Wednesday, May 13, 2015

แกรนด์ตุรกี 8 วัน 6 คืน

คัปปาโดเกีย - นครใต้ดินไคมัคลี่ - พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม่ - คาราวานสไลน์ - พิพิธภัณฑ์เมฟลาน่า
คอนย่า - ปามุคคาเล่ - คูซาดาซึ - อิชเมียร์ - เอฟฟิซุส - บ้านพระแม่มารี - อิสตันบูล - สุเหร่าสีน้ำเงิน
ฮิปโปโดรม - โบสถ์เซ็นต์โซเฟีย - อ่างเก็บน้ำใต้ดิน - พระราชวังทอปกาปึ - พระราชวังโดลมาบาชเช่
ล่องเรือช่องแคบบอสฟอรัส (Private Boat)

เที่ยวชมดินแดนคาบเกี่ยว 2 ทวีป เที่ยวสบายๆ ไม่ต้องห่วงระยะทางเพราะเราบินภายในถึง 2 ขา เยือนเมืองโบราณเอเฟซุส (City of Ephesus) ที่ขนานนามว่า มหานครแห่งแรกและยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชีย ตื่นตากับความอัศจรรย์ทางธรรมชาติกับปามุคคาเล (Pamukkale) เป็นน้ำตกหินปูนสีขาวที่ได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ เที่ยวอิสตันบูล เมืองเดียวในโลกที่ตั้งอยู่ระหว่างทวีปยุโรปและเอเชีย เข้าชมพิพิธภัณฑ์ฮาเยียโซเฟีย (Ayasofya Museum)ได้รับการขนานนามว่าเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ ชมของล้ำค่าในพระราชวังทอปกาปึ (Topkapi Palace) ที่ยิ่งใหญ่มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่กินเนื้อที่เกือบ 700,000 ตารางเมตร (Option) ขึ้นบอลลูนชมภูมิทัศน์คัปปาโดเกีย (Cappadocia) เพื่อชื่นชมดินแดนที่มีภูมิประเทศอันน่าอัศจรรย์ซึ่งเกิดจากลาวาภูเขาไฟ 

วันแรก              กรุงเทพมหานครฯ – อิสตันบูล – คูซาดาซึ (พักค้าง 2 คืน)

08.00 น.           คณะพบเจ้าหน้าที่และมัคคุเทศก์ได้ที่ เคาน์เตอร์เชคอิน S (แถว S 14-18) ประตูทางเข้าที่ 9 หรือ 10 อาคารผู้โดยสาร เคาน์เตอร์สายการบินเตอร์กิช แอร์ไลน์ส (TK) ณ สนามบินสุวรรณภูมิ

11.10 น.                       ออกเดินทางสู่นครอิสตันบูล ประเทศตุรกี โดยเที่ยวบิน TK 65 (ใช้เวลาบินประมาณ 10.25 ชั่วโมง) เพลิดเพลินกับภาพยนตร์หลากหลายกับ จอทีวีส่วนตัวทุกที่นั่ง และสายการบินฯ บริการ อาหารค่ำและอาหารเช้า  ระหว่างเที่ยวบินสู่นครอิสตันบูล ประเทศตุรกี

17.10 น.           เดินทางถึงกรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกี นำท่านผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร จากนั้นนำท่านเดินทางสู่อาคารผู้โดยสารในประเทศ เพื่อขึ้นเที่ยวบินสู่เมืองอิชเมียร์ (Izmir) โดยเที่ยวบิน TK2336 (กระเป๋าเดินทางทำการส่งสู่สนามบินภายในประเทศโดยอัตโนมัติ Check through)

19.00 น.           ออกเดินทางจากสนามบินอิสตันบูล (IST) สู่สนามบินเมืองอิชเมียร์ (ADB) โดยเตอร์กิช แอร์ไลน์ส มีบริการอาหารค่ำบนเครื่องบิน (ใช้เวลาบินประมาณ 1 ชม.)

20.05 น.           เดินทางถึงสนามบินอิชเมียร์ นำท่านเดินทางสู่โรงแรมที่พัก

                        นำท่านเข้าพักในโรงแรมระดับ 5 ดาว FANTASIA DELUXE HOTEL ***** หรือเทียบเท่า

วันที่สอง            อิชเมียร์ – คูซาดาซึ – บ้านของพระแม่มารี – เมืองโบราณเอฟฟิซุส

เช้า                  รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม 

นำท่านเดินทางสู่ เมืองเอฟฟิซุส (City of Ephesus) ซึ่งเป็นเมืองอาณาจักรโรมัน (ต่อมาหลังจากยุคกรีก) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชียในสมัยนั้น  ในอดีตเอฟฟิซุสเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของโรมันในคาบสมุทรอนาโตเลีย เป็นศูนย์กลางการค้า การคมนาคม ตั้งอยู่ริมทะเล  จนได้รับการกำหนดให้เป็นเมืองหลวงแห่งเอเชียของอาณาจักรโรมัน เมืองเอฟฟิซุสมีประวัติศาสตร์ยาวนานตั้งแต่ยุคกรีกโบราณ ซากเมืองที่เห็นในปัจจุบันมีความสมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก อาจจะเป็นรองแค่ปอมเปอีเท่านั้น นำท่านเข้าชม ห้องอาบน้ำแบบโรมันโบราณ (Roman Bath) ที่ยังคงเหลือร่องรอยของห้องอบไอน้ำให้เห็นอยู่จนถึงทุกวันนี้ นำท่านชม วิหารแห่งจักรพรรดิเฮเดรียน (Temple of Hadrian) ซึ่งเป็นจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่อีกองค์หนึ่งของโรมัน ความโดดเด่นของวิหารแห่งนี้คืออยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มาก ด้านหน้าสร้างเป็นเสา โครินเธียน 4 ต้น คู่กลางรองรับโค้งครึ่งวงกลมที่เรียงอย่างสวยงาม โค้งด้านหลังมีภาพแกะสลักเป็นรูปนางเมดูซ่า หัวเป็นงู นำชมอาคารที่โดดเด่นที่สุดจนเป็นสัญลักษณ์ของเอฟฟิซุสคือ หอสมุดเซลซุส (Library of Celsus) เป็นอาคารสองชั้น ด้านหน้าหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเพื่อรับแสงสว่างยามเช้า ห้องสมุดนี้สร้างขึ้นในราวปี ค.ศ. 114 โดย ทิเบเรียส จูเลียส อกีลา (Julius Aquila) เพื่ออุทิศให้เป็นอนุสรณ์แด่พ่อของท่านซึ่งเป็นนายกเทศมนตรีของโรมันที่ปกครองแคว้นเอเชียไมเนอร์ ด้านหน้ามีรูปปั้นของเทพี 4 องค์ ได้แก่ Sophia (wisdom - ปัญญา), Arete (virtue - ความดี), Ennoia (thought - ความคิด), Episteme (knowledge - ความรู้) จากนั้นนำท่านเข้าชมสิ่งก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเอฟฟิซุสคือ โรงละคร (Great Theatre) ซึ่งสร้างโดยการสกัดไหล่เขาให้เป็นที่นั่ง สามารถบรรจุคนได้ถึง 25,000 คน ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 10 ของประชากรในยุคนั้น เดิมสร้างตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ โรมันมาปรับปรุงซ่อมแซมให้ยิ่งใหญ่มากขึ้น  

เที่ยง                รับประทานอาหารเที่ยงที่ภัตตาคารท้องถิ่น             

บ่าย                  นำท่านเดินทางสู่ บ้านพระแม่มารี (House of Virgin Mary) ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นที่สุดท้ายที่พระแม่มารีมาอาศัยอยู่และสิ้นพระชนม์ในบ้านหลังนี้ ถูกค้นพบอย่างปาฏิหารย์ โดยแม่ชีตาบอด ชาวเยอรมันชื่อ แอนนา แคเทอรีน เอมเมอริช (Anna Catherine Emmerich, ค.ศ. 1774-1824) ได้เขียนบรรยายสถานที่ไว้ในหนังสืออย่างละเอียดราวกับเห็นด้วยตาตนเอง เมื่อเธอเสียชีวิตลง มีคนพยายามสืบเสาะค้นหาบ้านหลังนี้ จนพบในปี ค.ศ. 1891 ปัจจุบันบ้านพระแม่มารีได้รับการบูรณะเป็นบ้านอิฐชั้นเดียว ภายในมีรูปปั้นของพระแม่มารี ซึ่ง พระสันตปาปา โป๊ป เบเนดิกส์ที่ 16 ได้เคยเสด็จเยือน ด้านนอกของบ้าน มีก๊อกน้ำสามก๊อกที่เชื่อว่าเป็นก๊อกน้ำที่มีความศักดิ์สิทธิ์ แทนความเชื่อในเรื่อง สุขภาพ ความร่ำรวย และความรัก ถัดจากก๊อกน้ำเป็น กำแพงอธิษฐาน ซึ่งมีความเชื่อว่าหากต้องการให้สิ่งที่ปรารถนาเป็นความจริงให้เขียนลงในผ้าฝ้ายแล้วนำไปผูกไว้แล้วอธิษฐาน ได้เวลานำท่านช้อปปิ้ง ณ ศูนย์ผลิตเสื้อหนังคุณภาพสูง ซึ่งผลิตเสื้อหนังส่งให้กับแบรนด์ดังในอิตาลี อิสระให้ท่านเลือกซื้อสินค้าตามอัธยาศัย  

ค่ำ                    รับประทานอาหารค่ำในโรงแรมที่พักแบบบุฟเฟ่ต์

                                    นำท่านเข้าพักในโรงแรมระดับ 5 ดาว FANTASIA DELUXE HOTEL ***** หรือเทียบเท่า

วันที่สาม           คูซาดาซึ – ปามุคคาเล่ – ปราสามปุยฝ้าย – เมืองโบราณเฮียราโพลิส

เช้า                  รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม 

                        นำท่านออกเดินทางสู่เมือง ปามุคคาเล่ (Pamukkale) (ระยะทาง 185 กม. ใช้เวลาเดินทาง

                        2.45 ชม.) คำว่า “ปามุกคาเล่” ในภาษาตุรกี หมายถึง “ปราสาทปุยฝ้าย” Pamuk หมายถึง Cotton และ Kale หมายถึง Castle เป็นน้ำตกหินปูนสีขาวที่เกิดขึ้นจากธารน้ำใต้ดินที่มีอุณหภูมิประมาณ 35 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นที่มีแร่หินปูน (แคลเซียมออกไซด์) ผสมอยู่ในปริมาณที่สูงมาก ไหลรินลงมาจากภูเขา “คาลดากึ” ที่ตั้งอยู่ห่างออกไปทางทิศเหนือ รินเอ่อล้นขึ้นมาเหนือผิวดิน และทำปฏิกิริยาจับตัวแข็งเกาะกันเป็นริ้ว เป็นแอ่ง เป็นชั้น ลดหลั่นกันไปตามภูมิประเทศ เกิดเป็นประติมากรรมธรรมชาติ อันสวยงามแปลกตาและโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ยากจะหาที่ใดเหมือน จนทำให้ ปามุกคาเล่และเมืองเฮียราโพลิส ได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติและวัฒนธรรมในปี ค.ศ. 1988

เที่ยง                รับประทานอาหารเที่ยงที่ภัตตาคารท้องถิ่น

บ่าย                  นำท่านเข้าชม ปราสาทปุยฝ้าย (ปามุคคาเล่) เมืองแห่งน้ำพุเกลือแร่ร้อน นำท่านชมหน้าผาที่ขาวกว้างใหญ่ด้านข้างของอ่างน้ำ เป็นรูปร่างคล้ายหอยแครงและน้ำตกแช่แข็ง ถ้ามองดูจะดูเหมือนสร้างจากหิมะ เมฆหรือปุยฝ้าย น้ำแร่ที่ไหลลงมาแต่ละชั้นจะแข็งเป็นหินปูน ห้อยย้อยเป็นรูปร่างต่างๆอย่างมหัศจรรย์ น้ำแร่นี้มีอุณหภูมิประมาณ 33-35.5 องศาเซลเซียส ประชาชนจึงนิยมไปอาบหรือนำมาดื่ม เพราะเชื่อว่ามีคุณสมบัติในการรักษาโรคหัวใจ โรคไขข้ออักเสบ ความดันโลหิตสูง โรคทางเดินปัสสาวะ และโรคไต ซึ่งในอดีตกาลชาวโรมันเชื่อว่าน้ำพุร้อนสามารถรักษาโรคได้ จึงได้สร้างเมืองเฮียราโพลิสล้อมรอบ นำท่านชม นครโบราณเฮียราโพลิส ในอดีตเป็นสถานที่บำบัดโรค ก่อตั้งโดยกษัตริย์ยูเมเนสที่ 1 ในปี 190 ก่อนคริสต์กาล สถานที่แห่งนี้มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นหลายครั้งหลังปี ค.ศ 1334 จึงไม่มีคนอาศัยอยู่อีก อย่างไรก็ตามนครแห่งนี้ซึ่งยังคงมีสถานที่สำคัญหลงเหลืออยู่คือ โรงละครแอมฟิเทียเตอร์ขนาดใหญ่ สร้างในสมัยจักรพรรดิเฮเดรียนในคริสต์ศตวรรษที่ 2 โดยโรงละครแห่งนี้ถูกดัดแปลงในคริสต์ศตวรรษที่ 3 สมัยพระเจ้าเซปติมิอุส เซเวรุส ให้มีลักษณะเหมือนในปัจจุบัน สันนิษฐานว่าสามารถจุคนได้กว่า 10,000 คนในอดีตกาล จากนั้นนำท่านชมนีโครโพลิสหรือสุสานโรมันแบบโบราณ ทางเข้ามีการสร้างประตูโดมินีเชียนคาดว่าสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 3  

ค่ำ                    รับประทานอาหารค่ำในโรงแรมที่พักแบบบุฟเฟ่ต์

                        โรงแรมมีบริการสระว่ายน้ำซึ่งเป็นน้ำแร่ธรรมชาติ หากท่านใดต้องการแช่น้ำแร่ ให้เตรียมชุดว่ายน้ำ และหมวกว่ายน้ำ ไปด้วย

     นำท่านเข้าพักในโรงแรมระดับ 5 ดาว PAM THERMAL HOTEL***** หรือเทียบเท่า

วันที่สี่               ปามุคคาเล่ – คอนย่า – คัปปาโดเกีย

เช้า                   รับประทานอาหารเช้าในโรงแรมแบบบุฟเฟ่ต์

                        นำท่านเดินทางสู่เมือง คอนย่า (Konya) (ระยะทาง 387 กม. ใช้เวลาเดินทาง 4 ชม.) ซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรเซลจูคในช่วงปี ค.ศ. 1071 – 1308 รวมทั้งยังเป็นศูนย์กลางที่สำคัญของภูมิภาคแถบนี้อีกด้วย ท่านจะได้เพลิดเพลินกับทัศนียภาพที่งดงามตามธรรมชาติตลอดสองฝั่งทาง ของภูมิภาคตอนกลางของประเทศตุรกี

เที่ยง                รับประทานอาหารเที่ยงที่ภัตตาคารท้องถิ่น

บ่าย                  นำท่าน เข้าชมพิพิธภัณฑ์เมฟลานา (Mevlana museum) หรือสำนักลมวน ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี  ค.ศ. 1231 โดย เมฟลานา เจลาเลดดิน รูบี ซึ่งเชื่อกันว่าชายคนนี้เป็นผู้วิเศษของศาสนาอิสลาม หรือเรียกได้ว่าเป็นผู้ชักชวนคนที่นับถือศาสนาคริสต์ให้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม พิพิธภัณฑ์เมฟลานา เดิมเป็นสถานที่นักบวชในศาสนาอิสลามทำสมาธิ (Whirling Dervishes) โดยการเดินหมุนเป็นวงกลมขณะฟังเสียงขลุ่ย ส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์เป็นสุสานของเมฟานา เจลาเลดดิน ภายนอกเป็นหอทรงกระบอกปลายแหลมสีเขียวสดใส ภายในตกแต่งประดับประดาฝาผนังแบบมุสลิม และยังเป็นสุสานสำหรับผู้ติดตาม สานุศิษย์ บิดา และบุตรของเมฟลานาด้วย ได้เวลานำท่านเดินทางสู่ เมืองคัปปาโดเกีย ซึ่งองค์การยูเนสโกได้ประกาศให้เป็นเมืองมรดกโลก ระหว่างทางนำท่านชม “คาราวานสไลน์” ที่พักแรมและที่แลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างทางของชาวเติร์กในสมัยออตโตมัน นำท่านเดินทางต่อสู่เมือง คัปปาโดเกีย (Cappadocia) (ระยะทาง 180 กม. ใช้เวลาเดินทาง 2.30 ชม.)  ท่านจะได้ชมวิถีชีวิตตามชนบทและทัศนียภาพที่สวยงามของทุ่งหญ้าสลับกับภูเขา รวมถึงท้องฟ้าสีสดใสสองข้างทาง

ค่ำ                    รับประทานอาหารค่ำในโรงแรมที่พัก  

นำท่านเข้าพักในโรงแรมระดับ 5 ดาว SUHAN HOTEL***** หรือเทียบเท่า

วันที่ห้า              คัปปาโดเกีย – พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม – นครใต้ดินไคมัครึ – อิสตันบูล

เช้า                   รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม

                        นำท่าน ชมเมืองคัปปาโดเกีย (Cappadocia) ดินแดนที่มีภูมิประเทศอันน่าอัศจรรย์แปรสภาพเป็นหุบเขา ร่องลึก เนินเขา กรวยหิน และเสารูปทรงต่างๆ ที่งดงาม คัปปาโดเกีย(Cappadocia) เป็นชื่อเก่าแก่ภาษาฮิตไทต์ (ชนเผ่ารุ่นแรกๆที่อาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้) แปลว่า“ดินแดนม้าพันธุ์ดี” ตั้งอยู่ทางตอนกลางของตุรกี เป็นพื้นที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเออซิเยสและภูเขาไฟฮาซาน เมื่อประมาณ 3 ล้านปีที่แล้ว เถ้าลาวาที่พ่นออกมาและเถ้าถ่านจำนวนมหาศาลกระจายทั่วบริเวณ จนทับถมเป็นแผ่นดินชั้นใหม่ขึ้นมา จากนั้นกระแส น้ำ ลม ฝน แดด และหิมะ กัดเซาะกร่อนกินแผ่นดินภูเขาไฟไปเรื่อยๆนับแสนนับล้านปี จนเกิดเป็นภูมิประเทศประหลาดแปลกตาน่าพิศวง ที่เต็มไปด้วยหินรูป แท่ง กรวย  ปล่อง กระโจม โดม และอีกสารพัดรูปทรง ดูประหนึ่งดินแดนในเทพนิยายจนผู้คนในพื้นที่เรียกขานกันว่า “ปล่องไฟนางฟ้า” ในปี ค.ศ.1985 ยูเนสโกได้ประกาศให้พื้นที่มหัศจรรย์แห่งนี้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติและวัฒนธรรมแห่งแรกของตุรกี ได้เวลานำท่านเข้าชม นครใต้ดิน (Underground city of Kaymakli) ซึ่งเป็นเมืองใต้ดินที่มีครบทุกอย่าง ทั้งห้องโถง ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องถนอมอาหาร ห้องครัว ห้องอาหาร โบสถ์ ทางหนีฉุกเฉิน ฯลฯ ซึ่งสาเหตุแท้จริงของการสร้างเมืองใต้ดินปัจจุบันยังสรุปไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่ต่างลงความเห็นว่าเป็นการสร้างเพื่อใช้เป็นที่หลบภัยจากข้าศึกศัตรู (โดยเฉพาะพวกทหารโรมัน) แม้จะเป็นเมืองขนาดใหญ่ขุดลึกลงไปใต้ดินหลายชั้น แต่ว่าอากาศในนั้นกลับถ่ายเทเย็นสบาย เนื่องจากเป็นหินภูเขาไฟ มีอุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีประมาณ 17-18 องศาเซลเซียส หน้าร้อนอากาศเย็น หน้าหนาวอากาศอบอุ่น

เที่ยง                รับประทานอาหารเที่ยงที่ภัตตาคารท้องถิ่น

บ่าย                 นำท่านเดินทางสู่ เมืองเกอเรเม (GOREME) เพื่อเข้าชมพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง ซึ่งเป็นศูนย์กลางของศาสนาคริสต์ในช่วง ค.ศ. 9 ซึ่งเป็นความคิดของชาวคริสต์ที่ต้องการเผยแพร่ศาสนาโดยการขุดถ้ำเป็นจำนวนมากเพื่อสร้างโบสถ์และยังเป็นการป้องกันการรุกรานจากชนเผ่าลัทธิอื่นที่ไม่เห็นด้วยกับศาสนาคริสต์ ก่อนที่ศาสนาคริสต์จะเผยแพร่ในคัปปาโดเกีย ผู้คนแถบนี้นับถือเทพเจ้ากรีก-โรมัน จนเมื่อประมาณกลางคริสต์ศตวรรษที่ 1 “เซนต์ปอล” เดินทางมาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในคัปปาโดเกีย แต่ดูเหมือนว่าชาวโรมันผู้ปกครองในยุคนั้นจะไม่ให้การยอมรับ ทำให้ผู้นับถือศาสนาคริสต์ในคัปปาโดเกียต้องหลบซ่อนการรังควานของโรมัน ด้วยการเจาะถ้ำ ขุดพื้นดินลงไปเป็นอุโมงค์ เกิดเป็นเมืองใต้ดินขึ้นมา และได้ขุดเจาะบริเวณเกอเรเม่ทำเป็นโบสถ์ถ้ำจำนวนมากกระทั่งในคริสต์ศตวรรษที่ 5-6 ชาวโรมันให้การยอมรับศาสนาคริสต์ สำหรับโบสถ์ถ้ำในเกอเรเม่ ว่ากันว่ามีถึง 365 หลังด้วยกัน (สร้างตามจำนวนวันใน 1 ปี) แต่ว่าปัจจุบันเปิดให้ชมเพียงบางส่วนเท่านั้น อิสระให้ท่านได้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ได้เวลานำท่านแวะชมโรงงานทอพรม โรงงานเซรามิค พร้อมเพลิดเพลินกับการจับจ่ายซื้อของฝากตามอัธยาศัย

ค่ำ                    รับประทานอาหารค่ำที่ภัตตาคารท้องถิ่น

นำท่านเดินทางสู่สนามบินเมืองเนฟเชียร์

19.45 น.           ออกเดินทางสู่เมืองอิสตันบูล โดยเที่ยวบิน TK 2009

21.05 น.           ถึงสนามบินเมืองอิสตันบูล

                        นำท่านเข้าพักในโรงแรมระดับ 5 ดาว GRAND CAVAHIR***** หรือเทียบเท่า

วันที่หก             พระราชวังทอปกาปึ – สุหร่าสีน้ำเงิน – โบสถ์เซนต์โซเฟีย –อ่างเก็บน้ำใต้ดิน

เช้า                  รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม

                        นำท่านชมสนามแข่งม้าของชาวโรมัน หรือ “ฮิปโปโดม”(Hippodome) หรือจัตุรัสสุลต่านอาห์เมต สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิ เซปติมิอุส เซเวรุส เพื่อใช้เป็นที่จัดแสดงกิจกรรมต่างๆของชาวเมือง ต่อมาในสมัยของจักรพรรดิคอนสแตนติน ฮิปโปโดมได้รับการขยายให้กว้างขึ้น ตรงกลางเป็นที่ตั้งแสดงประติมากรรมต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นศิลปะในยุคกรีกโบราณ ในสมัยออตโตมันสถานที่แห่งนี้ใช้เป็นที่จัดงานพิธี แต่ในปัจจุบันเหลือเพียงพื้นที่ลานด้านหน้ามัสยิสสุลต่านอะห์เมตซึ่งเป็นที่ตั้งของเสาโอเบลิกส์ 3 ต้นคือ เสาที่สร้างในอียิปต์ เพื่อถวายแก่พาโรห์ตุตโมซิสที่ 3 ถูกนำกลับมาไว้ที่อิสตันบูล เสาต้นที่สองคือ เสางู และเสาต้นที่สามคือ เสาคอนสแตนตินที่ 7  จากนั้นนำท่านเข้าชม สุเหร่าสีน้ำเงิน (Blue Mosque) ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยสุลต่านอะห์เมตที่ 1 ซึ่งมีพระประสงค์ที่จะสร้างมัสยิดของจักรวรรดิออตโตมันให้มีความงดงามและยิ่งใหญ่กว่า โบสถ์เซนต์โซเฟีย (St. Sophia) ของจักรวรรดิ ไบแซนไทน์ให้ได้ โดยสุเหร่าแห่งนี้สร้างประจันหน้ากับโบสถ์เซนต์โซเฟีย อย่างไรก็ตาม โบสถ์เซนต์โซเฟีย ก็ยังคงเป็นโบสถ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในตุรกีจวบจนปัจจุบัน นำท่านเข้าชม โบสถ์เซนต์โซเฟีย (ST. Sophia) ซึ่งเป็นศิลปะแบบไบเซนไทม์ ได้รับการยกย่องให้เป็น  1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ สร้างขึ้นสมัยจักรพรรดิคอนสแตนติน ของจักรวรรดิไบแซนไทน์ เดิมใช้เป็นโบสถ์คริสต์ แต่หลังจากจักรวรรดิออตโตมันเข้ามาปกครองจึงได้เปลี่ยนโบสถ์ดังกล่าวมาเป็นมัสยิส แต่ได้เปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติในสมัย เคมาล อะตาเตริ์ก หลังจากที่เป็นโบสถ์ในศาสนาคริสต์เป็นเวลากว่า 916 ปี และเป็นมัสยิสของศาสนาอิสลามอีกกว่า 447 ปี ปัจจุบันเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมความงามและความยิ่งใหญ่ ภายในมีภาพประดับโมเสกทองที่สมบูรณ์บ่งบอกถึงความศรัทธาอันแรงกล้าของจักรพรรดิคอนสแตนตินที่มีต่อคริสต์ศาสนา จากนั้นนำท่านชมความยิ่งใหญ่ของสิ่งก่อสร้างของชาวโรมันในอดีต อ่างเก็บน้ำใต้ดินเยเรบาตัน (Underground Cistern) ซึ่งเป็นอุโมงค์เก็บน้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอิสตันบูล สามารถเก็บน้ำได้มากถึง 88,000 ลูกบาศก์เมตร สร้างขึ้นตั้งแต่คริสต์ศวรรษที่ 6 ภายในอุโมงค์ มีเสากรีกต้นสูงใหญ่ค้ำเรียงรายเป็นแถวถึง 336 ต้น และมีเสาต้นที่เด่นมากคือ เสาเมดูซ่า อิสระให้ท่านถ่ายรูปและชมความงามใต้ดินของอุโมงค์เก็บน้ำขนาดใหญ่

เที่ยง                รับประทานอาหารเที่ยงที่ภัตตาคารจีน



บ่าย                 นำท่าน เข้าชมพระราชวังทอปกาปึ (Topkapi Palace) ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยสุลต่านเมห์เมตที่ 2 หรือ เมห์เมตผู้พิชิต ภายหลังที่ทรงตีกรุงคอนสแตนติโนเบิลหรืออิสตันบูลในปัจจุบันได้แล้ว ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะให้เมืองนี้เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรออตโตมัน จึงโปรดให้มีการสร้างพระราชวังนี้ขึ้นเป็นที่ประทับอย่างถาวร พระราชวังทอปกาปึนี้มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่กินเนื้อที่เกือบ 700,000 ตารางเมตร ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงตามแนวฝั่งทะเลมาร์มารา ภายในพระราชวังประกอบด้วยตำหนักน้อยใหญ่ พลับพลา พระคลังมหาสมบัติ มัสยิส หอพัก โรงเรียน ฮาเร็ม ฯลฯ ปัจจุบันพระราชวังทอปกาปึกลายเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติที่ใช้เก็บมหาสมบัติอันล้ำค่าอาทิ เช่น เพชร 96 กะรัต กริชทองประดับมรกต เครื่องลายครามจากจีน หยก มรกต ทับทิม และเครื่องทรงของสุลต่านในแต่ละยุคสมัย จากนั้นนำท่านสู่ ตลาดสไปซ์ มาร์เกต (Spice Market) หรือตลาดเครื่องเทศ ท่านสามารถเลือกซื้อของฝากได้ในราคาย่อมเยา ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับ ชาหรือกาแฟ รวมถึงผลไม้อบแห้งอันเลื่องชื่อของตุรกี อย่างแอปปลิคอทหรือจะเป็นถั่วพิทาชิโอ ซึ่งมีให้เลือกซื้อมากมาย

ค่ำ                    รับประทานอาหารค่ำที่ภัตตาคาร พร้อมชมการแสดงระบำหน้าท้องอันเลื่องชื่อ Belly Dance

                        นำท่านเข้าพักในโรงแรมระดับ 5 ดาว GRAND CAVAHIR***** หรือเทียบเท่า

วันที่เจ็ด            อิสตันบูล – พระราชวังโดลมาบาชเช่ – ล่องเรือชมช่องแคบบอสฟอรัส

เช้า                  รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม

                                    นำท่าน เข้าชมพระราชวังโดลมาบาชเช่ (Dolmabahce Palace) พระราชวังที่สะท้อนให้เห็นถึงความเจริญอย่างสูงสุดทั้งทางวัฒนธรรมและทางวัตถุของจักรวรรดิออตโตมัน ซึ่งได้แผ่ขยายอำนาจออกไปอย่างกว้างขวาง พระราชวังแห่งนี้สร้างโดย สุลต่าน อับดุล เมอซิท ในปี ค.ศ. 1843 ใช้เวลาก่อสร้างทั้งสิ้น 12 ปี เพราะความที่สุลต่านทรงเป็นผู้คลั่งไคล้ยุโรปอย่างสุดขอบ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นศิลปะ วัฒนธรรม การดำรงชีวิต ตลอดจนการทหาร ล้วนคัดลอกมาจากตะวันตกทั้งสิ้น พระราชวังแห่งนี้ออกแบบโดยสถาปนิกคู่ใจชาวอาเมเนี่ยน ชื่อ บัลยัน เป็นศิลปะผสมผสานของยุโรปและตะวันออกที่ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม ภายนอกพระราชวังประดับตกแต่งด้วยสวนไม้ดอกรายล้อมพระราชวังซึ่งอยู่เหนืออ่าวเล็กๆของช่องแคบบอสฟอรัส ภายในประกอบด้วยห้องต่างๆและฮาเร็ม ตกแต่งด้วยโคมระย้า บันไดลูกกรง แก้วเจียระไน และ โคมไฟมหึมาหนัก 4.5 ตัน ซึ่งแขวนไว้อย่างโดดเด่นในห้องท้องพระโรงใหญ่

เที่ยง                รับประทานอาหาร ณ ภัตตาคารอาหารท้องถิ่น

บ่าย                  นำท่านล่องเรือชมช่องแคบบอสฟอรัส ซึ่งเป็นช่องแคบที่เชื่อมทะเลดำ (The Black sea) เข้ากับทะเลมาร์มาร่า (Sea of Marmara) ความยาวทั้งสิ้นประมาณ 32 กิโลเมตร ความกว้างตั้งแต่ 500 เมตรจนถึง 3 กิโลเมตร ถือว่าสุดขอบของทวีปยุโรปและสุดขอบของทวีปเอเชียมาพบกันที่นี่ นอกจากความสวยงามแล้ว ช่องแคบบอสฟอรัสยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญยิ่งในการป้องกันประเทศตุรกีอีกด้วย เพราะมีป้อมปืนตั้งเรียงรายอยู่ตามช่องแคบเหล่านี้ ว่ากันว่าจนกระทั่งถึงยุคของการนำเอาเรือปืนใหญ่มาใช้ และไม่เคยปรากฏว่ากรุงอิสตันบูลถูกถล่มจนเสียหายอย่างหนักมาก่อนเลย ทั้งนี้เป็นเพราะป้อมปืนดังกล่าวนี้เอง ในปี ค.ศ. 1973 มีการเปิดใช้สะพานบอสฟอรัสซึ่งทำให้เกิดการเดินทางไปมาระหว่างฝั่งเอเชียและยุโรปสะดวกมากขึ้น ขณะที่ล่องเรือท่านจะได้เพลิดเพลินกับทิวทัศน์ข้างทางไม่ว่าจะเป็น พระราชวังโดลมาบาชเช่ หรือ บ้านเรือนสไตล์ยุโรปของบรรดาเศรษฐี ซึ่งล้วนแล้วแต่สวยงามตระการตาทั้งสิ้น จากนั้นนำท่านสู่ย่านการค้าชื่อดัง   “แกรนด์บาร์ซาร์” ซึ่งเป็นตลาดเก่าแก่ที่สร้างในสมัยกลาง ค.ศ. 15 เป็นตลาดค้าพรมและทองที่ใหญ่ที่สุดของตุรกี มีร้านค้ากว่า 4,000 ร้าน

(พิเศษ สำหรับลูกค้า ให้ท่านได้ชิมไอศครีมตุรกีอันเลื่องชื่อ ซึ่งมีขายเฉพาะในประเทศตุรกีเท่านั้น)  ให้ท่านได้เพลิดเพลินกับการเลือกซื้อสินค้าที่มีชื่อเสียงของตุรกีอย่างจุใจ เช่น แฟชั่นเครื่องหนังคุณภาพเยี่ยม ราคาย่อมเยา

ค่ำ                    รับประทานอาหารค่ำที่ภัตตาคารจีน

21.00 น.           นำท่านเดินทางสู่สนามบินเมืองอิสตันบูล

หมายเหตุ          หากเดินทางกลับด้วยเที่ยวบิน TK64 เครื่องจะออกเดินทางจากอิสตันบูล เวลา 20.00 น. ซึ่งจะนำคณะเดินทางถึงสนามบินอิสตันบูลเวลา 17.30 น.

วันที่แปด           กรุงเทพฯ

00.40 น.          ออกเดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ โดยเที่ยวบิน TK 68 (บินตรง) (ใช้เวลาบิน 9 ชั่วโมง)

                        สายการบินมีบริการอาหารค่ำ และ อาหารเช้า

09.25 น.          เดินทางถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ (BON VOYAGE) โดยเที่ยวบิน TK64

14.15 น.           เดินทางถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ (BON VOYAGE) โดยเที่ยวบิน TK68



No comments:

Post a Comment