ยง รับประทานอาหารเที่ยงที่ภัตตาคารท้องถิ่น
บ่าย นำท่านเข้าชม ปราสาทปุยฝ้าย (ปามุคคาเล่) เมืองแห่งน้ำพุเกลือแร่ร้อน นำท่านชมหน้าผาที่ขาวกว้างใหญ่ด้านข้างของอ่างน้ำ เป็นรูปร่างคล้ายหอยแครงและน้ำตกแช่แข็ง ถ้ามองดูจะดูเหมือนสร้างจากหิมะ เมฆหรือปุยฝ้าย น้ำแร่ที่ไหลลงมาแต่ละชั้นจะแข็งเป็นหินปูน ห้อยย้อยเป็นรูปร่างต่างๆอย่างมหัศจรรย์ น้ำแร่นี้มีอุณหภูมิประมาณ 33-35.5 องศาเซลเซียส ประชาชนจึงนิยมไปอาบหรือนำมาดื่ม เพราะเชื่อว่ามีคุณสมบัติในการรักษาโรคหัวใจ โรคไขข้ออักเสบ ความดันโลหิตสูง โรคทางเดินปัสสาวะ และโรคไต ซึ่งในอดีตกาลชาวโรมันเชื่อว่าน้ำพุร้อนสามารถรักษาโรคได้ จึงได้สร้างเมืองเฮียราโพลิสล้อมรอบ นำท่านชม นครโบราณเฮียราโพลิส ในอดีตเป็นสถานที่บำบัดโรค ก่อตั้งโดยกษัตริย์ยูเมเนสที่ 1 ในปี 190 ก่อนคริสต์กาล สถานที่แห่งนี้มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นหลายครั้งหลังปี ค.ศ 1334 จึงไม่มีคนอาศัยอยู่อีก อย่างไรก็ตามนครแห่งนี้ซึ่งยังคงมีสถานที่สำคัญหลงเหลืออยู่คือ โรงละครแอมฟิเทียเตอร์ขนาดใหญ่ สร้างในสมัยจักรพรรดิเฮเดรียนในคริสต์ศตวรรษที่ 2 โดยโรงละครแห่งนี้ถูกดัดแปลงในคริสต์ศตวรรษที่ 3 สมัยพระเจ้าเซปติมิอุส เซเวรุส ให้มีลักษณะเหมือนในปัจจุบัน สันนิษฐานว่าสามารถจุคนได้กว่า 10,000 คนในอดีตกาล จากนั้นนำท่านชมนีโครโพลิสหรือสุสานโรมันแบบโบราณ ทางเข้ามีการสร้างประตูโดมินีเชียนคาดว่าสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 3
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำในโรงแรมที่พักแบบบุฟเฟ่ต์
โรงแรมมีบริการสระว่ายน้ำซึ่งเป็นน้ำแร่ธรรมชาติ หากท่านใดต้องการแช่น้ำแร่ ให้เตรียมชุดว่ายน้ำ และหมวกว่ายน้ำ ไปด้วย
นำท่านเข้าพักในโรงแรมระดับ 5 ดาว PAM THERMAL HOTEL***** หรือเทียบเท่า
วันที่สี่ ปามุคคาเล่ – คอนย่า – คัปปาโดเกีย
เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรมแบบบุฟเฟ่ต์
นำท่านเดินทางสู่เมือง คอนย่า (Konya) (ระยะทาง 387 กม. ใช้เวลาเดินทาง 4 ชม.) ซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรเซลจูคในช่วงปี ค.ศ. 1071 – 1308 รวมทั้งยังเป็นศูนย์กลางที่สำคัญของภูมิภาคแถบนี้อีกด้วย ท่านจะได้เพลิดเพลินกับทัศนียภาพที่งดงามตามธรรมชาติตลอดสองฝั่งทาง ของภูมิภาคตอนกลางของประเทศตุรกี
เที่ยง รับประทานอาหารเที่ยงที่ภัตตาคารท้องถิ่น
บ่าย นำท่าน เข้าชมพิพิธภัณฑ์เมฟลานา (Mevlana museum) หรือสำนักลมวน ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1231 โดย เมฟลานา เจลาเลดดิน รูบี ซึ่งเชื่อกันว่าชายคนนี้เป็นผู้วิเศษของศาสนาอิสลาม หรือเรียกได้ว่าเป็นผู้ชักชวนคนที่นับถือศาสนาคริสต์ให้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม พิพิธภัณฑ์เมฟลานา เดิมเป็นสถานที่นักบวชในศาสนาอิสลามทำสมาธิ (Whirling Dervishes) โดยการเดินหมุนเป็นวงกลมขณะฟังเสียงขลุ่ย ส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์เป็นสุสานของเมฟานา เจลาเลดดิน ภายนอกเป็นหอทรงกระบอกปลายแหลมสีเขียวสดใส ภายในตกแต่งประดับประดาฝาผนังแบบมุสลิม และยังเป็นสุสานสำหรับผู้ติดตาม สานุศิษย์ บิดา และบุตรของเมฟลานาด้วย ได้เวลานำท่านเดินทางสู่ เมืองคัปปาโดเกีย ซึ่งองค์การยูเนสโกได้ประกาศให้เป็นเมืองมรดกโลก ระหว่างทางนำท่านชม “คาราวานสไลน์” ที่พักแรมและที่แลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างทางของชาวเติร์กในสมัยออตโตมัน นำท่านเดินทางต่อสู่เมือง คัปปาโดเกีย (Cappadocia) (ระยะทาง 180 กม. ใช้เวลาเดินทาง 2.30 ชม.) ท่านจะได้ชมวิถีชีวิตตามชนบทและทัศนียภาพที่สวยงามของทุ่งหญ้าสลับกับภูเขา รวมถึงท้องฟ้าสีสดใสสองข้างทาง
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำในโรงแรมที่พัก
นำท่านเข้าพักในโรงแรมระดับ 5 ดาว SUHAN HOTEL***** หรือเทียบเท่า
วันที่ห้า คัปปาโดเกีย – พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม – นครใต้ดินไคมัครึ – อิสตันบูล
เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
นำท่าน ชมเมืองคัปปาโดเกีย (Cappadocia) ดินแดนที่มีภูมิประเทศอันน่าอัศจรรย์แปรสภาพเป็นหุบเขา ร่องลึก เนินเขา กรวยหิน และเสารูปทรงต่างๆ ที่งดงาม คัปปาโดเกีย(Cappadocia) เป็นชื่อเก่าแก่ภาษาฮิตไทต์ (ชนเผ่ารุ่นแรกๆที่อาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้) แปลว่า“ดินแดนม้าพันธุ์ดี” ตั้งอยู่ทางตอนกลางของตุรกี เป็นพื้นที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเออซิเยสและภูเขาไฟฮาซาน เมื่อประมาณ 3 ล้านปีที่แล้ว เถ้าลาวาที่พ่นออกมาและเถ้าถ่านจำนวนมหาศาลกระจายทั่วบริเวณ จนทับถมเป็นแผ่นดินชั้นใหม่ขึ้นมา จากนั้นกระแส น้ำ ลม ฝน แดด และหิมะ กัดเซาะกร่อนกินแผ่นดินภูเขาไฟไปเรื่อยๆนับแสนนับล้านปี จนเกิดเป็นภูมิประเทศประหลาดแปลกตาน่าพิศวง ที่เต็มไปด้วยหินรูป แท่ง กรวย ปล่อง กระโจม โดม และอีกสารพัดรูปทรง ดูประหนึ่งดินแดนในเทพนิยายจนผู้คนในพื้นที่เรียกขานกันว่า “ปล่องไฟนางฟ้า” ในปี ค.ศ.1985 ยูเนสโกได้ประกาศให้พื้นที่มหัศจรรย์แห่งนี้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติและวัฒนธรรมแห่งแรกของตุรกี ได้เวลานำท่านเข้าชม นครใต้ดิน (Underground city of Kaymakli) ซึ่งเป็นเมืองใต้ดินที่มีครบทุกอย่าง ทั้งห้องโถง ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องถนอมอาหาร ห้องครัว ห้องอาหาร โบสถ์ ทางหนีฉุกเฉิน ฯลฯ ซึ่งสาเหตุแท้จริงของการสร้างเมืองใต้ดินปัจจุบันยังสรุปไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่ต่างลงความเห็นว่าเป็นการสร้างเพื่อใช้เป็นที่หลบภัยจากข้าศึกศัตรู (โดยเฉพาะพวกทหารโรมัน) แม้จะเป็นเมืองขนาดใหญ่ขุดลึกลงไปใต้ดินหลายชั้น แต่ว่าอากาศในนั้นกลับถ่ายเทเย็นสบาย เนื่องจากเป็นหินภูเขาไฟ มีอุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีประมาณ 17-18 องศาเซลเซียส หน้าร้อนอากาศเย็น หน้าหนาวอากาศอบอุ่น
เที่ยง รับประทานอาหารเที่ยงที่ภัตตาคารท้องถิ่น
บ่าย นำท่านเดินทางสู่ เมืองเกอเรเม (GOREME) เพื่อเข้าชมพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง ซึ่งเป็นศูนย์กลางของศาสนาคริสต์ในช่วง ค.ศ. 9 ซึ่งเป็นความคิดของชาวคริสต์ที่ต้องการเผยแพร่ศาสนาโดยการขุดถ้ำเป็นจำนวนมากเพื่อสร้างโบสถ์และยังเป็นการป้องกันการรุกรานจากชนเผ่าลัทธิอื่นที่ไม่เห็นด้วยกับศาสนาคริสต์ ก่อนที่ศาสนาคริสต์จะเผยแพร่ในคัปปาโดเกีย ผู้คนแถบนี้นับถือเทพเจ้ากรีก-โรมัน จนเมื่อประมาณกลางคริสต์ศตวรรษที่ 1 “เซนต์ปอล” เดินทางมาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในคัปปาโดเกีย แต่ดูเหมือนว่าชาวโรมันผู้ปกครองในยุคนั้นจะไม่ให้การยอมรับ ทำให้ผู้นับถือศาสนาคริสต์ในคัปปาโดเกียต้องหลบซ่อนการรังควานของโรมัน ด้วยการเจาะถ้ำ ขุดพื้นดินลงไปเป็นอุโมงค์ เกิดเป็นเมืองใต้ดินขึ้นมา และได้ขุดเจาะบริเวณเกอเรเม่ทำเป็นโบสถ์ถ้ำจำนวนมากกระทั่งในคริสต์ศตวรรษที่ 5-6 ชาวโรมันให้การยอมรับศาสนาคริสต์ สำหรับโบสถ์ถ้ำในเกอเรเม่ ว่ากันว่ามีถึง 365 หลังด้วยกัน (สร้างตามจำนวนวันใน 1 ปี) แต่ว่าปัจจุบันเปิดให้ชมเพียงบางส่วนเท่านั้น อิสระให้ท่านได้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ได้เวลานำท่านแวะชมโรงงานทอพรม โรงงานเซรามิค พร้อมเพลิดเพลินกับการจับจ่ายซื้อของฝากตามอัธยาศัย
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำที่ภัตตาคารท้องถิ่น
นำท่านเดินทางสู่สนามบินเมืองเนฟเชียร์
19.45 น. ออกเดินทางสู่เมืองอิสตันบูล โดยเที่ยวบิน TK 2009
21.05 น. ถึงสนามบินเมืองอิสตันบูล
นำท่านเข้าพักในโรงแรมระดับ 5 ดาว GRAND CAVAHIR***** หรือเทียบเท่า
วันที่หก พระราชวังทอปกาปึ – สุหร่าสีน้ำเงิน – โบสถ์เซนต์โซเฟีย –อ่างเก็บน้ำใต้ดิน
เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
นำท่านชมสนามแข่งม้าของชาวโรมัน หรือ “ฮิปโปโดม”(Hippodome) หรือจัตุรัสสุลต่านอาห์เมต สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิ เซปติมิอุส เซเวรุส เพื่อใช้เป็นที่จัดแสดงกิจกรรมต่างๆของชาวเมือง ต่อมาในสมัยของจักรพรรดิคอนสแตนติน ฮิปโปโดมได้รับการขยายให้กว้างขึ้น ตรงกลางเป็นที่ตั้งแสดงประติมากรรมต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นศิลปะในยุคกรีกโบราณ ในสมัยออตโตมันสถานที่แห่งนี้ใช้เป็นที่จัดงานพิธี แต่ในปัจจุบันเหลือเพียงพื้นที่ลานด้านหน้ามัสยิสสุลต่านอะห์เมตซึ่งเป็นที่ตั้งของเสาโอเบลิกส์ 3 ต้นคือ เสาที่สร้างในอียิปต์ เพื่อถวายแก่พาโรห์ตุตโมซิสที่ 3 ถูกนำกลับมาไว้ที่อิสตันบูล เสาต้นที่สองคือ เสางู และเสาต้นที่สามคือ เสาคอนสแตนตินที่ 7 จากนั้นนำท่านเข้าชม สุเหร่าสีน้ำเงิน (Blue Mosque) ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยสุลต่านอะห์เมตที่ 1 ซึ่งมีพระประสงค์ที่จะสร้างมัสยิดของจักรวรรดิออตโตมันให้มีความงดงามและยิ่งใหญ่กว่า โบสถ์เซนต์โซเฟีย (St. Sophia) ของจักรวรรดิ ไบแซนไทน์ให้ได้ โดยสุเหร่าแห่งนี้สร้างประจันหน้ากับโบสถ์เซนต์โซเฟีย อย่างไรก็ตาม โบสถ์เซนต์โซเฟีย ก็ยังคงเป็นโบสถ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในตุรกีจวบจนปัจจุบัน นำท่านเข้าชม โบสถ์เซนต์โซเฟีย (ST. Sophia) ซึ่งเป็นศิลปะแบบไบเซนไทม์ ได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ สร้างขึ้นสมัยจักรพรรดิคอนสแตนติน ของจักรวรรดิไบแซนไทน์ เดิมใช้เป็นโบสถ์คริสต์ แต่หลังจากจักรวรรดิออตโตมันเข้ามาปกครองจึงได้เปลี่ยนโบสถ์ดังกล่าวมาเป็นมัสยิส แต่ได้เปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติในสมัย เคมาล อะตาเตริ์ก หลังจากที่เป็นโบสถ์ในศาสนาคริสต์เป็นเวลากว่า 916 ปี และเป็นมัสยิสของศาสนาอิสลามอีกกว่า 447 ปี ปัจจุบันเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมความงามและความยิ่งใหญ่ ภายในมีภาพประดับโมเสกทองที่สมบูรณ์บ่งบอกถึงความศรัทธาอันแรงกล้าของจักรพรรดิคอนสแตนตินที่มีต่อคริสต์ศาสนา จากนั้นนำท่านชมความยิ่งใหญ่ของสิ่งก่อสร้างของชาวโรมันในอดีต อ่างเก็บน้ำใต้ดินเยเรบาตัน (Underground Cistern) ซึ่งเป็นอุโมงค์เก็บน้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอิสตันบูล สามารถเก็บน้ำได้มากถึง 88,000 ลูกบาศก์เมตร สร้างขึ้นตั้งแต่คริสต์ศวรรษที่ 6 ภายในอุโมงค์ มีเสากรีกต้นสูงใหญ่ค้ำเรียงรายเป็นแถวถึง 336 ต้น และมีเสาต้นที่เด่นมากคือ เสาเมดูซ่า อิสระให้ท่านถ่ายรูปและชมความงามใต้ดินของอุโมงค์เก็บน้ำขนาดใหญ่
เที่ยง รับประทานอาหารเที่ยงที่ภัตตาคารจีน
บ่าย นำท่าน เข้าชมพระราชวังทอปกาปึ (Topkapi Palace) ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยสุลต่านเมห์เมตที่ 2 หรือ เมห์เมตผู้พิชิต ภายหลังที่ทรงตีกรุงคอนสแตนติโนเบิลหรืออิสตันบูลในปัจจุบันได้แล้ว ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะให้เมืองนี้เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรออตโตมัน จึงโปรดให้มีการสร้างพระราชวังนี้ขึ้นเป็นที่ประทับอย่างถาวร พระราชวังทอปกาปึนี้มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่กินเนื้อที่เกือบ 700,000 ตารางเมตร ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงตามแนวฝั่งทะเลมาร์มารา ภายในพระราชวังประกอบด้วยตำหนักน้อยใหญ่ พลับพลา พระคลังมหาสมบัติ มัสยิส หอพัก โรงเรียน ฮาเร็ม ฯลฯ ปัจจุบันพระราชวังทอปกาปึกลายเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติที่ใช้เก็บมหาสมบัติอันล้ำค่าอาทิ เช่น เพชร 96 กะรัต กริชทองประดับมรกต เครื่องลายครามจากจีน หยก มรกต ทับทิม และเครื่องทรงของสุลต่านในแต่ละยุคสมัย จากนั้นนำท่านสู่ ตลาดสไปซ์ มาร์เกต (Spice Market) หรือตลาดเครื่องเทศ ท่านสามารถเลือกซื้อของฝากได้ในราคาย่อมเยา ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับ ชาหรือกาแฟ รวมถึงผลไม้อบแห้งอันเลื่องชื่อของตุรกี อย่างแอปปลิคอทหรือจะเป็นถั่วพิทาชิโอ ซึ่งมีให้เลือกซื้อมากมาย
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำที่ภัตตาคาร พร้อมชมการแสดงระบำหน้าท้องอันเลื่องชื่อ Belly Dance
นำท่านเข้าพักในโรงแรมระดับ 5 ดาว GRAND CAVAHIR***** หรือเทียบเท่า
วันที่เจ็ด อิสตันบูล – พระราชวังโดลมาบาชเช่ – ล่องเรือชมช่องแคบบอสฟอรัส
เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
นำท่าน เข้าชมพระราชวังโดลมาบาชเช่ (Dolmabahce Palace) พระราชวังที่สะท้อนให้เห็นถึงความเจริญอย่างสูงสุดทั้งทางวัฒนธรรมและทางวัตถุของจักรวรรดิออตโตมัน ซึ่งได้แผ่ขยายอำนาจออกไปอย่างกว้างขวาง พระราชวังแห่งนี้สร้างโดย สุลต่าน อับดุล เมอซิท ในปี ค.ศ. 1843 ใช้เวลาก่อสร้างทั้งสิ้น 12 ปี เพราะความที่สุลต่านทรงเป็นผู้คลั่งไคล้ยุโรปอย่างสุดขอบ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นศิลปะ วัฒนธรรม การดำรงชีวิต ตลอดจนการทหาร ล้วนคัดลอกมาจากตะวันตกทั้งสิ้น พระราชวังแห่งนี้ออกแบบโดยสถาปนิกคู่ใจชาวอาเมเนี่ยน ชื่อ บัลยัน เป็นศิลปะผสมผสานของยุโรปและตะวันออกที่ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม ภายนอกพระราชวังประดับตกแต่งด้วยสวนไม้ดอกรายล้อมพระราชวังซึ่งอยู่เหนืออ่าวเล็กๆของช่องแคบบอสฟอรัส ภายในประกอบด้วยห้องต่างๆและฮาเร็ม ตกแต่งด้วยโคมระย้า บันไดลูกกรง แก้วเจียระไน และ โคมไฟมหึมาหนัก 4.5 ตัน ซึ่งแขวนไว้อย่างโดดเด่นในห้องท้องพระโรงใหญ่
เที่ยง รับประทานอาหาร ณ ภัตตาคารอาหารท้องถิ่น
บ่าย นำท่านล่องเรือชมช่องแคบบอสฟอรัส ซึ่งเป็นช่องแคบที่เชื่อมทะเลดำ (The Black sea) เข้ากับทะเลมาร์มาร่า (Sea of Marmara) ความยาวทั้งสิ้นประมาณ 32 กิโลเมตร ความกว้างตั้งแต่ 500 เมตรจนถึง 3 กิโลเมตร ถือว่าสุดขอบของทวีปยุโรปและสุดขอบของทวีปเอเชียมาพบกันที่นี่ นอกจากความสวยงามแล้ว ช่องแคบบอสฟอรัสยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญยิ่งในการป้องกันประเทศตุรกีอีกด้วย เพราะมีป้อมปืนตั้งเรียงรายอยู่ตามช่องแคบเหล่านี้ ว่ากันว่าจนกระทั่งถึงยุคของการนำเอาเรือปืนใหญ่มาใช้ และไม่เคยปรากฏว่ากรุงอิสตันบูลถูกถล่มจนเสียหายอย่างหนักมาก่อนเลย ทั้งนี้เป็นเพราะป้อมปืนดังกล่าวนี้เอง ในปี ค.ศ. 1973 มีการเปิดใช้สะพานบอสฟอรัสซึ่งทำให้เกิดการเดินทางไปมาระหว่างฝั่งเอเชียและยุโรปสะดวกมากขึ้น ขณะที่ล่องเรือท่านจะได้เพลิดเพลินกับทิวทัศน์ข้างทางไม่ว่าจะเป็น พระราชวังโดลมาบาชเช่ หรือ บ้านเรือนสไตล์ยุโรปของบรรดาเศรษฐี ซึ่งล้วนแล้วแต่สวยงามตระการตาทั้งสิ้น จากนั้นนำท่านสู่ย่านการค้าชื่อดัง “แกรนด์บาร์ซาร์” ซึ่งเป็นตลาดเก่าแก่ที่สร้างในสมัยกลาง ค.ศ. 15 เป็นตลาดค้าพรมและทองที่ใหญ่ที่สุดของตุรกี มีร้านค้ากว่า 4,000 ร้าน
(พิเศษ สำหรับลูกค้า ให้ท่านได้ชิมไอศครีมตุรกีอันเลื่องชื่อ ซึ่งมีขายเฉพาะในประเทศตุรกีเท่านั้น) ให้ท่านได้เพลิดเพลินกับการเลือกซื้อสินค้าที่มีชื่อเสียงของตุรกีอย่างจุใจ เช่น แฟชั่นเครื่องหนังคุณภาพเยี่ยม ราคาย่อมเยา
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำที่ภัตตาคารจีน
21.00 น. นำท่านเดินทางสู่สนามบินเมืองอิสตันบูล
หมายเหตุ หากเดินทางกลับด้วยเที่ยวบิน TK64 เครื่องจะออกเดินทางจากอิสตันบูล เวลา 20.00 น. ซึ่งจะนำคณะเดินทางถึงสนามบินอิสตันบูลเวลา 17.30 น.
วันที่แปด กรุงเทพฯ
00.40 น. ออกเดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ โดยเที่ยวบิน TK 68 (บินตรง) (ใช้เวลาบิน 9 ชั่วโมง)
สายการบินมีบริการอาหารค่ำ และ อาหารเช้า
09.25 น. เดินทางถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ (BON VOYAGE) โดยเที่ยวบิน TK64
14.15 น. เดินทางถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ (BON VOYAGE) โดยเที่ยวบิน TK68
คอนย่า - ปามุคคาเล่ - คูซาดาซึ - อิชเมียร์ - เอฟฟิซุส - บ้านพระแม่มารี - อิสตันบูล - สุเหร่าสีน้ำเงิน
ฮิปโปโดรม - โบสถ์เซ็นต์โซเฟีย - อ่างเก็บน้ำใต้ดิน - พระราชวังทอปกาปึ - พระราชวังโดลมาบาชเช่
ล่องเรือช่องแคบบอสฟอรัส (Private Boat)
เที่ยวชมดินแดนคาบเกี่ยว 2 ทวีป เที่ยวสบายๆ ไม่ต้องห่วงระยะทางเพราะเราบินภายในถึง 2 ขา เยือนเมืองโบราณเอเฟซุส (City of Ephesus) ที่ขนานนามว่า มหานครแห่งแรกและยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชีย ตื่นตากับความอัศจรรย์ทางธรรมชาติกับปามุคคาเล (Pamukkale) เป็นน้ำตกหินปูนสีขาวที่ได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ เที่ยวอิสตันบูล เมืองเดียวในโลกที่ตั้งอยู่ระหว่างทวีปยุโรปและเอเชีย เข้าชมพิพิธภัณฑ์ฮาเยียโซเฟีย (Ayasofya Museum)ได้รับการขนานนามว่าเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ ชมของล้ำค่าในพระราชวังทอปกาปึ (Topkapi Palace) ที่ยิ่งใหญ่มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่กินเนื้อที่เกือบ 700,000 ตารางเมตร (Option) ขึ้นบอลลูนชมภูมิทัศน์คัปปาโดเกีย (Cappadocia) เพื่อชื่นชมดินแดนที่มีภูมิประเทศอันน่าอัศจรรย์ซึ่งเกิดจากลาวาภูเขาไฟ
วันแรก กรุงเทพมหานครฯ – อิสตันบูล – คูซาดาซึ (พักค้าง 2 คืน)
08.00 น. คณะพบเจ้าหน้าที่และมัคคุเทศก์ได้ที่ เคาน์เตอร์เชคอิน S (แถว S 14-18) ประตูทางเข้าที่ 9 หรือ 10 อาคารผู้โดยสาร เคาน์เตอร์สายการบินเตอร์กิช แอร์ไลน์ส (TK) ณ สนามบินสุวรรณภูมิ
11.10 น. ออกเดินทางสู่นครอิสตันบูล ประเทศตุรกี โดยเที่ยวบิน TK 65 (ใช้เวลาบินประมาณ 10.25 ชั่วโมง) เพลิดเพลินกับภาพยนตร์หลากหลายกับ จอทีวีส่วนตัวทุกที่นั่ง และสายการบินฯ บริการ อาหารค่ำและอาหารเช้า ระหว่างเที่ยวบินสู่นครอิสตันบูล ประเทศตุรกี
17.10 น. เดินทางถึงกรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกี นำท่านผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร จากนั้นนำท่านเดินทางสู่อาคารผู้โดยสารในประเทศ เพื่อขึ้นเที่ยวบินสู่เมืองอิชเมียร์ (Izmir) โดยเที่ยวบิน TK2336 (กระเป๋าเดินทางทำการส่งสู่สนามบินภายในประเทศโดยอัตโนมัติ Check through)
19.00 น. ออกเดินทางจากสนามบินอิสตันบูล (IST) สู่สนามบินเมืองอิชเมียร์ (ADB) โดยเตอร์กิช แอร์ไลน์ส มีบริการอาหารค่ำบนเครื่องบิน (ใช้เวลาบินประมาณ 1 ชม.)
20.05 น. เดินทางถึงสนามบินอิชเมียร์ นำท่านเดินทางสู่โรงแรมที่พัก
นำท่านเข้าพักในโรงแรมระดับ 5 ดาว FANTASIA DELUXE HOTEL ***** หรือเทียบเท่า
วันที่สอง อิชเมียร์ – คูซาดาซึ – บ้านของพระแม่มารี – เมืองโบราณเอฟฟิซุส
เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
นำท่านเดินทางสู่ เมืองเอฟฟิซุส (City of Ephesus) ซึ่งเป็นเมืองอาณาจักรโรมัน (ต่อมาหลังจากยุคกรีก) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชียในสมัยนั้น ในอดีตเอฟฟิซุสเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของโรมันในคาบสมุทรอนาโตเลีย เป็นศูนย์กลางการค้า การคมนาคม ตั้งอยู่ริมทะเล จนได้รับการกำหนดให้เป็นเมืองหลวงแห่งเอเชียของอาณาจักรโรมัน เมืองเอฟฟิซุสมีประวัติศาสตร์ยาวนานตั้งแต่ยุคกรีกโบราณ ซากเมืองที่เห็นในปัจจุบันมีความสมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก อาจจะเป็นรองแค่ปอมเปอีเท่านั้น นำท่านเข้าชม ห้องอาบน้ำแบบโรมันโบราณ (Roman Bath) ที่ยังคงเหลือร่องรอยของห้องอบไอน้ำให้เห็นอยู่จนถึงทุกวันนี้ นำท่านชม วิหารแห่งจักรพรรดิเฮเดรียน (Temple of Hadrian) ซึ่งเป็นจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่อีกองค์หนึ่งของโรมัน ความโดดเด่นของวิหารแห่งนี้คืออยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มาก ด้านหน้าสร้างเป็นเสา โครินเธียน 4 ต้น คู่กลางรองรับโค้งครึ่งวงกลมที่เรียงอย่างสวยงาม โค้งด้านหลังมีภาพแกะสลักเป็นรูปนางเมดูซ่า หัวเป็นงู นำชมอาคารที่โดดเด่นที่สุดจนเป็นสัญลักษณ์ของเอฟฟิซุสคือ หอสมุดเซลซุส (Library of Celsus) เป็นอาคารสองชั้น ด้านหน้าหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเพื่อรับแสงสว่างยามเช้า ห้องสมุดนี้สร้างขึ้นในราวปี ค.ศ. 114 โดย ทิเบเรียส จูเลียส อกีลา (Julius Aquila) เพื่ออุทิศให้เป็นอนุสรณ์แด่พ่อของท่านซึ่งเป็นนายกเทศมนตรีของโรมันที่ปกครองแคว้นเอเชียไมเนอร์ ด้านหน้ามีรูปปั้นของเทพี 4 องค์ ได้แก่ Sophia (wisdom - ปัญญา), Arete (virtue - ความดี), Ennoia (thought - ความคิด), Episteme (knowledge - ความรู้) จากนั้นนำท่านเข้าชมสิ่งก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเอฟฟิซุสคือ โรงละคร (Great Theatre) ซึ่งสร้างโดยการสกัดไหล่เขาให้เป็นที่นั่ง สามารถบรรจุคนได้ถึง 25,000 คน ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 10 ของประชากรในยุคนั้น เดิมสร้างตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ โรมันมาปรับปรุงซ่อมแซมให้ยิ่งใหญ่มากขึ้น
เที่ยง รับประทานอาหารเที่ยงที่ภัตตาคารท้องถิ่น
บ่าย นำท่านเดินทางสู่ บ้านพระแม่มารี (House of Virgin Mary) ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นที่สุดท้ายที่พระแม่มารีมาอาศัยอยู่และสิ้นพระชนม์ในบ้านหลังนี้ ถูกค้นพบอย่างปาฏิหารย์ โดยแม่ชีตาบอด ชาวเยอรมันชื่อ แอนนา แคเทอรีน เอมเมอริช (Anna Catherine Emmerich, ค.ศ. 1774-1824) ได้เขียนบรรยายสถานที่ไว้ในหนังสืออย่างละเอียดราวกับเห็นด้วยตาตนเอง เมื่อเธอเสียชีวิตลง มีคนพยายามสืบเสาะค้นหาบ้านหลังนี้ จนพบในปี ค.ศ. 1891 ปัจจุบันบ้านพระแม่มารีได้รับการบูรณะเป็นบ้านอิฐชั้นเดียว ภายในมีรูปปั้นของพระแม่มารี ซึ่ง พระสันตปาปา โป๊ป เบเนดิกส์ที่ 16 ได้เคยเสด็จเยือน ด้านนอกของบ้าน มีก๊อกน้ำสามก๊อกที่เชื่อว่าเป็นก๊อกน้ำที่มีความศักดิ์สิทธิ์ แทนความเชื่อในเรื่อง สุขภาพ ความร่ำรวย และความรัก ถัดจากก๊อกน้ำเป็น กำแพงอธิษฐาน ซึ่งมีความเชื่อว่าหากต้องการให้สิ่งที่ปรารถนาเป็นความจริงให้เขียนลงในผ้าฝ้ายแล้วนำไปผูกไว้แล้วอธิษฐาน ได้เวลานำท่านช้อปปิ้ง ณ ศูนย์ผลิตเสื้อหนังคุณภาพสูง ซึ่งผลิตเสื้อหนังส่งให้กับแบรนด์ดังในอิตาลี อิสระให้ท่านเลือกซื้อสินค้าตามอัธยาศัย
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำในโรงแรมที่พักแบบบุฟเฟ่ต์
นำท่านเข้าพักในโรงแรมระดับ 5 ดาว FANTASIA DELUXE HOTEL ***** หรือเทียบเท่า
วันที่สาม คูซาดาซึ – ปามุคคาเล่ – ปราสามปุยฝ้าย – เมืองโบราณเฮียราโพลิส
เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
นำท่านออกเดินทางสู่เมือง ปามุคคาเล่ (Pamukkale) (ระยะทาง 185 กม. ใช้เวลาเดินทาง
2.45 ชม.) คำว่า “ปามุกคาเล่” ในภาษาตุรกี หมายถึง “ปราสาทปุยฝ้าย” Pamuk หมายถึง Cotton และ Kale หมายถึง Castle เป็นน้ำตกหินปูนสีขาวที่เกิดขึ้นจากธารน้ำใต้ดินที่มีอุณหภูมิประมาณ 35 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นที่มีแร่หินปูน (แคลเซียมออกไซด์) ผสมอยู่ในปริมาณที่สูงมาก ไหลรินลงมาจากภูเขา “คาลดากึ” ที่ตั้งอยู่ห่างออกไปทางทิศเหนือ รินเอ่อล้นขึ้นมาเหนือผิวดิน และทำปฏิกิริยาจับตัวแข็งเกาะกันเป็นริ้ว เป็นแอ่ง เป็นชั้น ลดหลั่นกันไปตามภูมิประเทศ เกิดเป็นประติมากรรมธรรมชาติ อันสวยงามแปลกตาและโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ยากจะหาที่ใดเหมือน จนทำให้ ปามุกคาเล่และเมืองเฮียราโพลิส ได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติและวัฒนธรรมในปี ค.ศ. 1988
เที่ยง รับประทานอาหารเที่ยงที่ภัตตาคารท้องถิ่น
บ่าย นำท่านเข้าชม ปราสาทปุยฝ้าย (ปามุคคาเล่) เมืองแห่งน้ำพุเกลือแร่ร้อน นำท่านชมหน้าผาที่ขาวกว้างใหญ่ด้านข้างของอ่างน้ำ เป็นรูปร่างคล้ายหอยแครงและน้ำตกแช่แข็ง ถ้ามองดูจะดูเหมือนสร้างจากหิมะ เมฆหรือปุยฝ้าย น้ำแร่ที่ไหลลงมาแต่ละชั้นจะแข็งเป็นหินปูน ห้อยย้อยเป็นรูปร่างต่างๆอย่างมหัศจรรย์ น้ำแร่นี้มีอุณหภูมิประมาณ 33-35.5 องศาเซลเซียส ประชาชนจึงนิยมไปอาบหรือนำมาดื่ม เพราะเชื่อว่ามีคุณสมบัติในการรักษาโรคหัวใจ โรคไขข้ออักเสบ ความดันโลหิตสูง โรคทางเดินปัสสาวะ และโรคไต ซึ่งในอดีตกาลชาวโรมันเชื่อว่าน้ำพุร้อนสามารถรักษาโรคได้ จึงได้สร้างเมืองเฮียราโพลิสล้อมรอบ นำท่านชม นครโบราณเฮียราโพลิส ในอดีตเป็นสถานที่บำบัดโรค ก่อตั้งโดยกษัตริย์ยูเมเนสที่ 1 ในปี 190 ก่อนคริสต์กาล สถานที่แห่งนี้มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นหลายครั้งหลังปี ค.ศ 1334 จึงไม่มีคนอาศัยอยู่อีก อย่างไรก็ตามนครแห่งนี้ซึ่งยังคงมีสถานที่สำคัญหลงเหลืออยู่คือ โรงละครแอมฟิเทียเตอร์ขนาดใหญ่ สร้างในสมัยจักรพรรดิเฮเดรียนในคริสต์ศตวรรษที่ 2 โดยโรงละครแห่งนี้ถูกดัดแปลงในคริสต์ศตวรรษที่ 3 สมัยพระเจ้าเซปติมิอุส เซเวรุส ให้มีลักษณะเหมือนในปัจจุบัน สันนิษฐานว่าสามารถจุคนได้กว่า 10,000 คนในอดีตกาล จากนั้นนำท่านชมนีโครโพลิสหรือสุสานโรมันแบบโบราณ ทางเข้ามีการสร้างประตูโดมินีเชียนคาดว่าสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 3
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำในโรงแรมที่พักแบบบุฟเฟ่ต์
โรงแรมมีบริการสระว่ายน้ำซึ่งเป็นน้ำแร่ธรรมชาติ หากท่านใดต้องการแช่น้ำแร่ ให้เตรียมชุดว่ายน้ำ และหมวกว่ายน้ำ ไปด้วย
นำท่านเข้าพักในโรงแรมระดับ 5 ดาว PAM THERMAL HOTEL***** หรือเทียบเท่า
วันที่สี่ ปามุคคาเล่ – คอนย่า – คัปปาโดเกีย
เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรมแบบบุฟเฟ่ต์
นำท่านเดินทางสู่เมือง คอนย่า (Konya) (ระยะทาง 387 กม. ใช้เวลาเดินทาง 4 ชม.) ซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรเซลจูคในช่วงปี ค.ศ. 1071 – 1308 รวมทั้งยังเป็นศูนย์กลางที่สำคัญของภูมิภาคแถบนี้อีกด้วย ท่านจะได้เพลิดเพลินกับทัศนียภาพที่งดงามตามธรรมชาติตลอดสองฝั่งทาง ของภูมิภาคตอนกลางของประเทศตุรกี
เที่ยง รับประทานอาหารเที่ยงที่ภัตตาคารท้องถิ่น
บ่าย นำท่าน เข้าชมพิพิธภัณฑ์เมฟลานา (Mevlana museum) หรือสำนักลมวน ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1231 โดย เมฟลานา เจลาเลดดิน รูบี ซึ่งเชื่อกันว่าชายคนนี้เป็นผู้วิเศษของศาสนาอิสลาม หรือเรียกได้ว่าเป็นผู้ชักชวนคนที่นับถือศาสนาคริสต์ให้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม พิพิธภัณฑ์เมฟลานา เดิมเป็นสถานที่นักบวชในศาสนาอิสลามทำสมาธิ (Whirling Dervishes) โดยการเดินหมุนเป็นวงกลมขณะฟังเสียงขลุ่ย ส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์เป็นสุสานของเมฟานา เจลาเลดดิน ภายนอกเป็นหอทรงกระบอกปลายแหลมสีเขียวสดใส ภายในตกแต่งประดับประดาฝาผนังแบบมุสลิม และยังเป็นสุสานสำหรับผู้ติดตาม สานุศิษย์ บิดา และบุตรของเมฟลานาด้วย ได้เวลานำท่านเดินทางสู่ เมืองคัปปาโดเกีย ซึ่งองค์การยูเนสโกได้ประกาศให้เป็นเมืองมรดกโลก ระหว่างทางนำท่านชม “คาราวานสไลน์” ที่พักแรมและที่แลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างทางของชาวเติร์กในสมัยออตโตมัน นำท่านเดินทางต่อสู่เมือง คัปปาโดเกีย (Cappadocia) (ระยะทาง 180 กม. ใช้เวลาเดินทาง 2.30 ชม.) ท่านจะได้ชมวิถีชีวิตตามชนบทและทัศนียภาพที่สวยงามของทุ่งหญ้าสลับกับภูเขา รวมถึงท้องฟ้าสีสดใสสองข้างทาง
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำในโรงแรมที่พัก
นำท่านเข้าพักในโรงแรมระดับ 5 ดาว SUHAN HOTEL***** หรือเทียบเท่า
วันที่ห้า คัปปาโดเกีย – พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม – นครใต้ดินไคมัครึ – อิสตันบูล
เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
นำท่าน ชมเมืองคัปปาโดเกีย (Cappadocia) ดินแดนที่มีภูมิประเทศอันน่าอัศจรรย์แปรสภาพเป็นหุบเขา ร่องลึก เนินเขา กรวยหิน และเสารูปทรงต่างๆ ที่งดงาม คัปปาโดเกีย(Cappadocia) เป็นชื่อเก่าแก่ภาษาฮิตไทต์ (ชนเผ่ารุ่นแรกๆที่อาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้) แปลว่า“ดินแดนม้าพันธุ์ดี” ตั้งอยู่ทางตอนกลางของตุรกี เป็นพื้นที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเออซิเยสและภูเขาไฟฮาซาน เมื่อประมาณ 3 ล้านปีที่แล้ว เถ้าลาวาที่พ่นออกมาและเถ้าถ่านจำนวนมหาศาลกระจายทั่วบริเวณ จนทับถมเป็นแผ่นดินชั้นใหม่ขึ้นมา จากนั้นกระแส น้ำ ลม ฝน แดด และหิมะ กัดเซาะกร่อนกินแผ่นดินภูเขาไฟไปเรื่อยๆนับแสนนับล้านปี จนเกิดเป็นภูมิประเทศประหลาดแปลกตาน่าพิศวง ที่เต็มไปด้วยหินรูป แท่ง กรวย ปล่อง กระโจม โดม และอีกสารพัดรูปทรง ดูประหนึ่งดินแดนในเทพนิยายจนผู้คนในพื้นที่เรียกขานกันว่า “ปล่องไฟนางฟ้า” ในปี ค.ศ.1985 ยูเนสโกได้ประกาศให้พื้นที่มหัศจรรย์แห่งนี้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติและวัฒนธรรมแห่งแรกของตุรกี ได้เวลานำท่านเข้าชม นครใต้ดิน (Underground city of Kaymakli) ซึ่งเป็นเมืองใต้ดินที่มีครบทุกอย่าง ทั้งห้องโถง ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องถนอมอาหาร ห้องครัว ห้องอาหาร โบสถ์ ทางหนีฉุกเฉิน ฯลฯ ซึ่งสาเหตุแท้จริงของการสร้างเมืองใต้ดินปัจจุบันยังสรุปไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่ต่างลงความเห็นว่าเป็นการสร้างเพื่อใช้เป็นที่หลบภัยจากข้าศึกศัตรู (โดยเฉพาะพวกทหารโรมัน) แม้จะเป็นเมืองขนาดใหญ่ขุดลึกลงไปใต้ดินหลายชั้น แต่ว่าอากาศในนั้นกลับถ่ายเทเย็นสบาย เนื่องจากเป็นหินภูเขาไฟ มีอุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีประมาณ 17-18 องศาเซลเซียส หน้าร้อนอากาศเย็น หน้าหนาวอากาศอบอุ่น
เที่ยง รับประทานอาหารเที่ยงที่ภัตตาคารท้องถิ่น
บ่าย นำท่านเดินทางสู่ เมืองเกอเรเม (GOREME) เพื่อเข้าชมพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง ซึ่งเป็นศูนย์กลางของศาสนาคริสต์ในช่วง ค.ศ. 9 ซึ่งเป็นความคิดของชาวคริสต์ที่ต้องการเผยแพร่ศาสนาโดยการขุดถ้ำเป็นจำนวนมากเพื่อสร้างโบสถ์และยังเป็นการป้องกันการรุกรานจากชนเผ่าลัทธิอื่นที่ไม่เห็นด้วยกับศาสนาคริสต์ ก่อนที่ศาสนาคริสต์จะเผยแพร่ในคัปปาโดเกีย ผู้คนแถบนี้นับถือเทพเจ้ากรีก-โรมัน จนเมื่อประมาณกลางคริสต์ศตวรรษที่ 1 “เซนต์ปอล” เดินทางมาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในคัปปาโดเกีย แต่ดูเหมือนว่าชาวโรมันผู้ปกครองในยุคนั้นจะไม่ให้การยอมรับ ทำให้ผู้นับถือศาสนาคริสต์ในคัปปาโดเกียต้องหลบซ่อนการรังควานของโรมัน ด้วยการเจาะถ้ำ ขุดพื้นดินลงไปเป็นอุโมงค์ เกิดเป็นเมืองใต้ดินขึ้นมา และได้ขุดเจาะบริเวณเกอเรเม่ทำเป็นโบสถ์ถ้ำจำนวนมากกระทั่งในคริสต์ศตวรรษที่ 5-6 ชาวโรมันให้การยอมรับศาสนาคริสต์ สำหรับโบสถ์ถ้ำในเกอเรเม่ ว่ากันว่ามีถึง 365 หลังด้วยกัน (สร้างตามจำนวนวันใน 1 ปี) แต่ว่าปัจจุบันเปิดให้ชมเพียงบางส่วนเท่านั้น อิสระให้ท่านได้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ได้เวลานำท่านแวะชมโรงงานทอพรม โรงงานเซรามิค พร้อมเพลิดเพลินกับการจับจ่ายซื้อของฝากตามอัธยาศัย
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำที่ภัตตาคารท้องถิ่น
นำท่านเดินทางสู่สนามบินเมืองเนฟเชียร์
19.45 น. ออกเดินทางสู่เมืองอิสตันบูล โดยเที่ยวบิน TK 2009
21.05 น. ถึงสนามบินเมืองอิสตันบูล
นำท่านเข้าพักในโรงแรมระดับ 5 ดาว GRAND CAVAHIR***** หรือเทียบเท่า
วันที่หก พระราชวังทอปกาปึ – สุหร่าสีน้ำเงิน – โบสถ์เซนต์โซเฟีย –อ่างเก็บน้ำใต้ดิน
เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
นำท่านชมสนามแข่งม้าของชาวโรมัน หรือ “ฮิปโปโดม”(Hippodome) หรือจัตุรัสสุลต่านอาห์เมต สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิ เซปติมิอุส เซเวรุส เพื่อใช้เป็นที่จัดแสดงกิจกรรมต่างๆของชาวเมือง ต่อมาในสมัยของจักรพรรดิคอนสแตนติน ฮิปโปโดมได้รับการขยายให้กว้างขึ้น ตรงกลางเป็นที่ตั้งแสดงประติมากรรมต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นศิลปะในยุคกรีกโบราณ ในสมัยออตโตมันสถานที่แห่งนี้ใช้เป็นที่จัดงานพิธี แต่ในปัจจุบันเหลือเพียงพื้นที่ลานด้านหน้ามัสยิสสุลต่านอะห์เมตซึ่งเป็นที่ตั้งของเสาโอเบลิกส์ 3 ต้นคือ เสาที่สร้างในอียิปต์ เพื่อถวายแก่พาโรห์ตุตโมซิสที่ 3 ถูกนำกลับมาไว้ที่อิสตันบูล เสาต้นที่สองคือ เสางู และเสาต้นที่สามคือ เสาคอนสแตนตินที่ 7 จากนั้นนำท่านเข้าชม สุเหร่าสีน้ำเงิน (Blue Mosque) ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยสุลต่านอะห์เมตที่ 1 ซึ่งมีพระประสงค์ที่จะสร้างมัสยิดของจักรวรรดิออตโตมันให้มีความงดงามและยิ่งใหญ่กว่า โบสถ์เซนต์โซเฟีย (St. Sophia) ของจักรวรรดิ ไบแซนไทน์ให้ได้ โดยสุเหร่าแห่งนี้สร้างประจันหน้ากับโบสถ์เซนต์โซเฟีย อย่างไรก็ตาม โบสถ์เซนต์โซเฟีย ก็ยังคงเป็นโบสถ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในตุรกีจวบจนปัจจุบัน นำท่านเข้าชม โบสถ์เซนต์โซเฟีย (ST. Sophia) ซึ่งเป็นศิลปะแบบไบเซนไทม์ ได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ สร้างขึ้นสมัยจักรพรรดิคอนสแตนติน ของจักรวรรดิไบแซนไทน์ เดิมใช้เป็นโบสถ์คริสต์ แต่หลังจากจักรวรรดิออตโตมันเข้ามาปกครองจึงได้เปลี่ยนโบสถ์ดังกล่าวมาเป็นมัสยิส แต่ได้เปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติในสมัย เคมาล อะตาเตริ์ก หลังจากที่เป็นโบสถ์ในศาสนาคริสต์เป็นเวลากว่า 916 ปี และเป็นมัสยิสของศาสนาอิสลามอีกกว่า 447 ปี ปัจจุบันเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมความงามและความยิ่งใหญ่ ภายในมีภาพประดับโมเสกทองที่สมบูรณ์บ่งบอกถึงความศรัทธาอันแรงกล้าของจักรพรรดิคอนสแตนตินที่มีต่อคริสต์ศาสนา จากนั้นนำท่านชมความยิ่งใหญ่ของสิ่งก่อสร้างของชาวโรมันในอดีต อ่างเก็บน้ำใต้ดินเยเรบาตัน (Underground Cistern) ซึ่งเป็นอุโมงค์เก็บน้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอิสตันบูล สามารถเก็บน้ำได้มากถึง 88,000 ลูกบาศก์เมตร สร้างขึ้นตั้งแต่คริสต์ศวรรษที่ 6 ภายในอุโมงค์ มีเสากรีกต้นสูงใหญ่ค้ำเรียงรายเป็นแถวถึง 336 ต้น และมีเสาต้นที่เด่นมากคือ เสาเมดูซ่า อิสระให้ท่านถ่ายรูปและชมความงามใต้ดินของอุโมงค์เก็บน้ำขนาดใหญ่
เที่ยง รับประทานอาหารเที่ยงที่ภัตตาคารจีน
บ่าย นำท่าน เข้าชมพระราชวังทอปกาปึ (Topkapi Palace) ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยสุลต่านเมห์เมตที่ 2 หรือ เมห์เมตผู้พิชิต ภายหลังที่ทรงตีกรุงคอนสแตนติโนเบิลหรืออิสตันบูลในปัจจุบันได้แล้ว ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะให้เมืองนี้เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรออตโตมัน จึงโปรดให้มีการสร้างพระราชวังนี้ขึ้นเป็นที่ประทับอย่างถาวร พระราชวังทอปกาปึนี้มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่กินเนื้อที่เกือบ 700,000 ตารางเมตร ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงตามแนวฝั่งทะเลมาร์มารา ภายในพระราชวังประกอบด้วยตำหนักน้อยใหญ่ พลับพลา พระคลังมหาสมบัติ มัสยิส หอพัก โรงเรียน ฮาเร็ม ฯลฯ ปัจจุบันพระราชวังทอปกาปึกลายเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติที่ใช้เก็บมหาสมบัติอันล้ำค่าอาทิ เช่น เพชร 96 กะรัต กริชทองประดับมรกต เครื่องลายครามจากจีน หยก มรกต ทับทิม และเครื่องทรงของสุลต่านในแต่ละยุคสมัย จากนั้นนำท่านสู่ ตลาดสไปซ์ มาร์เกต (Spice Market) หรือตลาดเครื่องเทศ ท่านสามารถเลือกซื้อของฝากได้ในราคาย่อมเยา ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับ ชาหรือกาแฟ รวมถึงผลไม้อบแห้งอันเลื่องชื่อของตุรกี อย่างแอปปลิคอทหรือจะเป็นถั่วพิทาชิโอ ซึ่งมีให้เลือกซื้อมากมาย
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำที่ภัตตาคาร พร้อมชมการแสดงระบำหน้าท้องอันเลื่องชื่อ Belly Dance
นำท่านเข้าพักในโรงแรมระดับ 5 ดาว GRAND CAVAHIR***** หรือเทียบเท่า
วันที่เจ็ด อิสตันบูล – พระราชวังโดลมาบาชเช่ – ล่องเรือชมช่องแคบบอสฟอรัส
เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
นำท่าน เข้าชมพระราชวังโดลมาบาชเช่ (Dolmabahce Palace) พระราชวังที่สะท้อนให้เห็นถึงความเจริญอย่างสูงสุดทั้งทางวัฒนธรรมและทางวัตถุของจักรวรรดิออตโตมัน ซึ่งได้แผ่ขยายอำนาจออกไปอย่างกว้างขวาง พระราชวังแห่งนี้สร้างโดย สุลต่าน อับดุล เมอซิท ในปี ค.ศ. 1843 ใช้เวลาก่อสร้างทั้งสิ้น 12 ปี เพราะความที่สุลต่านทรงเป็นผู้คลั่งไคล้ยุโรปอย่างสุดขอบ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นศิลปะ วัฒนธรรม การดำรงชีวิต ตลอดจนการทหาร ล้วนคัดลอกมาจากตะวันตกทั้งสิ้น พระราชวังแห่งนี้ออกแบบโดยสถาปนิกคู่ใจชาวอาเมเนี่ยน ชื่อ บัลยัน เป็นศิลปะผสมผสานของยุโรปและตะวันออกที่ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม ภายนอกพระราชวังประดับตกแต่งด้วยสวนไม้ดอกรายล้อมพระราชวังซึ่งอยู่เหนืออ่าวเล็กๆของช่องแคบบอสฟอรัส ภายในประกอบด้วยห้องต่างๆและฮาเร็ม ตกแต่งด้วยโคมระย้า บันไดลูกกรง แก้วเจียระไน และ โคมไฟมหึมาหนัก 4.5 ตัน ซึ่งแขวนไว้อย่างโดดเด่นในห้องท้องพระโรงใหญ่
เที่ยง รับประทานอาหาร ณ ภัตตาคารอาหารท้องถิ่น
บ่าย นำท่านล่องเรือชมช่องแคบบอสฟอรัส ซึ่งเป็นช่องแคบที่เชื่อมทะเลดำ (The Black sea) เข้ากับทะเลมาร์มาร่า (Sea of Marmara) ความยาวทั้งสิ้นประมาณ 32 กิโลเมตร ความกว้างตั้งแต่ 500 เมตรจนถึง 3 กิโลเมตร ถือว่าสุดขอบของทวีปยุโรปและสุดขอบของทวีปเอเชียมาพบกันที่นี่ นอกจากความสวยงามแล้ว ช่องแคบบอสฟอรัสยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญยิ่งในการป้องกันประเทศตุรกีอีกด้วย เพราะมีป้อมปืนตั้งเรียงรายอยู่ตามช่องแคบเหล่านี้ ว่ากันว่าจนกระทั่งถึงยุคของการนำเอาเรือปืนใหญ่มาใช้ และไม่เคยปรากฏว่ากรุงอิสตันบูลถูกถล่มจนเสียหายอย่างหนักมาก่อนเลย ทั้งนี้เป็นเพราะป้อมปืนดังกล่าวนี้เอง ในปี ค.ศ. 1973 มีการเปิดใช้สะพานบอสฟอรัสซึ่งทำให้เกิดการเดินทางไปมาระหว่างฝั่งเอเชียและยุโรปสะดวกมากขึ้น ขณะที่ล่องเรือท่านจะได้เพลิดเพลินกับทิวทัศน์ข้างทางไม่ว่าจะเป็น พระราชวังโดลมาบาชเช่ หรือ บ้านเรือนสไตล์ยุโรปของบรรดาเศรษฐี ซึ่งล้วนแล้วแต่สวยงามตระการตาทั้งสิ้น จากนั้นนำท่านสู่ย่านการค้าชื่อดัง “แกรนด์บาร์ซาร์” ซึ่งเป็นตลาดเก่าแก่ที่สร้างในสมัยกลาง ค.ศ. 15 เป็นตลาดค้าพรมและทองที่ใหญ่ที่สุดของตุรกี มีร้านค้ากว่า 4,000 ร้าน
(พิเศษ สำหรับลูกค้า ให้ท่านได้ชิมไอศครีมตุรกีอันเลื่องชื่อ ซึ่งมีขายเฉพาะในประเทศตุรกีเท่านั้น) ให้ท่านได้เพลิดเพลินกับการเลือกซื้อสินค้าที่มีชื่อเสียงของตุรกีอย่างจุใจ เช่น แฟชั่นเครื่องหนังคุณภาพเยี่ยม ราคาย่อมเยา
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำที่ภัตตาคารจีน
21.00 น. นำท่านเดินทางสู่สนามบินเมืองอิสตันบูล
หมายเหตุ หากเดินทางกลับด้วยเที่ยวบิน TK64 เครื่องจะออกเดินทางจากอิสตันบูล เวลา 20.00 น. ซึ่งจะนำคณะเดินทางถึงสนามบินอิสตันบูลเวลา 17.30 น.
วันที่แปด กรุงเทพฯ
00.40 น. ออกเดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ โดยเที่ยวบิน TK 68 (บินตรง) (ใช้เวลาบิน 9 ชั่วโมง)
สายการบินมีบริการอาหารค่ำ และ อาหารเช้า
09.25 น. เดินทางถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ (BON VOYAGE) โดยเที่ยวบิน TK64
14.15 น. เดินทางถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ (BON VOYAGE) โดยเที่ยวบิน TK68
Subscribe to:
Posts (Atom)