เมืองซาเกร็บ (Zagreb) เมืองหลวงของประเทศโครเอเชีย
โครเอเชีย (Croatia)
• โครเอเชีย มีชื่อทางการว่า สาธารณรัฐโครเอเชีย เป็นประเทศในยุโรปที่มีอาณาเขตจรดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ยุโรปกลางและบอลข่าน มีเมืองหลวงชื่อซาเกร็บ โครเอเชียเคยเป็นสาธารณรัฐในยูโกสลาเวียเดิม แต่ได้รับเอกราชในพ.ศ. 2534 และได้สมัครเพื่อเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปเป็นสมาชิกลำดับที่ 28
• โครเอเชีย ตั้งอยู่ระหว่างยุโรปกลาง ยุโรปใต้ และยุโรปตะวันออก รูปร่างของประเทศคล้ายกับพระจันทร์เสี้ยวหรือเกือกม้า ซึ่งช่วยให้สามารถติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ ได้แก่ สโลวีเนีย ฮังการี เซอร์เบีย บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา มอนเตเนโกร และอิตาลี
• เมืองซาเกร็บ (Zagreb) โครเอเชีย
• เมืองซาเกร็บ (Zagreb) เป็นเมืองหลวงของประเทศโครเอเชีย ในปี พ.ศ. 2548
• เมืองซาเกร็บ (Zagreb) ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของที่ราบแพนโนเนีย ซึ่งเชื่อมโยงไปยังบริเวณเทือกเขาแอลป์ เทือกเขาไดนาริกแอลป์ ทะเลเอเดรียติก และภูมิภาคแพนโนเนีย บริเวณระหว่างเนินทางใต้ของภูเขาเมดเวดนีตซา (Medvednica) กับฝั่งเหนือของแม่น้ำซาวา (Sava) มีความสูงของพื้นที่ 120 เมตรจากระดับน้ำทะเล ทำให้เมืองซาเกร็บสามารถติดต่อคมนาคมขนส่งกับภูมิภาคยุโรปกลางกับทะเลเอเดรียติกได้อย่างดีมาก
• เมืองซาเกร็บ (Zagreb) เป็นศูนย์กลางการขนส่ง อุตสาหกรรม ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ศูนย์กลางการปกครอง การบริหาร และเป็นที่ตั้งของกระทรวง หน่วยงานราชการต่าง ๆ ของประเทศ
• เมืองซาเกร็บ เป็นเมืองหลวงที่มีความโดดเด่นทางด้านวัฒนธรรมและสิ่งก่อสร้างทางประวัติศาสตร์มากมาย
การท่องเที่ยวในเมืองซาเกร็บ โครเอเชีย
• การท่องเที่ยวในเมืองซาเกร็บ เน้นไปเที่ยวสัมผัสเสน่ห์ของความเป็นเมืองยุคกลางในย่านเมืองเก่าหรือที่เรียกกันว่า Upper town ซึ่งมีซุ้มประตูหินเป็นสัญลักษณ์บริเวณทางเข้า โดยย่านเก่าแก่แห่งนี้มีมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 17
• กำแพงเมืองเก่า (Old Town Gate) ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อล้อมรอบบริเวณเมืองเก่าเอาไว้
• โบสถ์เซนต์มาร์ก (Church of St.Mark) ที่โดดเด่นด้วยหลังคาที่มีการปูกระเบื้องเป็นสีสัน ลวดลายตราหมากรุกแดงขาว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของโครเอเชีย
• โรงละครแห่งชาติโครเอเชีย (Croatian National Theatre) โดยโรงละครแห่งนี้ตั้งอยู่ในย่านเมืองเก่าของเมืองซาเกร็บ โดยสร้างขึ้นในปี 1895 โดยรูปแบบของอาคารนั้นสร้างขึ้นในสไตล์นีโอบาร็อค มีลักษณะเป็นรูปตัว U และรายรอบไปด้วยสวนสาธารณะจนได้รับสมญานามว่า “The Green Horse shoe”
• มหาวิหารซาเกร็บ (Zagreb Cathedral) มหาวิหารสังกัดโรมันคาทอลิกที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองซาเกร็บ สร้างขึ้นในแบบสไตล์นีโอโกธิค ในช่วงศตวรรษที่ 11 ซึ่งถือว่าเป็นอาคารที่สูงที่สุดในโครเอเชีย และยังเป็นศูนย์กลางของคริสต์จักรในประเทศโครเอเชียอีกด้วย
• พิพิธภัณฑ์โบราณคดี (Archaeological Museum) ซึ่งภายในเป็นสถานที่สำหรับการเก็บรวบรวมวัตถุโบราณมากกว่า 400,000 ชิ้น และที่ดูมีชื่อเสียงมากที่สุดก็คงจะเป็น มัมมี่ และโบราณวัตถุเกี่ยวกับอียิปต์โบราณ หรือแม้แต่จารึกที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรปก็อยู่ที่นี่เช่นกัน
• สุสาน Mirogoj ตั้งอยู่บริเวณทางตอนเหนือของใจกลางเมืองซาเกร็บ โดยสุสนแห่งนี้ถือว่าเป็นสุสานที่สวยที่สุดในยุโรป และยังเป็นหนึ่งในสุสานที่ประทับใจมากที่สุดในโลก โดยสุสานสร้างขึ้นในปี 1876
เมืองพลิตวิเซ่ (Plitvice) โครเอเชีย
• อุทยานแห่งชาติพลิตวิเซ่ เจเซร่า (Plitvice Jezera National Park) ที่ตั้งอยู่ใจกลางของอุทยานแห่งชาติพลิตวิเซ่ เป็นอุทยานแห่งชาติ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การ UNESCO เมื่อปี 1979 อุทยานแห่งนี้มีเนื้อที่กว่า 29,482 เฮคเตอร์ พื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยน้ำมีทะเลสาบสีเขียวมรกตและสีฟ้า รวมกันถึง 16 ทะเลสาบ เชื่อมต่อกันด้วยทางเดินสะพานไม้ลัดเลาะระหว่างทะเลสาบและเนินเขา
• อุทยานแห่งชาติพลิตวิเซ่ มีต้นกำเนิดมาจากน้ำในภูเขามาลา คาเปลาที่กัดเซาะชั้นหินปูนและก้อนหินโดโลไมท์มาเป็นระยะเวลานานหลายพันปี ทำให้หินปูนถูกกัดเซาะ ไหลไปกองรวมกันเป็นระยะ เกิดเป็นเขื่อนธรรมชาติ มีความสูงลดหลั่นกันลงไป จากการทับถมของตะกอนที่มีแร่ธาตุแคลเซี่ยม คาร์บอเนต ทำให้เกิดความมหัศจรรย์ของสายน้ำ เกิดเป็นคราบหินปูนที่ก่อตัวเป็นแนวกั้นทะเลสาบก่อเกิดน้ำตกน้อยใหญ่ ที่เกิดจากการขยายตัวของคราบหินปูนทีละเล็กละน้อย มันจะค่อยๆโตประมาณปีละหนึ่งเซ็นติเมตร พลิตวิเซ่ จะเปลี่ยนโฉมหน้าตัวเองไปเรื่อยตามการทับถมของหินคาร์บอเนต จนก่อเกิดเป็นน้ำตกที่ไหลลงสู่ทะเลสาบสีเขียวมรกตและสีฟ้าเทอร์ควอยซ์แวววาวภายในอุทยานถึง 16 แห่ง โดยเป็นสีที่เกิดจากการผสมผสานกันของแร่ธาตุต่างๆ และน้ำพุร้อนใต้ผืนดินแห่งนี้ ซึ่งแต่ละแห่งเชื่อมต่อกันด้วยสะพานไม้ที่ลัดเลาะผ่านผืนน้ำ ต้นไม้ใหญ่ที่เขียวชอุ่ม และเนินเขาน้อยใหญ่ที่รายล้อมอุทยาน จึงทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่งในโครเอเชีย
• อุทยานแห่งชาติพลิตวิเซ่ พื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยน้ำมีทะเลสาบสีเขียวมรกตและสีฟ้า เชื่อมต่อกันด้วยทางเดินสะพานไม้ลัดเลาะระหว่างทะเลสาบและเนินเขา ความงามของทะเลสาบและน้ำตกที่ไหลรวยริน ลงสู่ทะเลสาบทั่วทุกหนทุกแห่ง ชมฝูงปลาแหวกว่ายในสระน้ำใสราวกระจกสะท้อนสีครามของท้องฟ้า แวดล้อมไปด้วยหุบเขา ต้นไม้ใหญ่ที่ร่มรื่น สงบสุข
• การท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติพลิตวิเซ่ มีการล่องเรือข้ามทะเลสาบ Kozjak เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในอุทยาน ชมความงามของอุทยานตอนล่างและชมความงดงามของ Big Waterfalls สัมผัสถึงบรรยากาศของสายน้ำอันชื่นฉ่ำ บนพื้นน้ำสีคราม และเกาะแก่งในทะเลสาบ ตลอดจนไม้ป่าจำพวกสนและเฟอร์ เพลิดเพลินกับธรรมชาติที่สวยงามและอุดมสมบูรณ์
เมืองสปลิท (Split) ประเทศโครเอเชีย
เมืองสปลิท (Split) ประเทศโครเอเชีย
• เมืองสปลิท (Split) เมืองท่องเที่ยวริมทะเลของประเทศโครเอเชีย เป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากเมืองซาเกรบ ซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคดัลเมเชีย (Dalmatia County) ของประเทศโครเอเชีย อันเป็นต้นกำเนิดของสุนัขพันธุ์ดัลมาเชี่ยนที่โด่งดัง
• เมืองสปลิท ถือว่าเป็นเมืองที่ค่อนข้างมีความเก่าแก่มาก อีกทั้งยังเป็นเมืองท่าที่สำคัญทางการค้าและการท่องเที่ยวของโครเอเชีย และที่สำคัญเมืองประวัติศาสตร์แห่งนี้ยังมีชื่อเสียงเกี่ยวกับสุนัขพันธุ์ดัลเมเชียน
• พระราชวังดิโอคลีเธี่ยน (Diocletian Palace) สร้างขึ้นจากพระประสงค์ของจักรพรรดิ์ดิโอคลีเธี่ยนแห่งโรมัน เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 4 ซึ่งต้องการสร้างพระราชวังสำหรับบั้นปลายชีวิตของพระองค์ ภายในพระราชวังประกอบด้วย วิหารจูปิเตอร์ (Catacombes) สุสานใต้ดินที่มีชื่อเสียงและวิหารต่างๆ นำท่านชมห้องโถงกลางซึ่งมีทางเดินที่เชื่อมต่อสู่ห้องอื่นๆ ชมลาน Peristyle ซึ่งล้อมด้วยเสาหินแกรนิต 3 ด้านและเชื่อมต่อด้วยโค้งเสาที่ตกแต่งด้วยช่อดอกไม้สลักอย่างวิจิตรสวยงามชมยอดระฆังแห่งวิหาร (The Cathedral Belfry) แท่นบูชาของเซนต์โดมินัสและเซนต์สตาดิอุส ซึ่งอยู่ภายในวิหาร องค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้ประกาศให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1979
• นอกจากนี้เมืองสปลิท ยังมีมหาวิหารเทพเจ้าจูปิเตอร์, โบสถ์แห่งเทพวีนัส, วิหารดอมนิอุส ที่จัดเรียงรายรวมกันอย่างลงตัว มหาวิหารเซนต์ดูช (St. Duje Cathedral) ซึ่งมีหอระฆังที่สวยงามและยังเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของเมืองสปลิท
เมืองซาดาร์ (Zadar) โครเอเชีย
• เมืองซาดาร์ (Zadar) เมืองที่มีประวัติศาสตร์มากว่า 3,000 ปีและเป็นเมืองท่าสำคัญของทะเลเอเดรียติค ที่มีบทบาทมาตั้งแต่สมัยโรมันจนถึงปัจจุบัน
• เมืองซาดาร์ (Zadar) อดีตเมืองหลวงเก่าของภูมิภาคดัลเมเชีย (Dalmatia) ที่ปัจจุบันได้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยโรมันอีกด้วย นอกจากนี้แล้วเมืองหลวงเก่าแห่งนี้ยังเป็นที่รู้จักกันในหมู่ชาวเรือที่มาค้าขายในแถบนี้ เนื่องจากเคยเป็นศูนย์กลางทางด้านการค้าขายมาตั้งแต่สมัยอดีต
• โรมันฟอรัม (Roman Forum) ลานประชุมกลางเมือง ที่ปัจจุบันหลงเหลือเพียงแค่ซากปรักหักพัง ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีขนาดที่ใหญ่ที่สุดในฝั่งตะวันออกของทะเลเอเดรียติก (Adriatic Sea)
• โบสถ์ เซนต์ โดแนท (St. Donatus Church) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเดียวกันกับโรมันฟอรัม ซึ่งเป็นโบสถ์ไบเซนไทน์ที่ใหญ่ที่สุดในดัลเมเทีย ซึ่งถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 9 โดยตัวอาคารนั้นสร้างแบบหลังคาทรงกลม ใช้งานสำหรับพิธีกรรมทางศาสนา ปัจจุบันได้กลายเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองซาดาร์ไปแล้วด้วย ถัดไปใกล้ๆกันจะเป็น โบสถ์ เซนต์ แมรี่ (St. Mary's Church) ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์สำหรับการเก็บงานศิลปะ วัตถุโบราณที่มีความสำคัญทางศาสนา
• มหาวิหารเซนต์ อนาตาเซีย (St. Anastasia Cathedral) คริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิกที่ใหญ่ที่สุดในดัลเมเทีย ซึ่งถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 4 ถึง 5 เป็นประจำเมืองซาดาร์ แม้ว่ามหาวิหารจะผ่านการถูกทำลายในสงครามมาแล้วก็ตาม
เมืองดูบรอฟนิค (Dubrovnik) โครเอเชีย
• เมืองดูบรอฟนิค (Dubrovnik) เมืองชายฝั่งทะเลเอเดรียติก บรรยากาศริมชายฝั่งทะเลที่มีบ้านเรือนหลังคากระเบื้องสีแสดสลับตามแนวชายฝั่ง
• เมืองดูบรอฟนิค ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมืองเก่าที่สวยที่สุดในยุโรป สมญานาม "ไข่มุกแห่งทะเลเอเดรียติก" ด้วยความลงตัวของสถาปัตยกรรมและผังเมืองที่เป็นระเบียบ เป็นเมืองที่มีอำนาจทางทะเลตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 และมีความเจริญรุ่งเรืองทางการค้า จึงได้สร้างความยิ่งใหญ่ให้โดดเด่น ด้วยการตกแต่งพระราชวัง สร้างโบสถ์ วิหาร จัตุรัส น้ำพุ และบ้านเรือนต่างๆ และได้รับการบูรณะและปรับเปลี่ยนอย่างงดงามตามยุคสมัย
• เมืองดูบรอฟนิค ยังมีประวัติศาสตร์เป็นเมืองพี่เมืองน้องกับ "เวนิซ" ในอิตาลี และ "สปลิต" เมืองเลียบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอีกเมืองของโครเอเชียในอดีต ดูบรอฟนิกมีความสำคัญทางการค้าอย่างมากในแถบเมดิเตอร์เรเนียน เคยเป็นเมืองที่มีอำนาจทางทะเลและควบคุมการค้าทางทะเลมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 เพราะมีบทบาทเป็นเมืองที่เชื่อมการค้าระหว่างฝั่งตะวันออกและตะวันตกของทะเลเอเดรียติก เรียกว่าเป็นเมืองศูนย์กลางของสาธารณรัฐก็ว่าได้
• ในช่วงศตวรรษที่ 14-17 ดูบรอฟนิคจึงร่ำรวยมีเงินทองมากมายในการตกแต่งบ้านเมืองให้งดงาม รวมทั้งพระราชวัง โบสถ์ วิหารภาพงดงามของเมืองทุกวันนี้ ใครจะรู้ว่าในอดีตดูบรอฟนิกต้องผ่านเหตุการณ์ที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากแผ่นดินไหวในศตวรรษที่ 4 บางส่วนของเมืองจมหายไปในทะเล หลังผ่านเหตุการณ์จากภัยธรรมชาติก็ต้องมาเจอภัยจากน้ำมือมนุษย์ เมื่อตกเป็นเป้าหมายโจมตีจากกองทหารยูโกสลาฟในปี 1990 บ้านเรือนกว่าครึ่ง อนุสาวรีย์ต่างๆ ได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตของผู้คนที่สูญหายไปในกองเพลิงสงครามนับแสนคน เหลือไว้ก็แต่รายชื่อในพิพิธภัณฑ์
• ในตัวเมืองดูบรอฟนิค เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรม ทั้งโกธิก เรอเนสซองส์ และบาร็อค บรรยากาศสงบ เย็นสบาย ไม่ร้อนไม่หนาวเกินไป เพราะมีภูมิอากาศเป็นแบบเมดิเตอร์เรเนียน อุณหภูมิระหว่างปีของเมืองนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 17 องศา ไม่หนาวไม่ร้อน ในหน้าหนาวอากาศประมาณ 10 องศา อาจมีฝนตก แต่หิมะไม่มีบ่อยนัก ดูบรอฟนิกจึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของชาวยุโรปจำนวนมาก แต่เดี๋ยวนี้คนเอเชียเริ่มที่จะไปเที่ยวมากขึ้น
• เขตเมืองเก่า (Old Town) ของเมืองดูบลอฟนิค ซึ่งองค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1979 ชมทัศนียภาพของตัวเมืองเก่ามีป้อมปราการโบราณความยาว 190 เมตรล้อมรอบ นำท่านเดินลอดประตู Pile Gate ที่มีรูปปั้นของนักบุญ เซนต์เบลส นักบุญประจำเมืองเพื่อเข้าสู่ใจกลางเมืองเก่า ชม น้ำพุ Onofrio ซึ่งเป็นตั้งเป็นเกียรติแก่ของสถาปนิกผู้สร้างน้ำพุแห่งนี้ นำท่านเข้าชม The Cathedral Treasury หนึ่งในโบสถ์เก่าแก่ที่สะสมโบราณวัตถุของพ่อค้าวาณิชที่ได้ทำการค้าขายกับชาวเวนิชในอดีต นำท่านถ่ายรูปกับ หอนาฬิกาโบราณ (Bell Tower Clock) จากนั้นนำท่านเข้าชม พระราชวังเรคเตอร์ (Rector's Palace) พระราชวังที่สร้างขึ้นโดยผสมผสานศิลปะทั้งแบบโกธิค, เรเนซองส์และบาโร๊ค ได้เวลานำท่านแวะชมและถ่ายรูปกับ สปอนซา พาเลส (Sponza Palace) สร้างขึ้นโดยศิลปะแบบโกธิค เรเนซองส์ ในสมัยศตวรรษที่ 15 ปัจจุบันได้ใช้เป็นที่จัดเก็บเอกสารและสำนักงานส่วนราชการ นำท่านเดินผ่านถนนสตราดัน ถนนสายหลักยาวกว่า 398 เมตร ที่สองข้างทางรายล้อมไปด้วยอาคารสไตล์โรมัน โกธิค และร้านค้า ร้านกาแฟ ร้านไอศครีม ร้านขายของที่ระลึกต่างๆ มากมาย
• กำแพงเมืองโบราณในเขตเมืองเก่า ตั้งตระหง่านโอบล้อมชุมชนยาวกว่า 1,940 เมตร เป็นกำแพงเมืองที่มีโครงสร้างสมบูรณ์และแข็งแกร่งมาก บนกำแพงมีทั้งหอคอยและป้อมปราการ ใช้ป้องกันภัยจากศัตรู เช่น พวกเซิร์บ อาหรับ เป็นต้น แม้ปัจจุบันก็ยังใช้งานได้อยู่ กำแพงเมืองเก่าแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกด้วย
• เรกเตอร์ พาเลซ ตึกประตูโค้งมีเสาแกะสลักสวยงามเรียงต่อกันเป็นแนว ที่นี่เคยเป็นตึกว่าการของสาธารณรัฐดูบรอฟนิก ตัวตึกเป็นศิลปะผสมโกธิก เรอเนสซองส์ และบาร็อค ตัวตึกเคยถูกระเบิดพังทลายถึงสองครั้ง แต่ก็ได้สร้างและซ่อมขึ้นมาใหม่ ปัจจุบันเรกเตอร์ พาเลซ เป็นพิพิธภัณฑ์แสดงการสร้างเมืองตั้งแต่ครั้งแรก และใช้เป็นสถานที่จัดแสดงคอนเสิร์ต
• ประตูเมือง (Pile Gate) สร้างไว้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 7 น้ำพุโบราณทรงกลม (Onfrio Fountain) เป็นน้ำพุที่ใช้เป็นเหมือนน้ำประปาในเมือง วิหาร Franciscan Monastery สถาปัตยกรรมแบบโกธิค
• จัตุรัสกลางเมือง เป็นแหล่งทำกิจกรรมต่างๆ ของเมืองในอดีต มีเสาหินอัศวิน (Orlando Column) หอนาฬิกา (Bell Tower) ตั้งอยู่ปลายสุดของถนนสายหลัก สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1444
No comments:
Post a Comment