เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ในหุบเขา ที่ยังคงอนุรักษ์บ้านสไตล์ญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในจังหวัดกิฟุ ประกอบไปด้วยบ้านเรือนรูปร่างแปลกตาที่มีอายุเก่าแก่ มีโครงสร้างหลังคาทรงแหลมสูงลาดลงด้านข้างทั้งสองรองรับหิมะที่ตกหนักในช่วงฤดูหนาวได้ดี และด้วยรูปร่างของหลังคาเหมือนกับสองมือพนม จึงเรียกสถาปัตยกรรมแบบนี้ว่าเป็นรูปแบบ "กัสโช" ซึ่งแปลว่าสร้างแบบพนมมือ
โครงสร้างหลังคาลาดเอียง 60 องศา คล้ายสองมือที่พนมเข้าหากัน มุงด้วยหญ้าที่อัดแน่นหน้าเป็นฟุตๆ ความหนาของหญ้าที่อัดแน่น นั่นขึ้นอยู่ที่ความใหญ่ของบ้าน ถ้าบ้านใหญ่ก็ต้องอัดหญ้าให้แน่นเข้าไปอีก ที่ต้องอัดแน่นและหนาตามขนาดบ้านเพราะต้องใช้รองรับน้ำหนักของหิมะในช่วงฤดูหนาว ซึ่งมีอายุการใช้งานได้ถึง 50-60 ปี และภายใน1ปี จะมีบ้านหลังใดหลังหนึ่งที่ต้องเปลี่ยนหลังคา ก็จะใช้ความร่วมแรงร่วมใจของคนในหมู่บ้านมาช่วยกัน โครงสร้างของตัวบ้านทำมาจากไม้เป็นส่วนใหญ่ ตัวบ้านมีความยาว 18 เมตร กว้าง 10 เมตร โครงสร้างของบ้านไม่ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว
เนื่องจากหลังคาพวกนี้ทำจากวัสดุธรรมชาติ ทุกปีจะมีบ้านที่ต้องมุงหลังคาใหม่ ซึ่งต้องอาศัยแรงชาวบ้านประมาณ 100 - 200 คน เป็นการถ่ายทอดวิธีมุงหลังคาสืบทอดกันเป็นประจำทุกปี และหมู่บ้านแห่งนี้เองก็ยังได้รับเลือกจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกอีกด้วยครับ
เมื่อปี 1995 องค์การยูเนสโก้ยกให้เป็นมรดกโลก เพราะเป็นหมู่บ้านที่ยังคงรักษาธรรมชาติได้เป็นอย่างดี มีล่องน้ำใสไหลผ่าน สามารถมองเห็นตัวปลาได้เลย บางบ้านของที่นี่เปิดให้เป็นที่พักของนักท่องเที่ยว มีร้านขายอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมอาหารที่ขึ้นชื่อคือ โซบะ คนในหมู่บ้านที่นี่ทำกันเอง บางบ้านขายของที่ระลึก ขายสินค้าพวกงานฝีมือ และขนมพื้นบ้าน
แม้ว่าประเทศญี่ปุ่นจะก้าวหน้าและทันสมัยมากแค่ไหน แต่หมู่บ้านนี้ยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีอันเป็นเอกลักษณ์ได้เป็นอย่างดี ให้นักท่องเที่ยวที่มาทัวร์ญี่ปุ่นได้ตื่นตาตื่นใจชื่นชมกับความสวยงามของบ้านทรงโบราณที่อยู่ท่ามกลางหุบเขา ซึ่งทำให้มีทัศนียภาพ บรรยากาศที่งดงามตามธรรมชาติได้อย่างลงตัว
ในช่วงฤดูหนาว ประมาณเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ จะมีการเปิดไฟตอนเย็นช่วงสุดสัปดาห์ ๆละ 1 วัน เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งในแต่ละปีมีผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกหลั่งไหลไปชมความงามไม่ต่ำกว่า 680,000 คน ส่วนจะเปิดวันไหนบ้างสามารถติดตามจากเว็ปไซต์ของ หมู่บ้านมรดกโลกชิราคาวาโกะได้เลย
No comments:
Post a Comment